|
 |
|
 |
|
วันนี้ อาจจะดูโหดหน่อยครับนำเสนอการฆาตรกรรมและฆาตกรต่อเนื่องครับ |
|
|
|
|
|
 |
เรื่องแรกครับ .............................................................. "แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burk William) ดักฆ่าคนกลางทางแล้วเอาศพไปขายให้นักศึกษาแพทย์" “จาการตรวจสอบสมุดบันทึกประจำวันเกี่ยวกับการโจรกรรม และรายการศพที่ลูกค้าต้องการ พบว่า ศพที่ขายให้นักศึกษาแพทย์ในราคาแพงที่สุด คือ “ศพ วันที่ 1 กรกฎาคม ทำให้หาเงินได้ 10 ปอนด์ โดยที่ยังไม่รวมคนที่เขาฆ่าทั้งหมด 30 คน”
แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burke William) คือ มนุษย์สองคนที่ทำอะไรก็ได้เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า และเมื่อช่วงการพัฒนาการผ่าตัดเพื่อทำการรักษาเข้ามาเยือนประทเศอังกฤษในช่วงศตวรรษ 19ซึ่งต้องใช้ร่างกายจริงของมนุษย์มาชำแหละเพื่อทำการวิจัยและตรวจให้ถี่ถ้วน แต่การที่กฎหมายจำกัดให้ใช้เฉพาะศพที่เกิดจากคดีอาชญากรรมเท่านั้น จึงมีการขุดขโมยศพที่เพิ่งเสียชีวิตใหม่ ๆ แล้วนำมาขายให้กับแพทย์และนับเป็นการหาเงินที่ง่ายแต่ได้รายได้หนัก (ประมาณ 7 ปอนด์ ต่อน้ำหนัก) งานหนึ่งของเหล่ามิจฉาชีพที่แพร่ระบาดไปทั่วเลยทีเดียว แต่การขโมยศพก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับแฮร์และเบอร์คที่ฆ่าเหยื่อแล้วสวมรอยเป็นศพที่แอบขุดดื้ ทั้งสองคนเริ่มกิจการที่ไม่น่ามีความเป็นมนุษย์โดยการลงมือฆ่าคนที่บ้านเช่าของพวกเขาก่อน แล้วจึงพัฒนามาเป็นการดักฆ่าเหยื่อตามท้องถนนยามค่ำคืนในปี 1827 ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็นคนเร่ร่อน ที่ไม่มีญาติมิตร คนอ่อนแอ และแม้แต่คนแก่ ซึ่งนับว่าเป็นการมองชีวิตคนอย่างไร้คุณค่า นับเป็นการหาเงินที่ถูกตราหน้าตามที่ประวัติศาสตร์ได้ดูแคลนเอาไว้ จากนั้นก็มาสวมรอยว่าเป็นศพที่ขุดจากสุสาน หลอกขายให้แพทย์ที่รับซื้อ เสร็จแล้วก็ได้ตังค์เข้ากระเป๋าแบบสบายอุรา
แฮร์กับเบอร์ค หาเงินด้วยวิธีนี้มาเรื่อย ๆ กว่า 18 เดือน มีเหยื่อที่ตายด้วยฝีมือของพวกเขา 16 คน (บางข้อมูลก็บอกว่า 30 คน) ก่อนที่เรื่องราวต่าง ๆ จะยุติลงเมื่อกรรมตามสนองทั้งคู่อย่างติดจรวด ย่อมไม่มีเพื่อนในหมู่โจร แฮร์ทรยศหักหลังเบอร์คด้วยการเอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจเพื่อแลกกลับการอภัยโทษตัวเอง ส่งผลให้เบอร์คถูกลงโทษประหารชีวิตเพียงคนเดียว การตายของเบอร์คเป็นสิ่งที่ชดใช้ในการกระทำของเขาได้เป็นอย่างดี เมื่อเบอร์คต้องค่อย ๆ เสียชีวิตจากการแขวนคออันเนื่องจากเชือที่สั้นเกินไป นับว่าเป็นการตายที่ทรมารยิ่งนัก จากนั้นร่างไร้วิญญาณของเขาถูกส่งให้นักเรียนแพทย์เพื่อใช้ชำแหละศึกษา ไม่ต่างจากทุกศพที่เขาฆ่าเพื่อใช้ในการหาเงินแม้แต่น้อย
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:41:00
พิมพ์
แจ้งลบ IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 1
|
|
|
 |
เรื่องที่2ครับใครกำลังจะแต่งงานเลือกดีๆหน่อยนะครับ แฮ่ๆๆๆ ................................................... "Katherine Knight เอาสามีมาทำเป็นอาหาร" Katherine Knight มีประวัติความของความเสียสติมาอย่างยาวนาน เรื่องเริ่มจากที่เธอพยายามฆ่ารัดคอสามีคนแรกในคืนวันแต่งงานของทั้งคู่ เนื่องจากไม่พอใจที่คืนนั้นเขามีเพศสัมพันธ์กับเธอแต่ 3 รอบก่อนจะผลอยหลับไป ซึ่งต่อมาหลังจากที่เขาทิ้งเธอไป Knight ก็เอาลูกสาววัยทารกของทั้งคู่ไปปล่อยไว้บนทางรถไฟ (โชคดีที่ทารกถูกคนจรจัดช่วยเอาไว้ได้ก่อนจะเกิดเหตุอะไรขึ้น) หลังจากนั้นเธอก็บุกเข้าไปในเมืองแล้วข่มขู่คนที่ผ่านไปผ่านมาด้วยขวาน
