(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)


(เพจ: Guitarthai.com)
  +++++++++++++ Vanilla Guitar วันนี้ขอมาแบบมีสาระบ้างนะครับ +++++++++++++  
 
สวัสดีครับ วันนี้วันอาทิตย์ว่างๆ ผมเลยอยากทำตัวเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง555 ไหนๆก็เป็นช่างทำกีตาร์แล้ว ก็เลยนั่งเรียบเรียงบทความเกี่ยวกับ
นวัตกรรมของกีตาร์โปร่งมาให้อ่านกันครับ อาจจะยาวหน่อยแต่อยากให้อ่านกันครับ ผมว่ามันมีประโยชน์อยู่พอสมควรครับ เชิญไปอ่านกันเลยครับ


   สมาชิกแบบพิเศษ   vanilla acoustic      2 พ.ย. 57   เวลา 22:39:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 101.108.134.105
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 1  
 
Acoustic Guitar จากวันวานถึงวันนี้

กีตาร์โปร่ง (Acoustic Guitar) เป็นวัฒนธรรมแบบอเมริกันแท้ๆ ที่ตอนนี้ก็แพร่หลายออกไป
อย่างกว้างขวาง จนกีตาร์กลายเป็นเครื่องดนตรีอันดับต้นๆ ที่ครองใจคนทั่วทุกมุมโลก
ใครที่เริ่มหัดเล่นกีตาร์โดยส่วนมากก็เริ่มจากกีตาร์โปร่ง เพราะความเรียบง่ายของมัน
ไม่ต้องอาศัยพื้นที่มาก จะหยิบจับมาเล่นตอนไหนก็สะดวกสบาย
(จะไม่สะดวกก็ตรงที่หัดเล่นใหม่ๆ คนจะรำคาญและไล่ไปเล่นที่อื่นไกลๆ 555)

บทความนี้จะเล่าถึงนวัตกรรมที่สำคัญๆ ของกีตาร์โปร่งตั้งแต่อดีตจนกลายมาเป็นกีตาร์โปร่ง
ที่เราคุ้นตากันในปัจจุบันในแบบย่อๆ เพื่อให้พอเห็นภาพความเปลี่ยนแปลงและทำให้เรา
เข้าใจ “กีตาร์” เครื่องดนตรีที่เรารักมากยิ่งขึ้นครับ

เริ่มต้นใช้สายเหล็ก
…………………………………………………………………………………………………………
ในยุคแรกกีตาร์จะเป็นสาย Gut ที่มีราคาค่อนข้างแพง ในเวลาต่อมาโลกมีวิวัฒนาการสามารถ
ผลิตการพันลวดขึ้นมาได้ทำให้กีตาร์เปลี่ยนมาใช้สายลวดแทนและเริ่มได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
เพราะราคาที่ถูกลง และเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม แต่กีตาร์สายเหล็กในยุคแรกมีอายุไม่ยืนเพราะแรงดึง
ของสายเหล็กที่มีเยอะมากกว่า ทำให้คองอ และ Bridge หลุด คนที่เริ่มทำกีตาร์สายเหล็ก
ให้มีความแข็งแรงอย่างได้ผล(ช่วงยุคปี 1840) คือ Carl and August Larson สองพี่น้อง
ช่างทำเครื่องดนตรีชาวสวีเดน ที่ย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองชิคาโก้

X bracing
…………………………………………………………………………………………………………
ในกลางยุค 1850 Christian Frederick Martin ช่างทำไวโอลินชาวเยอรมันที่ย้ายมาเผชิญโชค
ที่อเมริกา ได้นำรูปแบบ X bracing แบบที่ Orville Gibson ใช้ในกีตาร์ Archtop มาใช้กับ
กีตาร์ Flattop อย่างวงกว้าง ซึ่งเป็นหลักหมุดสำคัญที่ทำให้เกิดกีตาร์ Acoustic อย่างทุกวันนี้
สิ่งที่มาร์ตินนำมาใช้เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบขั้วตรงข้ามกับที่กีตาร์ Flattop เคยเป็นมา
โดยแต่เดิมกีตาร์จะใช้โครงสร้างแบบFan Bracing ที่ถูกกำหนดโดย Antonio De Torres
(ก็คือรูปแบบของกีตาร์คลาสสิคที่เราคุ้นเคยกันอย่างดีนั่นล่ะครับ) ทำให้ได้กีตาร์ Acoustic
ที่ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งเรื่องความแข็งแรงและเสียงที่ตอบสนองดีขึ้น
(ข้อมูลบางที่ระบุว่า ที่จริงแล้วมีการนำ X bracing มาใช้กับ Flattop โดยช่างเยอรมันหลายๆคน
มาก่อนที่มาร์ตินนำมาใช้ แต่มาร์ตินนำมาใช้ในแบบอุตสาหกรรมได้สำเร็จ)

