Thailand Web Stat
    








(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)


(เพจ: Guitarthai.com)
  วันนี้นำเสนอเรื่องแปลก ลึกลับ กันอีกครั้งครับ(ครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้55)  
 
เรื่องแรกครับเกิดในแดนมังกร
..................................................................
"สาวจีนถูกงูในโหลยาดองฉก หลังดองนาน 3 เดือน"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่า งูตัวนี้พิษสงเหลือร้ายจริง ๆ ขนาดถูกดองในโหลยาดองนานถึง 3 เดือน แต่มันยังไม่ตายแถมยังฉกสาวจีนนามว่า หลิว จากเมืองชวงเฉิง มณฑลเฮยหลงเจียงของจีน ขณะที่เธอเปิดโหลเพื่อเทยาดองเติมลงไป เพื่อเยียวยาความเจ็บปวดตามความเชื่อของชาวจีน จนเธอได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2556

แต่ทั้งนี้นับว่าเป็นโชคดีของสาวรายนี้ เพราะเธอไม่ได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิตแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาเคยมีกรณีงูในโหลยาดองยังคงมีชีวิตอยู่และโผล่ขึ้นมากัดคนจนบางรายถึงขั้นเสียชีวิตไปเลยเช่นกัน ผู้คนต่างเชื่อว่าเพราะแรงอาฆาตแค้นของงูที่จ้องจะเอาชีวิตผู้ที่ทำร้ายเค้าอย่างทรมานแม้ถึงวาระสุดท้ายแล้วก็ตาม โดยเฉพาะงูเห่าที่คนโบราณเคยกล่าวไว้


   สมาชิกแบบพิเศษ   top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:01:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 1  
 
"ไอศครีมนมแม่ อันเลื่องชื่อ!"
เมื่อราวสองปีก่อน ทั่วโลกต้องตะลึง เมื่อ แมตต์ โอ คอนเนอร์ ผู้ก่อตั้งร้าน ดิ ไอศกรีมมิสต์ ในกรุงลอนดอน ผลิตไอศกรีม ‘เบบี้กาก้า’ ที่ทำจากน้ำนมมนุษย์ ซึ่งเขาประกาศรับบริจาคจากบรรดาคุณแม่ทางอินเตอร์เน็ต โดยให้ค่าตอบแทนราว 744 บาทต่อ 10 ออนซ์ และขายในราคาถ้วยละประมาณ 700 บาท พร้อมพนักงานขายที่แต่งตัวหลุดโลกเหมือนเลดี้กาก้า จึงทำให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าตั้งแต่เริ่มวางขาย ส่วนมากลูกค้าจะเป็นผู้ชายซะส่วนใหญ่ติดใจในรสชาติและกลิ่นอันเย้ายวนใจ อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะอวดสรรพคุณว่าน้ำนมแม่นั้นทั้งบริสุทธิ์และอุดมไปด้วยสารอาหาร แต่ก็ถูกสั่งระงับการผลิตหลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจากทางการออกมาเตือนว่าน้ำนมมนุษย์อาจเป็นพาหะของไวรัส และโรคตับอักเสบได้ อีกทั้งยังถูกฟ้องจากนักร้องสาวซ่า เลดี้กาก้า ฐานอ้างชื่อของเธอเพื่อโปรโมตธุรกิจไปแบบฟรีๆ!

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:02:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 2  
 
"พบฐานทัพ มนุษย์ต่างดาว ในแอนตาร์กติกา"