แต่ยังไม่จบแค่นี้ หลังจากนั้นเธอก็บุกไปฟันหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วบังคับให้ผู้หญิงคนนั้นขับรถพาเธอไปที่ปั๊มน้ำมัน ก่อนจะจับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งเป็นตัวประกัน จนกระทั่งตำรวจมาถึงและจับตัวเธอไว้ได้ (ด้วยการใช้ไม้กวาดทุบ) แต่เรื่องราวสุดสยองจริงๆ ของเธอเริ่มต่อจากนี้ต่างหาก
Knight ได้พบกับ John Price ผู้ซึ่งมีลูกชายติดมาด้วย 3 คน ทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันทั้งๆ ที่นาย John คนนี้ก็รู้ประวัติที่ผ่านมาของเธอเป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนว่าไม่น่าแปลกที่ต่อมาเขาก็ไล่เธอออกจากบ้านแล้วขอคำสั่งศาลคุ้มครอง รวมถึงบอกเพื่อนที่ทำงานไว้ด้วยว่า ถ้าวันไหนเขาไม่มาทำงานอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาถูกฆ่าไปเรียบร้อยแล้ว (เตรียมพร้อมดีมาก) แต่หลังจากนั้นเขากลับทำเรื่องไม่เข้าท่าด้วยการยอมให้เธอกลับมาอยู่ในบ้านอีกครั้ง ซึ่งก็เข้าทาง Knight พอดี John ต้องจ่ายค่าความประมาทนี้ด้วยชีวิตของเขาเอง เมื่อเขาถูกเธอแทงด้วยมีดถึง 37 แผล และเมื่อเขาไม่โผล่ไปทำงานในวันถัดไป เพื่อนของเขาจึงโทรเรียกตำรวจ ซึ่งเดินทางไปยังบ้านของเขาและได้พบกับร่างไร้ศีรษะของ John ที่ถูกถลกหนังออกไปด้วยนอนอยู่บนพื้นในห้องนั่งเล่น
Knight ได้ห้อยผิวหนังที่ถูกถลกออกมาของ John ไว้ที่ตะขอขนาดใหญ่ตรงประตูทางเข้า ส่วนหัวของเขาถูกต้มอยู่ในหม้อ และเนื้อบางส่วนจากบั้นท้ายของเขาก็ถูกนำมาทอดในกระทะพร้อมกับผักและราดน้ำเกรวี่ ทั้งหมดนี้ถูกจัดไว้ในจาน 2 ใบพร้อมกับป้ายชื่อที่แสดงว่า เมนูสุดสยองนี้เตรียมไว้ให้กับลูกชาย 2 คนของ John สุดท้ายของเรื่องราว Katherine Knight ถูกตัดสินว่าผิดจริง และได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:46:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 2
|
|
|
 |
เร่ืองนี้ฆาตกรก็เป็นผู้หญิงครับ ........................................................ "ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง Nannie Doss วางยาคนในครอบครัว" Nannie Doss เป็นคุณยายที่ชอบพิษสารหนูเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้เธอจึงใช้มันในการวางยาสมาชิกในครอบครัวทุกคน ก่อนที่จะถูกจับได้และสารภาพเรื่องราวทั้งหมดอย่างสุภาพพร้อมกับหัวเราะคิกๆ คักๆ ไปด้วย ทำให้เธอได้รับฉายาว่า “คุณยายผู้หัวเราะ” (The Giggling Granny) ก่อนที่เธอที่ถูกจับได้นั้น เธอได้ทำการฆ่าแม่ของเธอ น้องสาว 2 คน ลูกสาว 2 คน ลูกของพี่น้อง หลานชาย และสามีอีก 4 คน อย่างไม่มีสาเหตุ
และสิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ การที่เธอได้ทำการฆ่าคนในครอบครัวมาอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีใครจับได้เลย ถึงแม้ว่าสามีคนแรกของเธอ Charley จะเริ่มสงสัยเมื่อลูกสาว 2 คนของพวกเขาเสียชีวิตจากอาการอาหารเป็นพิษ แต่เขาก็หนีไปกับลูกสาวคนโตที่เหลือโดยไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร (เลยรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด)
Doss แต่งงานใหม่และอยู่กับ Frank สามีคนที่ 2 เป็นเวลานานถึง 16 ปี ซึ่งระหว่างนี้เองเธอก็ฆ่าหลานชายที่เพิ่งเกิดโดยใช้ปิ่นแทงกะโหลกศีรษะ และฆ่าหลานชายที่โตแล้วอีกคนด้วยการวางยาพิษ ส่วน Frank ซึ่งเป็นพวกขี้เหล้า ต่อมาก็ถูกวางยาด้วยเช่นกัน
Doss แต่งงานใหม่อีก 3 หน และสามีทั้ง 3 คนก็เสียชีวิตอย่างลึกลับ เธอทำแม้กระทั่งฆ่าแม่สามีคนที่ 3 หลังจากฆ่าเขาสำเร็จ แล้วเผาบ้านทิ้ง ในระหว่างการแต่งงานครั้งที่ 4 และที่ 5 เธอย้ายเข้าไปอยู่กับน้องสาวที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งต่อมาเธอก็วางยาฆ่าน้องสาวอีกเช่นเคย และถึงจะมีคนรอบตัวเธอเสียชีวิตไปมากขนาดนี้ ก็ยังไม่มีใครสงสัยอยู่ดี
ในที่สุด กว่าเธอจะถูกจับได้ก็ถึงตอนที่เธอวางยาสามีคนที่ 5 ซึ่งผิดพลาดไปหน่อยเพราะเขาไม่เสียชีวิตทันทีแต่กลายเป็นป่วยหนักทำให้ต้องไปเข้าโรงพยาบาลอยู่ 3 อาทิตย์แทน ซึ่งหลังจากเขากลับมาบ้าน Doss ก็ไม่ยอมทำพลาดอีก เธอจึงวางยาเขาโดยสารหนูปริมาณพอที่จะฆ๋าคนได้ 20 คน ตอนนั้นเอง ที่แพทย์ของโรงพยายาลเกิดสงสัยขึ้นมา จึงสั่งให้มีการชันสูตรศพและทำให้รู้ในที่สุดว่า เขาตายเนื่องจากถูกวางยา
ตำรวจสอบสวน Doss ซึ่งเธอก็รับสารภาพในทันที โดยที่หัวเราะไปด้วยตลอดการสัมภาษณ์ในขณะที่ยอมรับว่าฆ่าคนในครอบครัวไปทั้งหมด 11 คน ถึงขนาดตอนที่เธอกำลังถูกส่งขึ้นรถไปเรือนจำเพื่อรับโทษจำคุกตลอดชีวิต เธอก็ยังยิ้มแย้มและบอกกับนักข่าวไปว่า ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลยกับผลที่ตามมา
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:48:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 3
|
|
|
 |
เรื่องต่อมารายนี้หน้าตาก็เอาไป10เต็มแล้วครับ ................................................................................. "ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง Robert Pickton เศรษฐีฟาร์มหมูฆ่าคนให้หมูกิน" Robert Pickton เป็นเศรษฐีเจ้าของธุรกิจฟาร์มหมูใน British Columbia เขาได้ทำการฆาตกรรมโสเภณีจำนวนประมาณในช่วง 50 คน จากในพื้นที่แถบแวนคูเวอร์ ตัดร่างกายออกเป็นชิ้นๆ แล้วเอาให้หมูกิน
Pickton จะขับรถไปรอบๆ พื้นที่ๆ มีโสเภณีอยู่มากในแถบแวนคูเวอร์ หลอกล่อผู้หญิงเหล่านั้นกลับไปที่ฟาร์มของเขาโดยสัญญาว่าจะให้เงินและยาเสพติด หลังจากนั้นก็ฆ่าผู้หญิงเหล่านั้นอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะแยกส่วนร่างกายของเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปกำจัดด้วยวิธีแสนบรรเจิดของเขา
Pickton ไม่ได้เพียงนำชิ้นส่วนร่างกายไปเหยื่อไปเป็นอาหารให้กับหมูเท่านั้น เขายังเก็บส่วนของศีรษะ มือ และเท้าของเหยื่อบางคนไว้ในตู้เย็น ในขณะที่เหยื่อบางคนก็ถูกเอาไปบดในเครื่องสับไม้ จากการสืบสวนยังพบอีกว่า เป็นไปได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์ที่เขาทิ้งชิ้นส่วนของเหยื่อบางคนลงไปปะปนกับชิ้นส่วนของหมูที่ไม่ได้ใช้ (เช่นเครื่องใน เลือด หรือกระดูก) แล้วนำไปขายให้กับโรงงานต่างๆ ทั่วแวนคูเวอร์เพื่อนำไปใช้ทำลิปสติก แชมพู หรือสบู่
ซึ่งในจุดนี้เอง ทำให้เขาไม่ได้น่ากลัวแค่เพราะเป็นฆาตกรต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังน่ากลัวตรงที่เขายังเอาความชั่วร้ายของเขาไปแจกจ่ายเสียทั่วให้กับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อีกด้วย
ระหว่างนั้นเอง หน่วยตำรวจประจำแวนคูเวอร์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้หญิงที่หายตัวไปสักนิด เนื่องจากผู้หญิงที่หายไปทั้งหมดนั้นเป็นคนติดยา และอาจจะร่อนเร่ออกจากเมืองไปเองหรือไม่ก็เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดไปแล้ว ถึงขนาดมีการไล่นักสืบที่เสนอว่า อาจจะมีฆาตกรต่อเนื่องอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม มีเหยื่อของ Pickton คนหนึ่งที่หนีออกมาได้ในสภาพที่เลือดท่วมตัวจากการถูกแทงหลายแผล แต่กลับไม่มีการแจ้งข้อหาอะไรให้เขา เนื่องจากในตอนนั้น Robert Pickton ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีนั่นเอง
แต่ในที่สุด Pickton ก็ถูกนำตัวไปตัดสินโทษ เมื่อคนงานของเขาไปพบหลักฐานเข้าเต็มๆ ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนอย่างเต็มรูปแบบ เขาได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ในระหว่างนั้น ทางการแคนาดาก็ออกมาปลอบขวัญเหล่าประชาชนที่กำลังแตกตื่นว่าตัวเองอาจจะรับประทานหมูที่กินเนื้อคนเป็นอาหารเข้าไปโดยไม่รู้ตัว โดยการยืนยันว่า ปกติแล้วหมูที่ถูกนำมาทำอาหารก็จะได้รับการปรุงจนสุกอยู่แล้ว ทำให้โอกาสที่คนกินจะติดเชื้อจากฆาตกรหรือเหยื่อแทบจะไม่มีเหลือเลย อย่างไรก็ตาม คนฟังก็คงไม่ได้สบายใจขึ้นอยู่ดี ของคุณที่มาข้อมูล-รูปภาพ everyday-readers.com, murderpedia, digitaljournal, moneygunsweed
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:50:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 4
|
|
|
 |
"ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง Russell Williams ขโมยชุดชั้นในผู้หญิงและบันทึกเทปการฆาตกรรม" Russell Williams เป็นพันเอกในกองกำลังของประเทศแคนาดา มีนิสัยโรคจิตชอบแอบเข้าไปในบ้านของเพื่อนหรือคนใกล้บ้านที่มีลูกสาวอายุน้อย ก่อนจะไปเอาชุดชั้นในเด็กสาวเหล่านั้นมาใส่เพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ แล้วทำการสำเร็จความใคร่ทิ้งไว้ให้ดูรอบห้อง
เขาทำแม้กระทั่งพิมพ์ข้อความลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเด็กอายุ 12 ปีคนหนึ่งที่เขาบุกเข้าไปในห้อง เพื่อขอบคุณสำหรับห้องของเธอ
Williamsได้ทำการขโมยชุดชั้นในผู้หญิงกว่า 80 ครั้ง เขามักจะแอบบุกเข้าไปในบ้านทั้งๆ ที่เจ้าของบ้านยังอยู่และไม่ทันรู้ตัว อีกทั้งเขายังเก็บและจัดเรียงรูปถ่ายทั้งหมด (เป็นภาพของเขาในชุดชั้นในผู้หญิง) ไว้เป็นอย่างดีในห้องใต้ดินที่บ้าน ตอนนั้นเอง ที่ Williams ตัดสินใจยกระดับตัวเองจากคนโรคจิตชอบขโมยชุดชั้นในธรรมดาๆ ไปเป็นการลักพาตัวและฆาตกรรม เขาบุกเข้าไปในบ้านของผู้หญิง 2 คน มัดพวกเธอไว้แล้วบังคับให้โพสท่าถ่ายรูปสำหรับเก็บไว้ในคอลเลคชันของเขา หลังจากนั้น เขาก็บุกเข้าไปในบ้านของสิบตรีหญิงคนนี้ที่เขาเคยเจอระหว่างทำงาน ก่อนจะทุบตีเธอด้วยไฟฉายและฆาตกรรมเธออย่างเหี้ยมโหด ที่น่ากลัวคือเขาถ่ายวิดีโอเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ด้วย
และสุดท้าย Williams ได้ลักพาตัวหญิงอีกคนหนึ่งและพาเธอไปยังกระท่อมที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ เขาคุกคามเธออยู่ทั้งวันก่อนที่จะฆ่าเธอด้วยไฟฉายกระบอกเดียวกันกับก่อนหน้านี้ และอีกครั้งที่เขาถ่ายวิดีโอเหตุการณ์ฆาตกรรมยาวกว่า 4 ชั่วโมงเอาไว้ด้วย นอกจากนั้นเขายังถ่ายภาพเอาไว้และเก็บเสื้อผ้าบางชิ้นกลับไปด้วย จากเหตุการณ์นี้ทำให้เขาได้รับฉายาเป็น “ชาวแคนาดาที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์”
ยังโชคดีที่มีผู้สังเกตเห็น Williams แถวๆ บ้านเหยื่อรายสุดท้ายก่อนที่เธอจะหายตัวไป ทำให้ตำรวจสามารถตามจับตัวเขาได้โดยใช้การจับคู่รอยล้อรถและรอยรองเท้าของเขากับของที่พบในที่เกิดเหตุ เขาสารภาพผิดทุกอย่างและถูกตัดสินให้ถูกจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเป็นที่ๆ ไม่นานมานี้เขาก็พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกลืนม้วนกระดาษชำระเข้าไป ส่วนทางกองทัพแคนาดาก็ทำการถอดยศของเขาทั้งหมดและเผาชุดเครื่องแบบของเขาเสีย
ของคุณที่มาข้อมูล-รูปภาพ everyday-readers.com, murderpedia, digitaljournal, moneygunsweed
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:51:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 5
|
|
|
 |
เรื่องต่อมาครับเกิดขึ้นที่ฟิลิปปินส์นี่เองครับ ........................................................ "สยอง!!! ผู้หญิงกินผัว" ตำรวจอินโดนีเซีย จับหญิงฟิลิปปินส์วัย 29 ปีคนหนึ่งในข้อหาฆ่าและกินเนื้อมนุษย์ เธอคนนี้ฆ่าหญิงสาวไปแล้วมากกว่า 30 คน รวมถึงสามีของเธอเองด้วย เธอเก็บเ นื้อของเหยื่อแช่ตู้เย็นเอาไว้อย่างดีสำหรับปรุงอาหาร และสารภาพว่าเธอมีความสุขกับการกินเนื้อคนมานานแล้ว เธอเคยเชิญคนมากินอาหารที่บ้านโดยปรุงเนื้อคนให้กิน ทุกคนชมเปาะว่าอาหารของเธออร่อยมาก แม้แต่โดนจับขังคุก เธอยังกัด รปภ. หญิง แถมกลืนนิ้วมือ รปภ.หญิงเคราห์ร้ายคนนั้นลงไปด้วย 1 นิ้ว
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:53:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 6
|
|
|
 |
"ตำนานเรื่องเล่าห้องน้ำมืด Bloody Mary" บลัดดี้ แมรี่ เป็นผีหรือแม่มด เป็นตำนานพื้นบ้าน(ช่วงปี 1970) ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เป็นพิธีที่มักทำเล่นกันในห้องน้ำที่มืดๆ โดยการเรียกเธอสามครั้ง(หรือหลายครั้ง แต่ความเชื่อปัจจุบันบอก 13 ครั้ง)และความเชื่อนี้พิธีกรรมการละเล่นหลายแบบ แต่โดยรวมๆ คือต้องเข้าไปในห้องน้ำ ปิดไฟและยืนกระจกในที่มืด และเรียกชื่อของเธอสามครั้ง แต่ตอนนี้จะต่างตรงที่อาจมีอะไรเสริมเข้ามา เช่นต้องสวดมนต์ร้อยครั้ง. ต้องเที่ยงคืน, น้ำไหล, ใช้เทียนไข และแมรี่จะปรากฏในกระจกเป็นผีผู้หญิงลางๆ บางทีกระจกจะกลายเป็นสีแดง หรือมีเสียงกรีดร้อง โดยประวัติของแมรี่นั้นค่อนข้างหลากหลายบางคนบอกว่าเธอเป็นแม่มด, หญิงที่สูญเสียลูกจนต้องฆ่าตัวตาย หรือเป็นฆาตกร? เป็นต้นและตำนานของเธอก็ถูกดัดแปลงมากมาย เช่น เป็นพิธีทดสอบความกล้าหากยอมแพ้แมรี่จะเอาชีวิต หรือเป็นรูปแบบพยากรณ์อย่างเช่นปอกแอปเปิลหน้ากระจกตอนเที่ยงคืน ร้องเพลงในคืนพิเศษแล้วมองผ่านกระจกอย่างเร็วๆจะเห็นหน้าของเนื้อคู่ลางๆ เป็นต้น
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:54:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 7
|
|
|
 |
"ฝาแฝดที่ไม่ได้โตมาด้วยกัน แต่ใช้ชีวิตเหมือนกัน" มักมีเรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับฝาแฝดอยู่เสมอ เพราะไม่ใช่หน้าตาที่เหมือนกันเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่ทั้งสองยังเติบโตมาด้วยกัน ในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน ทำให้ฝาแฝดบางคู่เหมือนกันจนน่ากลัว แต่ยังมีบางกรณีที่ฝาแฝดไม่เคยได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่กลับมีอะไรที่เหมือนกันแบบไม่น่าเกิดขึ้นได้
James Edward Lewis อาศัยอยู่ในรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาแต่งงานกับกับผู้หญิงที่ชื่อ Linda แต่ก็หย่ากับเธอแล้วแต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่ชื่อ Betty ซึ่งทั้งคู่มีลูกชายชื่อ James Alan ด้วยกัน
Lewis ถูกครอบครัวอุปถัมภ์รับเลี้ยงไปตั้งแต่ตอนเป็นทารก และเมื่อเขาอายุได้ 30 ปลายๆ เขาก็ออกสืบหาครอบครัว และตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับฝาแฝดของเขา James Arthur Springer ผู้ที่ถูกตั้งชื่อเหมือนกัน นอกจากนั้น ฝาแฝดของเขายังแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อ Linda ก่อนจะหย่าแล้วไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่ชื่อ Betty และมีลูกชายชื่อ James Alan เหมือนกันเป๊ะๆ มีการเผยแพร่เรื่องราวของทั้งคู่ในปี ค.ศ.1979 James และ James (งงดีแท้ๆ) ได้รับการติดต่อจาก Thomas Bouchard ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาที่สนใจอยากทำการศึกษาความเหมือนกันของฝาแฝดที่ไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน ผลจากการศึกษากลับน่าทึ่งยิ่งกว่านั้น เมื่อพบว่าทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันมากกว่านั้น ตอนเด็กๆ ทั้งคู่เคยมีสุนัขที่ชื่อ Toy สมัยเรียนชอบวิชาคณิตศาสตร์และงานช่างไม้แต่ไม่ชอบวิชาสะกดคำ ทั้งคู่ทำงานเกี่ยวกับกฏหมาย (นายอำเภอและหน่วยรักษาความปลอดภัย) ในหนึ่งวันชอบมีอาการปวดหัวในเวลาเดียวกัน
เรื่องแบบนี้อาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่พบว่า ฝาแฝดที่ถูกเลี้ยงดูมาแยกกันสุดท้ายแล้วก็ยังคงมีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:57:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 8
|
|
|
 |
"เตียงสองชั้นผีสิง" เรื่องราวของเตียงสองชั้นผีสิงนี่โด่งดังมากเสียจนกลายเป็นเรื่องสุดฮิตในโทรทัศน์ที่ฉายเกี่ยวกับปริศนาที่ยังไม่มีใครไขได้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1987 ใน Horicon รัฐวิสคอนซิน Alan Tallman และ Debby Tallman ซื้อเตียงสองชั้นมาจากร้านของมือสอง และเอาเก็บไว้ในห้องใต้ดิน หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคม ทั้งคู่ก็ย้ายเตียงขึ้นมาไว้บนบ้าน และ 9 เดือนหลังจากนั้นตั้งแต่คืนแรกที่เตียงถูกย้ายขึ้นไป เรื่องสยองก็เกิดขึ้น
เริ่มจากเด็กๆ ในบ้านเกิดป่วยขึ้นมา วิทยุในบ้านก็จะเปลี่ยนคลื่นไปมาเองทั้งๆ ที่ไม่มีใครไปแตะต้อง เด็กสองคนแรกที่นอนบนเตียงบอกว่าเห็นแม่มด ครอบครัว Tallmans เชิญพระมาไล่ผี แล้วทุกอย่างก็ปกติสุขอยู่สักพัก หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์หลังจากวันคริสมาตในปี ค.ศ.1988 Alan Tallman หลังมาบ้านและได้ยินเสียงเรียกเขาว่า “มานี่” เขาตามเสียงนั่นไปยังโรงรถและพบว่าไฟกำลังไหม้ เขารีบวิ่งไปหยิบถังดับเพลิง แต่เมื่อกลับมายังโรงรถอีกครั้งก็พบว่าไฟได้หายไปแล้ว หลังจากเรื่องราวสยองขวัญที่หลายครั้งต่อมา ครอบครัว Tallmans ก็คิดได้ว่า “พอกันที” แล้วจัดการเผาเตียงนั่นเสีย แล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หลังจากนั้นก็ไม่เกิดเหตุการณ์แปลกๆ ขึ้นอีกเลย
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:58:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 9
|
|
|
 |
"กะโหลกกรีดร้องแห่งหอประชุม Burton Agnes" เรื่องลึกลับของกะโหลกกรีดร้องเป็นเรื่องราวที่มาจากแถบสหราชอาณาจักร มีการบันทึกไว้ว่า หัวกะโหลกหลายชิ้นที่ถูกย้ายออกมาจากที่อยู่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ลึกลับที่เกี่ยวกับวิญญาณและเสียงกรีดร้องที่ไม่สามารถอธิบายได้ หนึ่งในหัวกะโหลกกรีดร้องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ของที่หอประชุม Burton Agnesใน East Yorkshire หอประชุมนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงของราชินีอลิซาเบ็ธที่ 1 โดยท่านเซอร์ Henry Griffiths และเหล่าน้องสาวของเขา ระหว่างการก่อสร้างนั้น น้องสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่า Anne ถูกแทงเสียชีวิตโดยบุคคลนิรนาม ก่อนที่เธอจะสิ้นใจ เธอให้พี่น้องของเธอสัญญาว่า จะตัดศีรษะของเธอออกแล้วให้เก็บไว้ในหอประชุมนี้ (อาจจะเป็นหนึ่งในคำขอก่อนตายแปลกสุดๆ เท่าที่เคยมีมา)
แต่พี่น้องของเธอก็ไม่ได้ทำตามคำขอนั้น พวกเขาฝังร่างเธอทั้งหมดเอาไว้แทน หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงครางเหมือนคนที่ถูกฝังดังไปทั่วทั้งหอประชุม พี่น้องที่แตกตื่นของ Anne รีบไปที่หลุมฝังศพของเธอและพบว่า ร่างกายที่เหลือแต่กระดูกนั้นส่วนศีรษะได้ถูกตัดแยกออกจากร่างกาย ทั้งหมดนำเอาหัวกะโหลกไปวางไว้ในหอประชุม แล้วเสียงครางต่างๆ ก็หายไป
หลังจากนั้น ลูกหลานของท่านเซอร์ Henry ที่รับสืบทอดหอประชุมต่อก็ย้ายหัวกะโหลกออก แต่ทุกครั้งที่หัวกะโหลกถูกย้ายออกไป ตึกก็จะเกิดการสั่นและเหล่ารูปภาพที่แขวนไว้ก็จะตกลงมา ในที่สุด ลูกหลานของเซอร์ Henry ก็ตกลงกันว่าจะเก็บกะโหลกเอาไว้ในตึกโดยซ่อนเอาไว้ในกำแพง ที่ซึ่งมันก็ยังคงอยู่มาจนถึงวันนี้
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 9:59:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 10
|
|
|
 |
"กระจกผีสิง Myrtles Plantation" Myrtles Plantation เป็นสถานที่ๆ อยู่ในรัฐหลุยเซียน่า พื้นที่กว้าง 10 เอเคอร์และมีอายุกว่า 200 ปีนี้เคยเป็นที่อยู่ของบ้านหลายหลัง แต่ปัจจุบันนี้กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ชอบเรื่องเหนือธรรมชาติ ว่ากันว่า ทุกๆ คืนตอนตี 3 จะมีวิญญาณ 15 ตนออกมา วิญญาณ 4 ตนในนี้มาจากเรื่องเล่าโศกนาฏกรรมของครอบครัว Woodruff และทาสสาวที่ชื่อว่า Chloe
ในปี ค.ศ.1817 Sara Mathilda ได้รับสืบทอดพื้นที่นี้มาจากพ่อของเธอ เธอย้ายเข้ามาอยู่กับสามีของเธอที่ชื่อว่า Clark Woodruff กับลูกอีก 3 คน และทาสที่ชื่อ Chloe คืนหนึ่ง Clark จับได้ว่า Chloe แอบฟังบทสนทนาลับของ เขาจึงตัดหูของเธอออกเสีย หลังจากนั้น Chloe ก็สวมผ้าโพกหัวสีเขียวอยู่เสมอเพื่อปกปิดร่องรอย เพื่อให้ได้รับความไว้ใจของเจ้านายคืนมา Chloe วางแผนขึ้นมา เธอทำเค้กวันเกิดให้กับลูกสาวคนโตของบ้าน แต่แอบใส่ใบ oleander ซึ่งเป็นพืชมีพิษที่พบได้ในแถวนั้น
แผนของเธอก็คือ เมื่อทั้งครอบครัวป่วย เธอจะเป็นคนเดียวที่รู้ทางแก้ และเมื่อเธอช่วยรักษาพวกเขานายจ้างก็จะกลับมาชอบเธออีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องราวผิดแผนไปหมด เมื่อ Chloe ใส่ยาพิษมากไป ทำให้ Sara และลูกสาวสองคนของครอบครัวเสียชีวิต ด้วยความตื่นตระหนก Chloe สารภาพเรื่องนี้กับทาสคนอื่นๆ ซึ่งตื่นตระหนกเช่นกันแล้วกลัวว่าจะถูกกล่าวหาว่าซ่อนตัวคนร้ายไว้ ทั้งหมดจึงพากันแขวนคอ Chloe และทิ้งร่างของเธอลงในแม่น้ำมิสซิสซิปปีเสีย
ตามประเพณีของทางนั้น เมื่อมีสมาชิกในบ้านเสียชีวิตลงกระจกทุกบานในบ้านจะต้องถูกคลุมไว้เพื่อที่วิญญาณคนตายจะได้เดินทางไปยังอีกโลกได้และไม่ถูกผูกติดไว้ในเงาของกระจกในโลกนี้ และตามประเพณีนี้ ในคืนที่ครอบครัว Woodruff ถูกวางยาพิษ กระจกทุกบานก็ถูกคลุมไว้ ยกเว้นบานหนึ่ง ซึ่งมีคนเห็นวิญญาณหญิงสาวผิวดำใส่ผ้าโผกหัวสีเขียวปรากฏขึ้น นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ยังจะได้ดูกระจกอีกบานหนึ่งในบ้าน ซึ่งว่ากันว่าวิญญาณของแม่และลูกๆ ถูกขังเอาไว้ บางคนอ้างว่าเห็นรอยมือและหน้าของเด็กๆ บนกระจก ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม คุณคงไม่อยากไปนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกนี้แน่นอน
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 10:04:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 11
|
|
|
 |
"การทดลองที่ไม่คำนึงถึงศีลธรรม 2 Unit 731" ย้อนไปในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 อันเป็นที่มาของการก่อ ตั้ง หน่วยปฏิบัติการ 731 ด้วยเหตุว่าเมื่อเกิด สงคราม เป้าหมายคือชัยชนะ ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเล่ห์เพทุบายมาใช้โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมหรือความชอบธรรม ใด ๆ และสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งคือ การใช้สารพิษและ อาวุธชีวภาพ หรือพูดง่าย ๆ ว่าอาวุธเชื้อโรคเพื่อทำลายพลเมืองทีละเป็นหมื่นเป็นแสนคน จนเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่สุดในอาชญากรรมสงครามของญี่ปุ่น