   สมาชิกแบบพิเศษ      vanilla acoustic      2 พ.ย. 57   เวลา 22:43:00    IP = 101.108.134.105
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 2  
 
ขยาย Body กีตาร์ขึ้นเป็น 15 นิ้ว
…………………………………………………………………………………………………………
ในขณะที่ Gibson คู่แข่งตัวฉกาจยังยึดติดอยู่กับกีตาร์ Archtop มาร์ตินผู้ที่ผลักดันกีตาร์ flattop
ได้เริ่มพัฒนาบอดี้กีตาร์ให้ Soundbox ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆควบคู่ไปกับความนิยมและความสำคัญที่เพิ่มขึ้น
ของกีตาร์ในฐานะเครื่องโซโล่ของวง ซึ่งต้องเปล่งเสียงแข่งกับเครื่องดนตรีชนิดอื่น
ทำให้กีตาร์ได้รับความนิยมสูงมากขึ้น และมีการขยายบอดี้ถึงขนาด 15 นิ้วในช่วงปี 1920

Dreadnought
…………………………………………………………………………………………………………
John Deichman ซึ่งในขณะนั้นเป็นหัวหน้าในโรงงานกีตาร์มาร์ตินได้ออกแบบกีตาร์ลำตัวใหญ่ที่สุด
เท่าที่เคยมีมา(ในยุคนั้น) และนำชื่อDreadnought ที่มาจากเรือรบที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้นมาตั้งเป็นชื่อ
ซึ่งในขั้นแรกมาร์ตินได้ผลิตและออกขายในนามของบริษัท Oliver Ditson & Son
แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมนักเพราะถูกมองว่ามันให้เสียงที่ต่ำและดังเกินไป !!!

เฟรตที่ 14
…………………………………………………………………………………………………………
ความเป็นมาของกีตาร์แบบที่เราคุ้นเคยจะสมบูรณ์ที่สุดก็ตอนนี้ เมื่อ Perry Bechtel นักเล่นแบนโจ
ขอให้ทางมาร์ตินผลิตกีตาร์ที่คอยาวขึ้นเพื่อให้คล้ายแบนโจและตัวเขาจะเล่นได้ถนัดขึ้น มาร์ตินตอบรับ
คำขอนั้นโดยนำเอาโมเดล 000 ที่เดิมต่อคอที่เฟรต 12 ขยับมาต่อคอที่เฟรต14 แทนในปี 1929
และเรียกมันว่า OM-28 และด้วยความสำเร็จของโมเดล OM ทำให้ในอีก 2 ปีถัดมา
มาร์ตินกลับไปปัดฝุ่นเอาเจ้า Dreadnought มาต่อคอที่เฟรต 14 เหมือนกันและนำออกขาย
ในนามของมาร์ตินเอง ทำให้ประสบความสำเร็จอย่างมากจนทาง Gibson ต้องออกโมเดลที่ใหญ่กว่า
อย่าง Jumbo มาเป็นคู่แข่ง

   สมาชิกแบบพิเศษ      vanilla acoustic      2 พ.ย. 57   เวลา 22:43:00    IP = 101.108.134.105
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 3  
 
Composite by Ovation
…………………………………………………………………………………………………………
Charles Kaman วิศวกรที่ขณะนั้นประสบความสำเร็จมากจากการผลิตเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งก็เป็นนักดนตรี
ที่เก่งด้วยได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงงานมาร์ตินและประทับใจในการทำกีตาร์เข้าอย่างจังถึงขนาดเสนอ
ซื้อกิจการของมาร์ติน แต่มาร์ตินก็ปฏิเสธ(แหงล่ะใครจะไปขาย) เขาจึงคิดที่จะทำกีตาร์เองโดยใช้วัสดุ
Composite ที่ใช้ทำใบพัดเฮลิคอปเตอร์แบบที่เขาถนัดมาแทนไม้ซึ่ง Kaman คิดว่าเป็นวัสดุ
ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มาขึ้นรูปทรงกึ่งโค้ง (lyrachord) เพื่อสะท้อนเสียงกลับมาทางด้านหน้าทั้งหมด
โดยใช้เวลาพัฒนา 9 ปีเต็ม ก่อนจะผลิตกีตาร์ Ovation ตัวแรกในปี 1966 ทำให้กีตาร์มีหน้าตาต่าง
ไปจากในยุคเริ่มแรกเป็นอย่างมาก
(ในปี 2008 บริษัท Fender ได้เข้าซื้อ Kaman บริษัทแม่ของ Ovation และ Takamine
เพื่อนำโรงงานที่ New Hartford มาผลิตกีตาร์ Guild USA แทน ถือเป็นการปิดฉากกีตาร์หลังเต่า
ที่รุ่งเรืองมากในอดีตยุคหนึ่ง)