เมื่อไม่นานนี้มีการค้นพบทางเข้าอุโมงค์ปริศนา จาก Google Earth ในแอนตาร์กติกา เชื่อว่าอาจเป็นทางเข้าฐานทัพของมุนษย์ต่างดาวก็เป็นได้ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ คือ ปากถ้ำมีความสูง 30 เมตร และกว้าง 90 เมตร เชื่อว่าอาจเป็นทางออกของยาน UFO และห่างกันไม่ไกลมากนักพบอีกหนึ่งทางเข้า ซึ่งปากถ้ำนี้มีโครงสร้างคล้ายกับโดม ซึ่งมีลักษณะที่ดำเงาแตกต่างจากก้อนหินของเชิงเขาโดยสิ้นเชิง แต่ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ ไม่เคยมีรายงานว่ามนุษย์เคยเข้าไปสำรวจในช่องถ้ำนี้เลยเพราะกลัวว่าจะเอาชีวิตรอดออกมาไม่ได้
เพราะถึงแม้มนุษย์ต่างดาวจะมีอยู่ในระบบสุริยะอื่น ซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกเรามาก การเดินทางข้ามอวกาศระหว่างระบบสุริยะ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะในจักรวาลและกาแล็กซีทางช้างเผือก จะต้องมีดาวเคราะห์จำนวนมหาศาล ซึ่งเกิดก่อนดาวเคราะห์โลกเป็นหลายร้อยหรือหลายพันล้านปี และก็เป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์ต่างดาวก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการเดินทางข้ามอวกาศเหนือมนุษย์โลกมาก จนกระทั่งสามารถเดินทางมาเยือนโลกเราได้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตอย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีรายงานมากมายทั่วโลก การเผชิญหน้าของมนุษย์โลกกับมนุษย์ต่างดาว แต่บทสรุปที่เป็นวิทยาศาสตร์ถึงขณะนี้ คือ ยังไม่มีหลักฐานอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า มนุษย์ต่างดาวได้เคยเดินทางมาถึงโลกเราแล้ว
ลองพิจารณากันดู จากในคลิป

ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2013/06/blog-post.html#ixzz2hCTWLCmq

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:03:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 3  
 
เรื่องนี้เป็นหนังเก่าสยองมากผมดูมาเมื่อเกือบ20ปีแล้วมั๊งครับ
..................................................................................................
"ซาลาเปาเนื้อคน จากคดีดังในฮ่องกงถ่ายทอดสู่ภาพยนต์สุดโหด"
จากเรื่องจริงของคดีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในฮ่องกง ที่ภัตตาคารหวังกวง ในจังหวัดเสฉวนภาคกลางของจีน ขึ้นชื่อว่ามีซาลาเปาอร่อยนักอร่อยหนา ลูกค้าพากันหลั่งไหลไปซื้อ แต่หารู้ไม่ว่านายหวังเปลี่ยนไส้ซาลาเปาจากเนื้อหมูเป็นเนื้อคนแทน เนื่องจากเศรษฐกิจของร้านเขาไม่ค่อยดี ทำให้ไม่สามารถซื้อเนื้อหมูชั้นดีมาทำเป็นซาลาเปาหรือติ่มซำได้ ประกอบกับน้องนายของหวังนั่นเป็นสัปเหร่อคนคอยจัดการศพ หน้าที่ของน้องชายเขาคือนำศพของผู้เสียชีวิตไปทำพิธีการทางศาสนาแล้วก็ฝัง และแล้วหวังก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา โดยร่วมมือกันน้องชายชำแหละศพออกเป็นชิ้นๆโดยเขาเลือกใช้เนื้อส่วนเอวและแก้มก้น อาจเป็นเพราะว่านุ่มและมีไขมันมากคล้ายเนื้อหมู จากนั้นนำมาบดและหมักคลุกเคล้าทำเป็นไส้ซาลาเปาและแล้วผลลัพธ์คือลูกค้าพากันชื่นชอบกันอย่างมากมาย เพราะว่าซาลาเปาของเขาหวานหอมนุ่มลิ้นเสียเหลือเกิน ทำให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากและแน่นอนจำนวนศพที่เขาตัดชิ้นส่วนไปทำซาลาเปาก็เพิ่มตามไปด้วย แต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อพ่อแม่ของศพลูกสาวของเขาขอดูศพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฝัง ทันใดนั้นทุกคนก็แทบเป็นลมล้มตึงเมื่อเห็นร่างของศพลูกสาวถูกเฉือนเนื้อหายไป เรื่องราวจึงถึงตำรวจ สืบสวนสาวไปสาวมาจนพบความจริงที่สุดแสนจะอาเจียนว่าเนื้อที่หายไป หายไปอยู่ในซาลาเปาที่เราๆกินกันนั่นเอง The Untold Story หนังทำออกมาได้โหดมากครับถึงกับโดนแบนและสั่งห้าม ว่าห้ามทำหนังแบบนี้อีก ไทยเราก็เอาเข้ามาฉายครับแต่ถูกตัดไปบานเลยเนื่องจากความโหดของหนัง ทันทีที่หนังเรื่องนี้ฉายในประเทศจีน ทำให้พวกเขาขยาดซาลาเปากันไปนานเลยทีเดียวล่ะ
แค่เป็นหนังโหดที่ทำมาจากเรื่องจริง แค่นี้ก็เรียกความสนใจของดูได้มากโขแล้วล่ะ อีกที่มาของเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของคนขับแท็กซี่ผิดกฏหมายคนหนึ่งที่แอบเข้าไปหลบตำรวจในบ้านครอบครัวที่ค้าขายซาลาเปา เขาลงมือฆ่าสมาชิกภายในบ้านยกครอบครัวไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ จากนั้นทำลายศพด้วยการแล่พวกเขาออกเป็นชิ้นๆ เลาะเนื้อออกจากระดูกแล้วนำเศษกระดูกไปทิ้งถังขยะทำเหมือนว่านี่เป็นกระดูกของหมูที่ใช้ทำไส้ซาลาเปา ส่วนเนื้อเขาเอาไปเข้าเครื่องบด บดออกมาทำเป็นไส้ซาลาเปาแล้วแฝงตัวเป็พ่อค้าซาลาเปาแทน อ้างตัวเองว่าเป็นญาติของเจ้าของร้านมาดูแลร้านแทน จนกระทั่งมีคนสงสัยแล้วเรื่องราวของเขาก็ถึงคราวยุติเมื่อมีคนทราบความจริงของไส้ซาลาเปาของเขา จึงเป็นการปิดตำนานซาลาเปาเนื้อคนที่เล่าขานกันตราบนานเท่านาน ณ เวลานั้นเป็นหนังฮ่องกงที่รุนแรงและโหดเหี้ยมที่สุด หลายๆฉากแสดงถึงความโหดร้ายไร้ความเมตตา ไทยนำเข้ามาตัดฉากพวกนี้ออกกระจายเลยแต่ก็ยังไม่วายดูโหดอยู่ดี ขอบอกเลยว่าตัวเต็มแบบไม่ตัดนั้นโหดกว่ามาก ฆาตกรในเรื่องแสดงได้อย่างจิตถึงใจ โหดแบบไร้ขั้วความเป็นมนุษย์ ทั้งฆ่าเด็กต่อหน้าพ่อแม่ ฆ่าพ่อแม่ต่อหน้าลูก ข่มขืนทำร้ายร่างกาย ป่าเถื่อนสุดวิปริตถึงหนังจะทำให้ออกมาสไตล์โหดและตลก ซึ่งผมดูแล้วมันตลกไม่มากหรอก ที่เหลือโหดร้ายมาก

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:04:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 4  
 
"ผู้ชายอยู่ยากขึ้นทุกวัน ผู้หญิงแต่งงานกับกำแพงเบอร์ลินอันโด่งดัง"
Eija-Riitta Berliner-Mauer ซึ่งปัจจุบันอายุ 54 ปี นามสกุลของเธอ Berliner-Mauer เป็นภาษาเยอรมันที่แปลได้ว่า กำแพงเบอร์ลิน ใช่แล้ว หญิงคนนี้แต่งงานกับกำแพงเบอร์ลินอันโด่งดังตั้งแต่ปี ค.ศ.1979
Eija-Riitta ป่วยเป็นโรคที่เรียกว่า Objectum-Sexuality หรือ อาการตกหลุมรักกับสิ่งของที่ไม่มีชีวิต เธออ้างว่าเมื่อเธออายุได้ 7 ปี เธอเห็นภาพกำแพงเบอร์ลินในโทรทัศน์แล้วก็เกิดตกหลุมรักทันที ตั้งแต่นั้นมา เธอเริ่มสะสมภาพของกำแพงและเก็บเงินเพื่อเดินทางไปดูของจริง จนกระทั่งปี ค.ศ.1979 ทั้งสอง ได้ตัดสินใจแต่งงานกัน
เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เธอรู้สึกว่าสิ่งก่อสร้างแบนๆ ที่มีเส้นแนวนอนยาวๆ ดึงดูดใจเธอเป็นพิเศษ สำหรับกำแพงอื่นที่ไม่ใช่กำแพงเบอร์ลินนั้นเธอบอกไว้ว่า “กำแพงเมืองจีนก็มีเสน่ห์มากเหมือนกัน แต่เขาหนาไปหน่อย สามีของฉันดู Sexy กว่าเยอะ”
เมื่อกำแพงถูกทลายลงเมื่อปี ค.ศ.1989 เธอก็ต้องตื่นตระหนกอย่างที่สุดเมื่อ “สามี” ของเธอถูกทำลายลง แต่ปัจจุบันนี้เธอทำใจได้แล้ว และเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับรั้วล้อมสวนแทน

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:06:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 5  
 
"Ivan Stoiljkovic เด็กชายพลังแม่เหล็ก จากโครเอเชีย"
รายงานข่าวจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ The Telegraph ของอังกฤษ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอของเด็กชายที่มีความสามารถพิเศษชื่อว่า “Ivan Stoiljkovic” จาก Koprivnica ใน Croatia ซึ่งเมื่อเขาถอดเสื้อออก วัตถุต่างๆ ที่ทำจากเหล็ก ไม่ว่าจะเป็น ช้อนส้อม มือถือ รีโมททีวี แม้แต่กะทะสามารถดูดติดบนร่างกายเขาได้โดยไม่ร่วงหล่น…ว้าว!!!
ญาติพี่น้องของ Ivan ยังบอกอีกด้วยว่า เด็กน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาจะดูดวัตถุที่เป็นเหล็กติดตัวได้เท่านั้น แต่เขายังมีความแข็งแรงกว่าเด็กคนอื่นๆ (แต่ดูจะตุ้ยนุ้ยไปหน่อยนะ) ในวัยเดียวกันอีกด้วย โดย Ivan สามารถยกถุงซีเมนต์ที่มีน้ำหนัก 50 ปอนด์ได้อย่างง่ายดาย แม้จะมีอายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น (ข้อมูลจาก Wikipedia บอกว่า เขาเดินได้ตอน 8 เดือน เล่น rollerbrade เป็นตอน 15 เดือน และขี่มอเตอร์ไซด์คันเล็กได้ตั้งแต่ 2 ขวบ ???) เรื่องยังไม่จบแค่นี้ Ivan ยังมีพลังมหัศจรรย์อีกด้วย โดยสมาชิกในครอบครัวของเขาบอกว่า Ivan สามารถใช้มือรักษาอาการปวดท้องให้กับปู่ของเขาได้ แถมยังรักษาอาการเจ็บปวดที่บริเวณขาของเพื่อนบ้านที่ประสบอุบัติเหตุจากรถ แทรคเตอร์ได้อีกต่างหาก

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:06:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 6  
 
"เศรษฐีรัสเซีย ทุ่มเงินทำตัวเองเป็นอมตะ"
ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังเจริญก้าวหน้าอย่างไร้จุดสิ้นสุด มนุษย์ก็กำลังคิดค้นวิธีเพื่อยืดอายุตัวเองให้อยู่คู่โลกนี้ให้ได้นานที่สุด โดยเฉพาะกับเศรษฐีที่อยากอยู่ใช้เงินไปนานๆ หนึ่งในนั้นคือไอเดียสุดพีคของ ดิมิทรี อิทควอฟ Dimitry Itskov อภิมหาเศรษฐีชาวรัสเซียวัย 32 ที่ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลกับโปรเจค “Initiative 2045″ ให้ตัวเองเป็นอมตะ!!! โดยวางแผนว่าจะสำเร็จในปี 2045 หรืออีกกว่า 30 ปีข้างหน้า
โดยแนวคิดของโปรเจคดังกล่าวคือการสร้างหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์หรือ Android ให้กับตัวเองนั่นเอง

แนวคิดดังกล่าวอาจฟังดูเพ้อฝันไปหน่อยในความเป็นจริง โดยมุ่งใช้เทคโนโลยีถ่ายโอนอัตลักษณ์ของบุคคลสู่หุ่นยนต์ที่ได้รับการพัฒนามาโดยเฉพาะ

อิทควอฟตั้งชื่อหุ่นยนต์อมตะนี้ว่า “อวตาร์” ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากหนังดังของเจมส์ คาเมรอนเมื่อปี 2009 โดยใช้แผงวงจรคอมพิวเตอร์คล้ายๆกับกลไกของหุ่นอวตาร์ในหนังนั่นเองซึ่งก็ยังฟังดูคลุมเคลืออยู่ดี แต่อิทควอฟได้ลงทุนจ้างผู้เชี่ยวชาญระดับโลกหลายคนมาร่วมมือเพื่อโปรเจคนี้โดยเฉพาะ โดยมหาเศรษฐีแดนหมีขาวกล่าวว่า
“พวกเรามนุษย์กำลังจะเข้าสู่ยุควิวัฒนาการที่ควบคุมได้ “
อิทควอฟคาดว่าในปี 2025 ระบบที่ควบคุมหุ่นยนต์จะสามารถเชื่อมเข้ากับหุ่นยนต์ได้ นั่นหมายความจะสามารถปลูกถ่ายสมองมนุษย์เข้ากับหุ่นยนต์ ในปี 2035 มนุษย์จะสามารถอัพโหลดสมองตัวเองเข้ากับหุ่นยนต์ และในปี 2045 มนุษย์จะมีร่างกายอีกร่างในแบบโฮโลแกรม (ภาพ3มิติ) ซึ่งถือเป็นการเริ่มสปีชีส์ใหม่ของมวลมนุษยชาติ

ทุกอย่างดูเข้าใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น และไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป เมื่อทาง Global Future Congress ได้จัดการประชุมครั้งแรกที่มอสโควเมื่อปีที่แล้ว และวางแผนจะเปิดตัวหุ่นยนต์ที่คล้ายมนุษย์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ณ การประชุมที่นิวยอร์คในปีนี้

แม้ว่าแนวคิดของอิทควอฟจะดูมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่มีคนจำนวนหลายหมื่นคนเชื่อว่าโปรเจคนี้จะมีทางเป็นจริง โดยยกให้โปรเจคนี้เป็นอีกหนึ่งศาสนาเลยก็ว่าได้ เพราะศาสนาที่มีอยู่ทุกวันนี้ไม่รองรับแนวคิดการมีชีวิตอมตะ และทำให้อิทควอฟสามารถตั้งพรรคการเมืองในรัสเซียชื่อว่า “Evolution 2045″

เห็นทีคนจะเป็นอมตะได้นี่จะมีแต่พวกระดับอภิมหาเศรษฐีเท่านั้นแหละค่ะงานนี้

แปลจาก >>>>www.welldonestuff.com

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:07:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 7  
 
"ปลา Pacific barreleye fish ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์สายพันธุ์สุดแปลกที่สุด"
ปลาบาร์เริลอายแปซิฟิก (Pacific barreleye fish) หรือ (Macropinna microstoma) พบในในน้ำลึกมากกว่า 2000 ฟุต ( 600 เมตร ) บริเวณเขตน่านน้ำ แคริฟอร์เนียกลาง ( California’s central coast )บริเวณที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง มีหัวเป็นโดมโปร่งใสมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 6 นิ้ว ( 15 เซ็นติเมตร ) บริเวณส่วนหน้าที่เห็น 2 จุดเล็กนั้นไม่ใช่ตาแต่เป็น อวัยวะรับกลิ่น

จุดเด่นคือส่วนหัวด้านบนที่โปร่งแสงจนเห็นอวัยวะภายในคล้ายช่องคนขับเครื่อง บินรบ ( fighter-plane cockpit ) ส่วนลำตัวนั้นไม่โปร่ง พวก มันกินปลาตัวเล็กๆ รวมทั้งแพลงตอนเป็นอาหาร และเนื่องจากปลาชนิดนี้มีลำตัวสีดำ แถมยังสามารถลอยนิ่งๆ ใต้ท้องทะเลอันมืดมิด ทำให้บางครั้งเหยื่อไม่ทันสังเกต จึงตกเป็นอาหารอันโอชะของพวกมันได้อย่างง่ายดาย

อย่าง ไรก็ดี บริเวณส่วนหัวที่โปร่งใสของปลาชนิดนี้ เต็มไปด้วยของเหลวใสและเป็นอะไรที่เปราะบางมาก ด้วยเหตุนี้เวลาที่นักวิจัยพยายามใช้แหจับพวกมันขึ้นมาศึกษา ส่วนหัวของพวกมันจึงมักถูกทำลายก่อน และเมื่อไหร่ก็ตามที่หัวใสๆ ของมันถูกทำลายหรือแตกออก ดวงตาของพวกมันก็จะทะลักออกมาตามแรงดันของน้ำลึก และทำให้พวกมันตายในที่สุด ด้วยเหตุนี้ ในอดีตที่ผ่านมาจึงยังไม่เคยมีนักวิจัยคนไหน จับปลาชนิดนี้เพื่อศึกษาแบบละเอียดได้เลย

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:11:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 8  
 