หน่วยปฏิบัติการ 731 (1937-1947) เป็นชื่อหน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น ภายใต้การควบคุมกำกับโดยนายแพทย์ อิชิอิ ชิโร (Shiro Ishii)?การทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์ในการสร้างพัฒนาอาวุธเชื้อโรคเพื่อใช้ในสงครามอย่างมี ประสิทธิภาพ และการทดลองนี้จำเป็นที่ต้องใช้มนุษย์เป็นๆ ในการทดลองจำนวนมาก
หน่วยนี้ได้ถูกส่งมายังประเทศจีนและเลือกเมืองฮาร์ปินเป็นที่ตั้ง และปกปิดชื่อโครงการโดยใช้ชื่อ ?หน่วยงานพิเศษเพื่อ การศึกษาภูมิคุ้มกันและการบำบัดน้ำเสีย? จากนั้นก็นายทหารผู้ช่วยให้ตระเวนจับชาวจีนหรือรัสเซียผู้โชคร้ายมายังห้อง ปฏิบัติการ เพื่อทดลองมนุษย์เป็นๆ
การ ทดลองของโครงการ นี้มีหลายอย่าง เช่น
การผ่ามนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ, การใส่สารพิษที่คิดค้นมาใหม่ลงไปในหารและน้ำดื่ม เพื่อฆ่าประชาชนทีละมาก ๆ, การบังคับ ให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิส (หนองใน) นับสิบคน เพื่อศึกษาการพัฒนาเชื่อซิฟิลิสที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์, การฉีดเลือดสัตว์ที่มีเชื่อเข้าร่างกายมนุษย์ที่ถูกจับมา เป็นเหยื่อ เพื่อดูผลการแพร่เชื้อในมนุษย์เป็น ๆ, การจับ เหยื่อห้อยหัวลงจนกว่าจะตาย เพื่อทดสอบความทนในการเอาชีวิตรอด, การจับเหยื่อเข้าไปในห้องทดลอง และอัดความดันหรือดูดอากาศออกจนร่างระเบิดเละ, การจับ มนุษย์เปลือยร่างแช่ในน้ำอุณหภูมิเป็นลบ, การตัดเอา ชิ้นส่วนมนุษย์ออก เช่น ตัดกระเพาะออก นำลำไส้ต่อตรงมาที่หลอดอาหารเพื่อดูว่ามนุษย์ไม่มีกระเพาะอาหารจะมีชีวิต อยู่ได้หรือไม่, การตัดแขนขา และนำต่อใหม่ด้วยการสลับข้าง ฯลฯ ซากของเหยื่อผู้ เคราะห์ร้ายจะถูกโยนเข้าไปในเตาเผาด้านหลังของหน่วยปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้คือ ภารกิจของหน่วยปฏิบัติการ 731 หน่วยปฏิบัติการ 731 ได้เคยทดลองใช้อาวุธ ชีวภาพเพื่อฆ่ามนุษย์ทั้งในห้องปฏิบัติการและในสนามรบของประเทศจีนมากกว่า 2,700 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตล้มตายนับจำนวนไม่ได้ มีการลอบใส่สารพิษลงไปในน้ำดื่มและอาหารที่ประชาชนบริโภค การโปรยหมัดที่ติดเชื้อรุนแรงลงไปในเมืองใหญ่ ๆ ปล่อยเชื้อไข้ไทฟอยด์ อหิวาห์ บิด ลงไปในน้ำดื่ม การใช้ก๊าซพิษฆ่าคนทีละ มาก ๆ
ใน เวลาต่อมาเมื่อ หน่วยถูกยุบ นายแพทย์อิชิอิ ชิโร ไม่ได้ถูกตัดสินหรือจำคุกในฐานะอาชญากรในสงครามใดๆ ทั้งสิ้น เขาเสียชีวิตลงเมื่ออายุ 67 โดยโรคมะเร็งลำคอ
top2513
27 ก.ค. 57
เวลา 10:06:00 IP = 125.26.32.121
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 13
|
|
|
ขอบคุณมากครับ อ.ท๊อป น่ากลัว จังจัง ครับ...
khakai
27 ก.ค. 57
เวลา 12:03:00 IP = 223.207.251.225
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 14
|
|
|
ขอบคุคณครับป๋าท็อป
deerpoison
27 ก.ค. 57
เวลา 13:03:00 IP = 64.233.173.41
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 15
|
|
|
ช่วงนี้ป๋ามาแนวโหด
deerpoison
27 ก.ค. 57
เวลา 13:04:00 IP = 64.233.173.41
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 16
|
|
|
Bloody Mary เรื่องนี้ เมื่อก่อนทำผมหลอนเหมือนกันครับ
ขอบคุณครับ
Saverum
27 ก.ค. 57
เวลา 15:15:00 IP = 49.230.67.49
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 17
|
|
|
Bloody Mary เรื่องนี้ เมื่อก่อนทำผมหลอนเหมือนกันครับ
ขอบคุณครับ
Saverum
27 ก.ค. 57
เวลา 15:15:00 IP = 49.230.67.49
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 18
|
|
|
ขอบคุณครับผม..
eid_guitar 27 ก.ค. 57
เวลา 21:02:00 IP = 101.51.30.73
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 20
|
|
|
ขอบคุณครับ.
kong3k 28 ก.ค. 57
เวลา 10:21:00 IP = 1.4.162.111
|
|
|
 |
|
 |
|