NT Neck Joint by Taylor
…………………………………………………………………………………………………………
กีตาร์ Acoustic ส่วนมากจะต่อคอโดยใช้กาวในแบบที่เรียกว่า Dovetail จนกระทั่ง Bob Taylor
ได้ออกแบบการต่อคอแบบใหม่ซึ่งเรียกว่า New Technology (NT) จึงทำให้เกิดการปฏิวัติ
การผลิตกีตาร์ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ที่มีความรวดเร็วในการผลิต และง่ายต่อการปรับแต่งช่อมแซม

   สมาชิกแบบพิเศษ      vanilla acoustic      2 พ.ย. 57   เวลา 22:44:00    IP = 101.108.134.105
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 4  
 
ปัจจุบันและอนาคต
…………………………………………………………………………………………………………
การพัฒนาของกีตาร์จนมาเป็นแบบที่เราเห็นทุกวันนี้มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วนด้วยกันคือ
ช่างทำกีตาร์ นักเล่น และแนวเพลง ที่เป็นส่วนผลักดันกันและกัน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและ
พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ โดยส่วนตัวคิดว่าการที่กีตาร์ Acoustic มีพัฒนาการโดยปรับเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
นั้นเริ่มก็มาจากผู้ผลิตรายสำคัญมีพื้นฐานมาจากเป็นช่างไวโอลินมาก่อนทำให้ไม่เคร่งกับขนบ
ของการทำกีตาร์มากนัก ซึ่งไม่เหมือนกับกีตาร์คลาสสิคแบบสเปนที่ยังรักษารูปแบบ
การสร้างในแบบดั้งเดิมอย่างเคร่งครัดโดยอาศัยการถ่ายทอดวิชาโดยช่างทำกีตาร์จากรุ่นสู่รุ่น

จนถึงตอนนี้กีตาร์ Acoustic มีอายุไม่น้อยแล้วนับจากวันที่มันกำเนิดมามีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
เป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับผมว่าอนาคตกีตาร์จะหน้าตาเป็นยังไง ยิ่งมีโจทย์ใหม่ๆ ที่ต้องบังคับ
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเรื่องไม้ที่กำลังจะหมดไปเรื่อยๆ ผมจะรอดูด้วยความตื่นเต้นว่าอีก 50 ปี
กีตาร์จะหน้าตาเป็นยังไง และที่สำคัญ “ผมยังจะมีแรงทำอยู่ไม๊” 555

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ : )
ช่างพัน

   สมาชิกแบบพิเศษ      vanilla acoustic      2 พ.ย. 57   เวลา 22:44:00    IP = 101.108.134.105
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 5  
 
อ่านเพลินเลย ชอบและขอบคุณมากครับ \m/

   สมาชิกแบบโคตรพิเศษ  3 พ.ย. 57   เวลา 3:31:00    IP = 58.9.48.115
 


  คำตอบที่ 6  
 
ขอบคุณมากฮะ

   naween_top      3 พ.ย. 57   เวลา 3:37:00    IP = 27.145.252.253
 


  คำตอบที่ 7  
 
ขอบคุณครับ ^_^

   สมาชิกแบบพิเศษ      Chutporn      3 พ.ย. 57   เวลา 8:55:00    IP = 1.47.195.51
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 8  
 
ขอบคุณมากฮะ

   junraiman      3 พ.ย. 57   เวลา 8:58:00    IP = 61.47.106.226
 


  คำตอบที่ 9  
 
ได้ความรู้เพิ่ม
ขอบคุณครับ

   กีต้าร์ธน      3 พ.ย. 57   เวลา 10:53:00    IP = 171.98.192.71
 


  คำตอบที่ 10  
 
ขอบคุณครับ

   สมาชิกแบบพิเศษ      Mai_911      3 พ.ย. 57   เวลา 13:52:00    IP = 58.11.81.186
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 11  
 
ยินดีครับ : )

   สมาชิกแบบพิเศษ      vanilla acoustic      3 พ.ย. 57   เวลา 17:26:00    IP = 125.24.1.117
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 12  
 
ชอบมากๆเลยครับ ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ :)

   unn08  3 พ.ย. 57   เวลา 19:22:00    IP = 171.96.182.213
 


  คำตอบที่ 13  
 
ขอบคุณความรู้ดีๆครับ อิอิ

   Nuttapr      4 พ.ย. 57   เวลา 8:42:00    IP = 180.183.59.188
 
 

Bigtone.in.th Online Music Store

Yamaha



ตั้งกระทู้ Login ก่อน Click ที่นี่
ผู้ตอบ :
รูปภาพ:  ( ไม่เกิน 150 K )
ข้อความ :
 

any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket