|
 |
|
 |
|
เหตุการณ์ ลึกลับ-พิศวง-พิศดาร-ทั่วโลก |
|
|
|
|
|
 |
วันนี้มาดูเรื่องราวแปลกๆจากทั่วโลกกันครับ
.................................................................... ชาวบ้านนามิเบียแตกตื่น "ลูกบอลเหล็กประหลาด" ตกมาจากฟ้า!! ชาวบ้านนามิเบียแตกตื่นหลังพบลูกบอลเหล็กขนาดใหญ่ร่วงจากท้องฟ้าลงสู่ท้องนา ในแถบพื้นที่ห่างไกล ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ถึงขั้นงงงวยต้องรุดติดต่อไปยังนาซาและองค์การอวกาศยุโรป เพื่อขอให้เข้ามาตรวจสอบ พอล ลูดิค บัญชาการสํานักงานนิติวิทยาศาสตร์ตํารวจเปิดเผยว่าลูกบอลเหล็กประหลาดลูกนี้ ที่วัดเส้นรอบวงได้ 1.1 เมตร ถูกพบใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางเหนือของประเทศ ห่างจากกรุงวินด์ฮุก ราว 750 กิโลเมตร พร้อมบอกว่าชาวบ้านได้ยินเสียงระเบิดดังหลายครั้งไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ลูกบอลกลวงๆ ลูกนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 เซนติเมตร มีผิวหยาบ มีลักษณะเหมือนโลหะครึ่งวงกลม 2 ซีกประกบติดกัน และมีน้ำหนัก 6 กิโลกรัม ทั้งนี้มันถูกพบห่างจากจุดตกออกไป 18 เมตร โดยแรงกระแทกของมันก่อให้เกิดหลุมลึก 33 เซนติเมตร กว้าง 3.8 เมตร เจ้าหน้าที่ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตพบว่าเคยมีลูกบอลลักษณะนี้ตกใน สู่ทางใต้ของแอฟริกา ออสเตรเลียและละตินอเมริกาหลายครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา วิลโฮ ฮิฟินดากา รองสารวัตรสืบสวนสรุปว่าวัตถุที่ทำขึ้นจากโลหะอัลลอยที่มนุษย์รู้จักนี้ไม่ ก่ออันตรายแต่อย่างใด "มันไม่ใช่วัตถุระเบิด มันเป็นแค่วัตถุทรงกลม แต่เราจำเป็นต้องตรวจสอบมันก่อน"
ข้อมูลที่มา >>>> http://www.manager.co.th/
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:38:00
พิมพ์
แจ้งลบ IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 1
|
|
|
 |
"ฟันปลอมโบราณ" คนไทยโบราณ สมัยก่อนรู้จักการ รักษาฟัน ให้ติดอยู่กับเหงือกได้เป็นเวลานาน สังเกตผู้เฒ่า ผู้อาวุโส ที่กินหมากสิ ฟันจะเรียงตัวสวย ครบ 32 ซี่ เพราะ ปูนจะจับฟันจนดำและยึดติดแน่น แต่ฟันจะดำ ! ซึ่งเป็นศตวรรศที่ 21 นี้แล้วละก็รับไม่ได้อย่างรุนแรงอ่ะ เพราะ คนไทยเริ่มนิยมฟันขาวเมื่อราวสมัยร.5นี่เอง
ฟันปลอมโบราณ ชาวอีทรุสคัน โบราณ ซึ่งเคยอยู่ตอนกลางของ ประเทศอิตาลี เป็นชนกลุ่มแรกที่รู้จักการใช้ ฟันปลอม มานานกว่า 2,700 ปี ฟันปลอม นี้ทำมาจากฟันของสัตว์ซึ่งจะยึดให้ติดกับเหงือกด้วยแผ่นทองคำ
เกร็ดความรู้ เกี่ยวกับฟัน
การทำฟันสมัยใหม่ก่อน เริ่มต้นมาจาก ร้านตัดผม !!! ผ้าสีขาวๆ ที่ใช้คลุมกันเศษผมเนี่ยแหละใช้ในการซับเลือดจากการถอนฟัน กัลบก หรือ ช่างตัดผมนอกจากต้ดผมแล้วยังถอนฟันด้วย เปรียบไปก็คงเหมือนนักเล่นแร่แปรธาตุในยุคตื่นทองที่พยายามค้นหาธาตุตัวที่จะสามารถทำให้เป็นทองได้แต่สุดท้ายก็พัฒนามาเป็นนักเคมีในที่สุดนั่นเอง !
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:39:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 2
|
|
|
 |
"สวนสัตว์แห่งความตาย" สัตว์ป่า สัตว์ในบ้าน หรือสัตว์อะไรก็ตามแต่ เมื่อเราเอาเค้ามาเลี้ยงหรือเอาเค้ามาดูแลแล้วก็ควรดูแลให้เต็มที่และดีที่สุด เพราะนอกจากเราเค้าก็ไม่มีใครแล้ว ต้องขอฝากเรื่องนี้ด้วยจริงๆครับ เพราะช่วงนี้มีข่าวทารุณกรรมสัตว์ออกมาบ่อยมาก
Surabaya Zoo สวนสัตว์ในประเทศ Indonesia สวนสัตว์ที่ติดอันดับต้นๆในชื่อเสียงของสวนสัตว์ที่แย่ที่สุดในโลก โดยภายในสวนสัตว์นั้นจะไม่มีการให้อาหารใดๆแก่สัตว์ทั้งสิ้น โดยที่ผู้ดูแลนั้นก็แค่เข้ามาเปิดปิดสวนสัตว์ประจำเวลาเท่านั้น โดยที่สัตว์แต่ละตัวนั้น จะต้องรอผู้เข้าชมหรือผู้ท่องเที่ยวมาเสียเงินให้อาหารเองถึงจะได้กิน เพื่อนๆจะสังเกตเห็นว่า สัตว์แต่ละตัวนั้น จะผอมมาก บางตัวนั้นเดินแทบไม่ได้ หนังติดกระดูกเลยทีเดียว ซึ่งสวนสัตว์แห่งนี้มีสัตว์ตายไปราวๆ 25 ตัวต่อเดือน ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมากๆ เมื่อเปรียบเทียบกับสวนสัตว์แห่งอื่นๆในโลก เพราะหน้าที่หลักๆของสวนสัตว์นั้นนอกจาก จะคอยเลี้ยงเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมก็คือ การเลี้ยงและอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุด และที่แลวร้ายกว่านั้นก็คือ เมื่อสัตว์ตัวใดที่ได้รับเข้ามาแล้วเจ้าของสวนสัตว์เห็นว่าน่าจะขายได้ราคาดี หรือสัตว์ตัวนั้นใกล้ตาย ก็จะทำการขาย หรือถลกหนัง เพื่อนำไปขาย
แหล่งข้อมูล >>>> http://www.flagfrog.com/hell-animal-surabaya-zoo/
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:42:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 3
|
|
|
 |
สุดสยอง!! หมูขย้ำกัดกินหัว ดช. 2 ขวบ ผงะผ่าท้องหมูเจอกะโหลกหนูน้อย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเหตุการณ์อันน่าตื่นตะลึง หลังหมูแม่ลูกอ่อนก่อเหตุฆาตกรรมเด็กชายวัย 2 ขวบ อย่างสยดสยอง ที่หมู่บ้านเล็กๆ ในมณฑลเจียงซู ทางตะวันออกของประเทศจีน
รายงานข่าวระบุว่า ด.ช.Wei Tsao ถูกแม่หมูขย้ำและกัดกินศีรษะ เพราะคิดว่าเด็กน้อยจะมาทำอันตรายลูกหมูที่เพิ่งคลอด หลังเขาเดินเข้าไปใกล้คอกหมู ซึ่งกว่าที่พ่อของหนูน้อยเคราะห์ร้ายจะวิ่งมาถึง หลังได้ยินเสียงลูกแผดร้องก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เมื่อมาพบกับภาพของแม่หมูที่กำลังแทะหัวลูกชายตัวเองอยู่
รายงานข่าวระบุอีกด้วยว่า หลังเกิดเหตุชาวบ้านได้ช่วยกันจับแม่หมูมัดและผ่าท้องดู พบชิ้นส่วนกะโหลกศีรษะและเส้นผม เป็นหลักฐานมัดตัวว่ามันเป็นฆาตกรตัวจริง ขณะผู้ใหญ่บ้านระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องน่าสยดสยองอย่างมาก และการที่พวกเขาจับแม่หมูผ่าท้องไม่ได้เป็นการแก้แค้น แต่ต้องการพิสูจน์ให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าแม่หมูเป็นผู้ทำร้ายและกินเด็กชายจริงๆ
ด้านโฆษกตำรวจกล่าวว่า แม่หมูส่วนใหญ่มักจะเชื่อง ไม่มีนิสัยดุร้าย แต่ไม่รวมถึงหมูแม่ลูกอ่อนที่มักจะมีความระแวงมากกว่าปกติ ซึ่งก็เป็นไปตามสัญชาตญาณในการปกป้องลูกน้อยของตัวเอง จึงอยากกระตุ้นเตือนให้ชาวบ้านเลี้ยงหมูในคอกให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้เหตุสลดเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก
ข้อมูล-ภาพ >>>> เรื่องเล่าเช้านี้, ข่าวสดออนไลน์
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:43:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 4
|
|
|
 |
"หินก้อนหน้าตาเหมือนคลื่นยักษ์"
ที่เห็นในรูปมันมีชื่อว่า Wave Rock แปลกันตรงๆตัวก็คือ "หินคลื่น" เป็นหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตั้งอยู่ที่เมือง Hyden ในเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย ถ้าดูเผินๆ จะเห็นว่ามันเหมือนคลื่นยักษ์ที่กำลังถล่มลงมา เจ้าหินนี่มีความสูง 46 ฟุต และยาว 360 ฟุต เป็นส่วนหนึ่งของภูเขา Hyden Rock
การที่หินก้อนนี้มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ บ้างก็ว่าเกิดจากการกัดเซาะของน้ำและอากาศเป็นเวลานานกว่า 60 ล้านปี ทำให้ส่วนฐานของมันส่วนหนึ่งหายไป ส่วนสีของมัน น่าจะเกิดจากการที่แร่ธาตุไหลจากบนลงล่างในทุกๆฤดูฝน
มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเจ้า Wave Rock ประมาณ 140,000 คนต่อปี ข้อดีของมันคือคุณสามารถที่จะมีรูปถ่ายการเล่นโต้คลื่นสวยๆโดยไม่จำเป็นต้องโดนน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว มีใครเคยไปกันมาบ้างรึยังครับ
ข้อมูล >>>> lostateminor.com, designyoutrust.com
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:44:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 5
|
|
|
 |
หนูน้อยอินเดียมีนิ้ว "เท้า-มือ" รวมกัน 34 นิ้ว โฆษกของของกินเนสส์ เวิลด์ เรกคอร์ด เปิดเผยว่า เด็กชายเอกชาต สะเศนา จากรัฐอุตตรประเทศ ทางเหนือของอินเดีย ลืมตาดูโลกเมื่อปีที่แล้วโดยมีนิ้วมือข้างละ 7 นิ้ว และนิ้วเท้าข้างละ 10 นิ้ว ทั้งนี้เขาเข้าทำการตัดนิ้วส่วนเกินมาแล้วหลายครั้ง ขณะเดียวกันด้วยที่เขาไม่มีนิ้วหัวแม่มือ คณะแพทย์จึงกำลังพยายามปะติดปะต่อมันจากนิ้วที่พวกเขาตัดออกไป อัมริจา สะเศนา แม่ของเขาบอกว่า ตอนแรกคลอดฉันรู้สึกดีใจมากที่เห็นหน้าลูกเพราะเขาเป็นลูกคนแรกของเรา แต่จากนั้นพอฉันก้มไปมองที่นิ้ว ฉันถึงกับช็อกและแปลกใจอย่างมาก
ความผิดปกติดังกล่าวเรียกว่าภาวะนิ้วเกิน อันเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งสามารถถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่มาสู่รุ่นลูกหลานและ ก่อให้เกิดนิ้วส่วนเกิน ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วนิ้วส่วนเกินนี้จะมีขนาดเล็กกว่าปกติ
แม่ของเด็กเล่าต่อว่าเพื่อนบ้านของเธอรายหนึ่งอ่านข่าวบนอินเทอร์ เน็ตเกี่ยวกับเด็ก 31 นิ้วที่เกิดในจีนและชี้ให้เธอเห็นว่าลูกชายของเธอเป็นคนที่พิเศษที่สุด เขาบอกว่าลูกชายของฉันทำลายสถิติโลกด้วยการมี 34 นิ้ว ตอนแรกฉันไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าลูกชายฉันทำลายสถิติ อย่างไรก็ตาม ต่อมาเธอก็ได้รับทราบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง หลังจากสามี น้องสาวและเพื่อนบ้านรายนี้เอาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตให้ดู
อนึ่ง เจ้าของสถิติเดิมของเด็กที่มีนิ้วมากที่สุดในโลก คือ เด็กชายชาวจีนวัย 6 ขวบ ที่มีนิ้วมือ 15 นิ้ว และนิ้วเท้า 16 นิ้ว
เด็กรายนี้ก็เข้ารับการผ่าตัดนิ้วส่วนเกินเช่นกัน โดยตอนนี้เขาเหลือจำนวนนิ้วมือและนิ้วเท้าเหมือนคนปกติ ตามหลังการผ่าตัดยาวนานถึง 6 ชั่วโมงครึ่ง ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองเสิ่นหยาง มลฑลเหลียวหนิง
ที่มา >>>> http://manager.co.th/
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:44:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 6
|
|
|
 |
"ตํานานเรื่องเล่า...พระกินเณร" ที่วัดแห่งหนึ่งเรื่องมีอยู่ว่า สมัยก่อนที่วัดแห่งหนึ่งใน นครสวรรค์ มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นรูปปางยืน ขนาดเท่าตัวคนจริง เป็นพระพุทธรูปที่หลอมขึ้นมาใหม่นำมาที่วัดได้ไม่นาน ที่วัดนั้นมีเณรและพระมาบวชกันจำนวนมากพอสมควร มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีเหตุการณ์แปลก คือ สามเณรที่วัดหายตัวไปทีละคน ตอนแรกเจ้าอาวาสก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าสามเณร คงจะหนีกลับบ้าน ก็ได้เพราะยังเด็กอยู่อาจคิดถึงบ้าน แต่แล้วสามเณรก็หายไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าอาวาสก็เริ่มเอะใจ จนมาเป็นเรื่องกันตอนที่โยมพ่อ โยมแม่ ของสามเณรที่หายมาหา ก็บอกว่าไม่ได้กลับไปบ้าน ช่วงนั้นพระผู้ดูแลโบสถ์ท่านบอกว่า เห็นว่ามีเศษผ้าจีวรขาด ๆ ไปติดอยู่ที่ปากพระพุทธรูปที่ว่าเอาออกหลายครั้งแล้วก็มีมาใหม่ทีแรกคิดว่าอาจมีใครเล่นพิเรนมากลั่นแกล้งแต่ท่านมาสังเกตุเห็นว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดใหญ่ขึ้น จากตอนแรกท่านว่าขนาดเท่าคนจริง ตอนนี้สูงสัก 2 เมตรได้แล้วมั้ง ท่านว่าท่านคงคิดมาก ก็ไม่ค่อยได้ติดใจอะไรแต่ก็กำชับไม่ให้พระ สามเณร ออกมาข้างนอกตอนยามวิกาล แต่จะเห็นได้ว่าสามเณรที่หายตัวไป ส่วนมากจะอยู่กุฎิแถว ๆ พระพุทธรูปนั้นแต่เหตุการณ์ก็ยังต่อเนื่องอยู่ สามเณรก็ยังคงหายตัวไปอีก เจ้าอาวาสรู้สึกผิดสังเกตมาก จนพระท่านที่เฝ้าโบสถ์เรียกเจ้าอาวาส วิ่งมาด้วยความตกใจ เรียกเจ้าอาวาสไปดูอะไรอย่างหนึ่ง เมื่อท่านเจ้าอาวาสมาพบก็ได้แต่ตะลึง เพราะพระพุทธรูปองค์ดังกล่าว จากตอนแรกที่ผมบอกว่าเป็นปางยืน ขณะนี้ได้อยู่ในท่าปางนอน เป็นท่านอนตะแคงแล้วเอามือข้างหนึ่งดันเศียรเอาไว้ แล้วขนาดก็ใหญ่ขึ้นด้วย ท่านบอกว่าตอนนั้นใหญ่กว่าคน 3 คนอีก แล้วที่น่ากลัวคือ พบเศษจีวรติดที่แถวปากพระพุทธรูปนั้นอีกแล้ว เห็นอย่างนี้ท่านเจ้าอาวาสก็ไม่รอช้า จัดเวรยามเฝ้าพระพุทธรูปองค์นี้จนเช้า วันรุ่งขึ้นจึงจ้างช่างประตู ทำเป็นประตูเหล็กล้อมกรอบ ให้ขนาดใหญ่กว่าตัวพระพุทธรูปเล็กน้อย ล้อมจนหมดนับจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์สามเณรหายอีกเลยแล้วก็ไม่พบสามเณรที่สูญหายไปจนถึงเดี๋ยวนี้เช่นกัน *เรื่องนี้ฟังหูไว้หู ที่จริงไม่อยากนำมาเผยแพร่เพราะเกี่ยวเนื่องถึงพระพุทธรูป อาจเป็นการทำลายศาสนาในทางลบได้ แต่มูลเหตมีจริง คนที่อยู่นครสวรร ถ้าอยากรู้ไปวัดวัดหนึ่งที่อยู่แถวๆ ตีนเขา เข้าไปจะเห็นพระพุทธรูปปางนอน ขนาดยาวประมาณ 3*4 ช่วงคน ถูกตีประตูล้อมเอาไว้ขนาดใหญ่กว่าตัวเล็กน้อย ไม่มีเครื่องหอมบูชา ไม่ให้กราบไหว้ แล้วก็ประตูถูกล็อคปิดตาย
ขอขอบคุณข้อมูล >>>> HIS BKK.com
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:45:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 7
|
|
|
 |
"MaJestic (MJ12) 12 โครงการลับอันอื้อฉาว ของรัฐบาลสหรัฐ"
Majestic 12 , MJ 12 (คนละคนกับที่ MJ 1 แห่ง hatsajan.com นะขอรับ) หรือ Majic ชื่อนี้คงคุ้นหูคุ้นตา สำหรับผู้สนใจในเรื่องมนุษย์ต่างดาว , ชอบเล่นเกมส์ประเภทเลี่ยนทะลวงโลก อะไรประมาณนั้นเป็นอย่างดี Majestic 12 นับเป็นหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งคงไว้ซึ่งความลับดำมืด เป็นเงาเร้นหลังวงการเมือง และรัฐบาลสหรัฐมาช่วงหนึ่ง ที่แม้แต่ทุกวันนี้ หลาย ๆ ฝ่ายก็ยังไม่กระจ่างกับข่าวนี้เสียที ได้แต่ข่าวลืออย่างนั้น ข้อมูลลอยอย่างนี้มาตลอด ลองมาทำความรู้จักกับหน่วยงานนี้กันดูบ้างไหมครับว่า พวกเขาเป็นใคร และมีความสำคัญมีบทบาทอย่างไรกับวงการ UFO
- ต้นกำเนิด
ช่วงทศวรรษที่ 60 ปรากฎการณ์สะท้านเมืองอย่าง UFOs เล่นเอาชาวบ้านใจสั่นผวา ขากระตุกจนอยู่ไม่เป็นสุข ความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวกระพือโหมไปเหมือนไฟลามทุ่ง ร้อนถึง รัฐบาลสหรัฐที่ต้องหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพิจารณา ประมาณว่า หากมนุษย์ต่างดาวมีจริงแล้วไซร้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง พวกเขาต้องลงมาเยือนโลก ประการสำคัญก็คือ พยานหลักฐานที่มีอยู่มากขึ้น ส่อเค้าออกมาว่า โลกของเราได้รับการมาเยือนจากนักท่องอวกาศมานานแสนนานแล้ว
โอเคค่ะ ถ้ามา "ท่อง" เพื่อแค่ "เที่ยว" ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าพี่เอเลี่ยนแกมาเซอร์เวย์เพื่อเตรียมครอบครองล่ะ ? คงไม่เข้าท่าหรอกจริงไหมครับ ? เพราะเหตุนี้รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิดี เฮนรี่ ทรูแมน จึงได้จัดตั้งหน่วยงานลับหน่วยงานหนึ่งขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 1947 (ลูกใครเกิดวันนี้จะตั้งชื่อเป็น MJ ก็เก๋ไม่หยอกนะครับ ) และมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Majestic 12" อันเป็นคำที่ย่อมาจาก Majority Agency for Joint Intellgence Control ที่บางทีเราอาจเคยได้ยินชื่อหน่วยงานนี้ในรูปแบบอื่นๆ เช่น MJ12, Maji12, Majic12 หรือ Majicom12 ก็รับทราบไว้เสียเลยนะค่ะ ว่านี่คือหน่วยงานเดียวกัน
- ตั้งขึ้นมาทำอะไร ?
หน้าที่หลักของ Majestic 12 คือ การนำเสนอข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับวัตถุบินลึกลับที่ได้จากกองทัพ หน่วยสืบราการลับ และหน่วยงานอื่นของรัฐมาเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงนั่นเอง
- งานของ MJ 12
หน้าที่หลักของ MJ ก็คือ การสืบสวนในหัวข้อต่าง ๆ ดังที่กล่าว นำเสนอให้ประธานาธิบดีสหรัฐทราบเป็นระยะ ๆ แต่โครงข่ายหลักของ Majestic 12 คือ Majority Operation ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่มีหน้าที่รับผิดชอบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว คณะกรรมการที่อยู่ในหน่วยจะถูกแทนด้วย Codename เช่น MJ1 , MJ2 เรื่อยไปจนถึง MJ12 โดยมีหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐคอยเป็นตัวประสาน เช่นหน่วยป้องกันราชอาณาจักร , CIA (ซึ่งมีเอี่ยวทุกงาน) ตลอดไปจนถึง FBI เป็นต้น
ถ้าการจะก่อตั้งอะไรซักอย่างต้องมีฤกษ์มียาม ฤกษ์ยามของ Majestic ก็คือคดีดังที่รอสเวลล์เมื่อปี 1947 น่านล่ะครับ เพราะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งมาให้สอบสวนเรื่องนี้เป็นกรณีลับ ก็คือ Majestic 12 นั่นเอง ข่าวลือเกี่ยวกับหน่วยงานนี้ ยังมีออกมาอีกบานตะไท เป็นต้นว่าติดต่อกับเอเลี่ยนกลุ่มหนึ่ง โดยมีข้อตกลงว่า พวกเขาจะได้รับความรู้ทางเทคโนโลยี แลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐจะใช้พื้นที่สร้างฐานทัพแก่มนุษย์ ต่างดาว พร้อมมอบตัวอย่างทดลองเป็น ๆ จำนวนหนึ่งให้ศึกษา ซึ่งก็คือ พลเมืองผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ นั้นแหละ
ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วสำนักงานของ Mj อยู่ที่ใด อาจจะตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ 51 ก็ได้ใครจะรู้...การคงอยู่ของหน่วยงานนี้ นอกจากเพื่อศึกษาเรื่อง UFOs หรือสิ่งมีชีวิตนอกโลกแล้ว ยังมีหน้าที่อีกประการคือ ปกปิด ร่องรอย เรื่องราวต่าง ๆ มิให้เผยแพร่แก่สาธารณชน ทันทีที่มีข่าวเรื่องสิ่งบินลึกลับขึ้น เจ้าหน้าที่ของมาเจสติค 12 ก็จะรุดไปสืบสวน และหากมีพยานที่ "สอดรู้สอดเห็น" มากเกินไปการแนะนำและตักเตือนให้หุบปากไว้ก็จะเกิดขึ้น มิฉะนั้น พวกเขาก็จะถูกทำให้กลายเป็นคนชนิดหนึ่งที่พูดไม่ได้ขึ้นมา (คนตายไงค่ะ ชนิดที่รักษาความลับได้ดีที่สุด) จึงไม่น่าแปลกอะไรที่ William Mac Brazel ผู้พบชิ้นส่วนยานลึกลับที่รอสเวลล์ และได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่น แต่ภายหลังแม็คได้กลับคำให้สัมภาษณ์ไปเสียฉิบ [INDENT][FONT=MS Sans Serif][COLOR=darkred][B]วิธีการแก้ข่าวของ Majestic 12 นั้นไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เราคิดหรอกครับ พยานที่รู้มากจะได้รับค่าตอบแทนในการหุบปากเป็นเงินก้อนโต ซึ่งถ้าไปเจอพยานที่หยิ่งไม่ยอมรับเงินก้อนนั้น หน่วยงานของเราก็จะสมนาคุณพวกเขาโดยการส่งเสริมให้ไปนอนกอดศักดิ์ศรีอยู่ในหลุม
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:46:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 8
|
|
|
 |
ตำนานมหาวิทยาลัยโอไฮโอ "สุดเฮี้ยน" ใครที่ได้สัมผัสรอยด่างบนพื้นนั้นจะต้องมีอันเป็นไป
จะทำอย่างไรถ้ามหาวิทยาลัยที่คุณกำลังศึกษาอยู่เคยเป็นโรงพยาบาลจิตเวชมากก่อน? ก่อนที่จะมาเป็นมหาวิทยาลัยโอไฮโอ (Ohio University) สถานที่แห่งนี้เคยเป็นโรงพยาบาลจิตเวชมาก่อน โดยเริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1874 และปิดตัวลงเมื่อปี ค.ศ. 1993 ชื่อว่า Athens Lunatic Asylum ที่มาพร้อมกับตำนานสุดสยองที่เป็นที่กล่าวขวัญกันเรื่อยมา กับวิธีการรักษาคนไข้อันน่าสยดสยองของโรงพยาบาลแห่งนี้ ลองนึกภาพดูสิว่า ณ สถานที่แห่งนี้มีคนไข้ที่ป่วยตาย และคนป่วยจิตเวชที่ต้องกลายมาเป็นมนุษย์ทดลองด้วยวิธีการรักษาแบบแปลกๆ จะทรมานสักแค่ไหน? ตำนานความเฮี้ยนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เริ่มต้นมาจากเรื่องราวของคนไข้จิตเวชประจำโรงพยาบาลรายหนึ่งที่ชื่อว่า มากาเร็ต ชิลลิ่ง วัย 54 ปี ซึ่งหายตัวไปเมื่อวันที่ 1ธันวาคม ค.ศ. 1978 ตอนที่โรงพยาบาลแห่งนี้ยังเปิดทำการอยู่ เธอเป็นคนไข้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินไปไหนมาไหนได้ภายในโรงพยาบาล เพราะเธอสามารถกลับมาที่ห้องเองได้ในตอนเย็น แต่แล้ววันหนึ่งมากาเร็ต ก็ได้หายตัวไป ค้นหาจนทั่วก็หาไม่พบ เป็นเวลานานถึง 6 สัปดาห์ คนงานจึงมาพบร่างของเธอที่ชั้นบนของวอร์ด N20 ซึ่งเคยใช้เป็นวอร์ดรักษาคนไข้ที่ป่วยและติดเชื้อ แต่ปิดไม่ได้ใช้งานมาหลายปีแล้ว พบเธอในสภาพที่นอนเปลือยกายเสียชีวิต โดยเจ้าหน้าที่กล่าวถึงสาเหตุที่เธอเสียชีวิตว่า หัวใจล้มเหลว เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นส่วนที่ไม่ใช้แล้วของโรงพยาบาลที่ไม่มีระบบทำความอบอุ่น อากาศหนาวมากประกอบกับเธอเป็นคนไข้จิตเวชและหูหนวกด้วยจึงไม่ร้องเรียกให้ใครช่วย และนึกว่าตัวเองกำลังเล่นเกมส์ซ่อนหาอยู่ก็เป็นได้ ความสยองที่ยังคงอยู่จากการตายของมากาเร็ตนั่นก็คือ รอยด่างบนพื้น ที่ร่างของเธอได้นอนเสียชีวิตอยู่นั้นยังคงปรากฎอยู่ จนกระทั่งปัจจุบันที่ได้กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยโอไฮโอแล้ว และมีตำนานเล่าว่า ใครที่ได้สัมผัสรอยด่างบนพื้นนั้นจะต้องมีอันเป็นไป ไม่นานก็มีข่าวว่า มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งต้องการจะลองของ จึงได้ไปลูบรอยด่างบนพื้นต้องห้ามนั้น ไม่นานเธอก็ได้ผูกคอตาย และเป็นที่มาของรอยด่างอาถรรพ์ที่ใครๆ ต่างก็พูดถึงมาจนบัดนี้
หอพักนักศึกษาที่ตึกเก่า Wilson Hall
ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นกับความเฮี้ยนของมหาวิทยาลัยโอไฮโอแห่งนี้ เพราะยังมีเรื่องเล่าหลอนๆ เกี่ยวกับหอพักนักศึกษาที่ชื่อว่า Wilson Hall โดยเรื่องสุดสยองนี้เกิดขึ้นที่ห้อง 428 มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตายจากการทำพิธีกรรมถอดจิตที่เป็นศาสตร์มืดแบบแม่มด และได้ใช้เลือดเขียนเป็นปริศนาทิ้งไว้บนกำแพงผนังห้อง หลังจากนั้นไม่นานความเฮี้ยนของห้อง 428 นี้ได้เริ่มขึ้น มีคนได้พบเจอถึงเรื่องแปลกเกี่ยวกับวิญญาณของหญิงสาวที่คอยมาหลอกหลอน จนมีผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนมาก จนปัจจุบันห้องนี้ปิดตายถาวร และรอยเลือดปริศนาบนกำแพงนั้นถูกลอกออกไป แต่ก็ยังมีเหล่าบรรดานักศึกษาพยายามไปลองของกันที่ห้องนี้อยู่เสมอๆ และที่สำคัญ Wilson Hall แห่งนี้ยังได้รับการกล่าวถึงของรายการโทรทัศน์ต่างๆ ที่ไปถ่ายทำที่ตึกแห่งนี้ว่าเป็น สถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก อีกด้วย
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:47:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 9
|
|
|
 |
"วิธีการรักษาสุดโหด เจาะสมองผ่านทางเบ้าตา (Lobotomy)" สมัยช่วงแรกๆ ของศตวรรษที่ 20 วิธีการรักษาด้วยการเจาะสมองผ่านทางเบ้าตาเป็นที่นิยมมากในการรักษาอาการทางจิตต่างๆ ตั้งแต่ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่มีอาการหนักๆ ไปจนถึงผู้ป่วยที่แค่มีอาการซึมเศร้า ใครที่เข้าข่ายในกลุ่มนี้แล้วเดินทางไปพบแพทย์ คุณจะได้รับการรักษาแบบสุดสยองแบบไม่ได้ร้องขอเลยทันที
การรักษาแบบนี้ทำโดยแพทย์จะใช้แท่งเหล็กแหลมยาวๆ (ในสมัยแรกๆ ใช้ที่เจาะน้ำแข็ง) สอดเข้าไปทางเบ้าตาด้านบนผ่านไปยังสมอง แล้วบิดเพื่อทำลายเส้นประสาทที่สมองส่วนหน้า ด้วยวิธีการนี้ที่สามารถทำได้รวดเร็วอีกทั้งไม่ต้องผ่าตัดทำให้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่ารักษาด้วยวิธีนี้เคยได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ.1949 ด้วย แพทย์ที่ทำการรักษาด้วยวิธีนี้อ้างว่า สามารถทำได้ง่าย และรวดเร็ว พอๆ กับไปหาหมอฟัน และเมื่อถึงปี ค.ศ.1960 พ่อแม่ทั้งหลายที่มีลูกวัยรุ่นทีมีปัญหาก็ต่างพาลูกตัวเองมารักษาด้วยวิธีนี้
โชคดีที่วิธีการรักษาแบบนี้ใช้กันอยู่ไม่นานนัก แต่กว่าจะรู้ว่าวิธีการนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดก็อาจจะสายไปหน่อยแล้ว เพราะมีคนไข้โดนเหล็กเจาะสมองไปแล้วกว่า 70,000 คน
ขออภัยหากวันนี้บางเรื่องอาจสยองไปหน่อยนะครับ
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 10:48:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 10
|
|
|
ขอบคุณครับ
Saverum
18 พ.ย. 57
เวลา 11:33:00 IP = 202.12.118.61
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 11
|
|
|
โอ้. สุดยอดครับ
Bio hardrock 18 พ.ย. 57
เวลา 11:59:00 IP = 49.230.113.87
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 12
|
|
|
 |
มีแถมให้เรื่องนึงครับน่าสนใจดี ..........................................................
