|
 |
|
 |
|
ขอสอบถามเรื่องการใช้งาน impedance ระหว่างแอมป์กับดอกลำโพงครับ |
|
|
|
|
|
คือผมเปิดอ่านดูเรื่อง impedance มาพอสมควร ก็ยังงงๆอยู่ครับ ผมจะสรุปถามเอาที่ผมใช้ละกันนะครับ ที่ตู้cabinet 4x12" ดอกลำโพงเขียนใว้ว่า Peak power : 200 watts Continuous Power : 50 watts Imoedance : 4 Ohms
และที่หลังcabinet มีให้เลือกว่า Stereo 8 Ohms Mono 16 Ohms ผมเลือกต่อไปที่ Stereo ครับ
ที่หัวแอมป์ มีimpedance ให้เลือก 16,8,4 Ohms
และที่ช่องเสียบลำโพง Loudspeaker เขียนใว้ว่า AMPLIFIER OUTPUT 120 WATTS / 4 OHMS MIN SPECKER IMPEDANCE/ JACKS PARALLELED
สรุป ผมต้องเลือก impedance ที่หัวแอมป์เท่าไรครับ และช่วยช่วยอธิบายทีครับว่าเพราะอะไรครับ เพื่ออาจจะเปลี่ยนดอก จะต้องดู watts ดู Ohms ขอบคุณครับ
saran.14
31 ต.ค. 60
เวลา 11:31:00
พิมพ์
แจ้งลบ IP = 182.232.229.4
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 1
|
|
|
จากข้อมูลที่ให้มา
ตู้cabinet 4x12" ดอกลำโพงเขียนใว้ว่า Peak power : 200 watts Continuous Power : 50 watts Imoedance : 4 Ohms
ถ้าเขียนใว้หลังดอกลำโพง (ไม่ใช่หลังตู้) หมายความว่า ลำโพงดอกนั้น มี impedance : 4 Ohms รับแรงขับต่อเนื้องได้ 50W. ไม่ควรใช้แอมป์ที่เกินกว่านั้น ส่วน Peak power : 200 watts หมายถึงสามารถทนแรงขับได้ 200Wในช่วงสั้นๆ ก่อนที่ดอกจะเสียหาย
และที่หลังcabinet มีให้เลือกว่า Stereo 8 Ohms Mono 16 Ohms
หมายถึง cab มีดอก 4 ohm อยู่ 4 ดอก Stereo 8 Ohms จะเลือกใช้แค่ 2 ดอก อนุกรมกัน จะทนแรงได้เพิ่มขึ้นเป็น 1 เท่าตัวของดอกเดียว คือ 100w continuous power Mono 16 Ohms จะใช้ครบทั้งหมด 4 ดอก จะทนแรงได้เพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าตัวของดอกเดียว 200w continuous power
ที่หัวแอมป์ มีimpedance ให้เลือก 16,8,4 Ohms
และที่ช่องเสียบลำโพง Loudspeaker เขียนใว้ว่า AMPLIFIER OUTPUT 120 WATTS / 4 OHMS MIN SPECKER IMPEDANCE/ JACKS PARALLELED
อันนี้ไม่แน่ใจ100% แอมป์มีกำลัง 120W สามารถค่อ cabinet ที่มี Independence ได้ต่ำที่สุด 4 ohms ส่วน JACKS PARALLELED นี่คือที่ผมไม่แน่ใจ
สรุป ผมต้องเลือก impedance ที่หัวแอมป์เท่าไรครับ ใช้ให้ตรงกับ cabinet ครับ เสียบช่องไหนก็ตามนั้นเลย Stereo 8 Ohms Mono 16 Ohms
และช่วยช่วยอธิบายทีครับว่าเพราะอะไรครับ เพื่ออาจจะเปลี่ยนดอก จะต้องดู watts ดู Ohms คำอธิบายตามข้างบนครับ เรื่องเปลี่ยนดอก ตู้ 4x12 เลือกได้กว้างมากครับ สามารถเลือกได้ทั้ง 4/8/16 เลย ดูแค่ watt รับแรงขับแอมป์ได้เป็นจบ
ถ้าสงสัยลองอ่าน link ข้างล่างดูครับ ถ้ายังสงสัยอีกก็ถามเพิ่ม จะพยายามหาคำตอบให้ครับ
https://www.amplifiedparts.com/tech-corner/speaker-impedance-power-handling-and-wiring
5150ed
31 ต.ค. 60
เวลา 12:23:00 IP = 171.96.191.174
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 2
|
|
|
ขอบคุณมากๆครับ สรุปว่าผมเลือกผิดมาตลอดเลย ผมใช้ stereo แต่ดันไปเลือก 16 ohms ครับ ขอบคุณอีกทีครับผม
saran.14 31 ต.ค. 60
เวลา 12:32:00 IP = 182.232.229.4
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 3
|
|
|
ขอถามอีกเรื่องครับ เรื่องgain กับ volume หน้าตู้ ควรปรับใช้คู่กันยังไงครับ ยังงงๆกับการใช้งานอยู่ครับ ทั้งลองเบา gain เพิ่ม vol ,เบา vol เพิ่มgain ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจครับ
saran.14 31 ต.ค. 60
เวลา 12:36:00 IP = 182.232.229.4
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 4
|
|
|
ความรู้ล้วนๆ
johnny guitar
31 ต.ค. 60
เวลา 13:12:00 IP = 202.143.175.193
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 5
|
|
|
ขออธิบาย อย่างนี้ครับ ตามปรกติ
Gain คือ volume ปรับความแรงของสัญญาณขาเข้า Vol หรือ Master คือ volume ปรับความแรงของสัญญาณขาออก
อยากให้แอมป์เสียง cleanๆ ทำงัย ทำให้สัญญาณที่วิ่งอยู่ในแอมป์ น้อยๆ แอมป์ไม่ overdrive ทำได้โดย ปรับ Gain น้อยๆ ให้สัญญาณเข้ามาในแอมป์ไม่มาก แต่ปรับ Vol/master สูงๆให้ได้ความดังที่เพียงพอ ชดเชยกับสัญญาณขาเข้าที่น้อย
ถ้าอยากให้เสียงแตก ก็ทำกลับกันครับ
การใช้งานจริง ต้องลองปรับดูครับ ถ้าอยากได้เสียงสะอาด headroom เยอะ หาง reverb กับ delay ชัดๆ ใช้แตกก้อน ก็ปรับแอมป์ให้ Cleanๆ
ถ้าเสียง clean มากเกินเสียงบาง ก็ลอง เพิ่ม Gain จนได้เสียงที่ อิ่มๆ ตามที่ชอบ ลด Vol ให้ได้ความดังตามต้องการ
หรือถ้าชอบแตกตู้ ก็ปรับแอมป์ให้แต่ตามที่ชอบเลย แล้วพอจะเล่นเสียงclean ก็ลด vol ที่กีตาร์เอา แล้วคุมน้ำหนักมือขวาให้พอดีๆ ก็จะได้เสียงที่ clean ไล่ไปถึง overdrive ไปถึง แตกมากอยู่ที่ Vol guitar +น้ำหนักมือ ก็สนุกไปอีกแบบครับ
5150ed
31 ต.ค. 60
เวลา 13:25:00 IP = 171.96.191.174
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 6
|
|
|
ขอบคุณมากๆครับ ได้ความรู้มากๆเลยครับ
saran.14 31 ต.ค. 60
เวลา 14:02:00 IP = 182.232.229.4
|
|
|
 |
|
 |
|