"เหตุการ์ขับรถทะลุมิติที่เมือง San Bernardino" เรื่องราวอันแปลกประหลาด พิศวง ที่ยังคงหาคำมาอธิบายไม่ได้นี้ เกิดขึ้นในปี 2006 เมื่อ Carol Chase McElheney ตัดสินใจขับรถจากเมืองที่เธออาศัยอยู่ (Perris , California)ไปยังเมือง San Bernardino ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ และห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่ทว่าเมื่อเธอขับรถข้ามแม่น้ำมุ่งหน้าสู่ตัวเมือง San Bernardino แล้วเธอกลับพบเรื่องราวแปลกประหลาดที่สามารถอธิบายได้
เรื่องแปลกที่ว่าก็คือ...ที่นี่ไม่ใช่เมือง San Bernardino!
มันเป็นเมืองที่เธอไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นมาก่อน และเป็นเมืองที่แตกต่างจาก San Bernardino อย่างสิ้นเชิง คำอธิบายแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าหลงทาง? แครอลคิดในใจว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเธอคุ้นกับแถบนี้อย่างมาก และขับรถไปกลับระหว่าง Perris กับ San Bernardino อยู่ตลอด ซึ่งที่ผ่านมาทุกอย่างก็ปกติ มีแค่ครั้งนี้แหละที่มันดูแปลกๆ
แครอลขับรถวนรอบๆ ตัวเมือง และก็บอกกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่า ที่นี่มันเป็นเมืองคนละเมืองกับ San Bernardino อย่างแน่นอน เพราะว่าเธอหาบ้านของครอบครัวเธอไม่เจอ รวมถึงบ้านของเพื่อนๆ และคนรู้จัก แครอลขับรถไปที่สุสานของเมือง เธอพบว่ามันเป็นทุ่งโล่งๆ ที่ปกคลุมไปด้วยหญ้า ที่นี่ไม่ใช่สุสาน!
นอกจากความผิดปกของเมืองแล้ว แครอลยังพบว่า ผู้คนที่เดินไปเดินมาในเมืองต่างก็ดูแปลกจนน่าขนลุก (แน่นอนว่าไม่ใช่คนคุ้นหน้า) ที่สำคัญคือทุกคนดูไม่เป็นมิตร บรรยากาศรอบด้านดูอึมครึมน่าอึดอัด ในที่สุดแครอลตัดสินใจขับรถกลับบ้านของเธอที่ Parris ทันที พร้อมกับคำถามมากมายเต็มหัวที่หาคำตอบไม่ได้
แครอลกลับไปที่เมือง San Bernardino อีกครั้งในปีถัดมา โดยใช้เส้นทางเดิม ซึ่งเมืองทั้งเมืองกลับมาเป็นเมืองที่เธอเคยรู้จักอีกครั้ง ไม่มีสิ่งไหนที่ผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว รวมถึงผู้คนที่เธอคุ้นเคย ....บางทีในตอนนั้นเธออาจจะขับรถทะลุมิติไปอีกโลกหนึ่ง...ก็เป็นได้
ข้อมูล >>>> เพจ : เรื่องผี วิญญาณ เรื่องสยองขวัญ
top2513
18 พ.ย. 57
เวลา 12:37:00 IP = 125.26.18.234
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 14
|
|
|
สยองๆทั้งนั้น ชอบมากครับ เรื่องพระพุทธกินเณรน่าสนใจเดี๋ยวไปลองค้นข้อมูลดูครับ
mawmeaw99
18 พ.ย. 57
เวลา 17:48:00 IP = 223.205.151.100
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 16
|
|
|
ขอบคุณมากครับ
sakai 18 พ.ย. 57
เวลา 20:05:00 IP = 113.53.154.117
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 17
|
|
|
ขอบคุณสำหรับ ความรู้รอบตัวมาก^ ^
ผมติดตามตลอดเลย------ขอบคุณครับ
cakey
19 พ.ย. 57
เวลา 3:43:00 IP = 223.205.163.52
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 18
|
|
|
ขอบคุณครับป๋าอ่านแล้วสนุกมากเลยครับ
deerpoison
20 พ.ย. 57
เวลา 18:02:00 IP = 64.233.173.167
|
|
|
 |
|
 |
|