"ไอเดียสุดแจ่ม ดินสอสั้นกุด กลายร่างเป็นต้นไม้"
ดินสอไอเดียสุดแจ่ม เป็นของ Democratech ที่ไม่เหมือนดินสอทั่วๆ ไป เพราะ เมื่อมันถูกใช้เขียนจนเหลือแท่งเล็กมากจนจับไม่ได้แล้ว มันยังสามารถเกิดใหม่เป็นต้นไม้ได้อีก เพราะที่ที่ควรจะเป็นยางลบในดินสอปกติ ได้เปลี่ยนเป็นที่เก็บเมล็ดพันธุ์ ด้วยแบบนี้ จุดจบของดินสอแท่งหนึ่งก็คือ จุดเริ่มต้นของต้นไม้ต้นใหม่..ไอเดียสุดแจ่ม ดินสอสั้นกุด กลายร่างเป็นต้นไม้ ดินสอที่กลายเป็นต้นไม้ได้นี้ เกิดจากห้องเรียนในวิชา product design ที่ MIT นักศึกษาได้รับโจทย์ให้คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับสำนักงานในอนาคต ผู้ที่ประดิษฐ์ดินสอแบบนี้ต้องการให้การรีไซเคิล และการปลูกต้นไม้ เป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับเด็กๆ Mario Bollini หนึ่งในทีมที่ออกแบบ Sprout หรือ ต้นกล้า บอกถึงแนวคิดในการออกแบบของพวกเขาว่า “Sprout เป็นดินสอที่ไม่มียางลบเพราะ ยางลบที่มีอยู่ที่ปลายแท่งดินสอ มันแทบไม่ได้ช่วยอะไร มีขนาดเล็กมากและ คุณภาพก็ไม่ดี ไม่มีประโยชน์อะไร แต่เพิ่มงานในกระบวนการผลิตดินสอแบบไม่จำเป็น” พวกเขาก็เลยเปลี่ยนส่วนปลายของดินสอที่เป็นยางลบให้กลายเป็นแคปซูลเมล็ดพันธุ์ ที่เมื่อโดนน้ำก็จะงอกต้นอ่อนออกมา
ที่มา : mthai


   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:13:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 9  
 
"ฆาตกรต่อเนื่องสุดสยอง Nannie Doss วางยาคนในครอบครัว"
Nannie Doss เป็นคุณยายที่ชอบพิษสารหนูเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้เธอจึงใช้มันในการวางยาสมาชิกในครอบครัวทุกคน ก่อนที่จะถูกจับได้และสารภาพเรื่องราวทั้งหมดอย่างสุภาพพร้อมกับหัวเราะคิกๆ คักๆ ไปด้วย ทำให้เธอได้รับฉายาว่า “คุณยายผู้หัวเราะ” (The Giggling Granny) ก่อนที่เธอที่ถูกจับได้นั้น เธอได้ทำการฆ่าแม่ของเธอ น้องสาว 2 คน ลูกสาว 2 คน ลูกของพี่น้อง หลานชาย และสามีอีก 4 คน อย่างไม่มีสาเหตุ

และสิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ การที่เธอได้ทำการฆ่าคนในครอบครัวมาอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีใครจับได้เลย ถึงแม้ว่าสามีคนแรกของเธอ Charley จะเริ่มสงสัยเมื่อลูกสาว 2 คนของพวกเขาเสียชีวิตจากอาการอาหารเป็นพิษ แต่เขาก็หนีไปกับลูกสาวคนโตที่เหลือโดยไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร (เลยรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด)

Doss แต่งงานใหม่และอยู่กับ Frank สามีคนที่ 2 เป็นเวลานานถึง 16 ปี ซึ่งระหว่างนี้เองเธอก็ฆ่าหลานชายที่เพิ่งเกิดโดยใช้ปิ่นแทงกะโหลกศีรษะ และฆ่าหลานชายที่โตแล้วอีกคนด้วยการวางยาพิษ ส่วน Frank ซึ่งเป็นพวกขี้เหล้า ต่อมาก็ถูกวางยาด้วยเช่นกัน

Doss แต่งงานใหม่อีก 3 หน และสามีทั้ง 3 คนก็เสียชีวิตอย่างลึกลับ เธอทำแม้กระทั่งฆ่าแม่สามีคนที่ 3 หลังจากฆ่าเขาสำเร็จ แล้วเผาบ้านทิ้ง ในระหว่างการแต่งงานครั้งที่ 4 และที่ 5 เธอย้ายเข้าไปอยู่กับน้องสาวที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ซึ่งต่อมาเธอก็วางยาฆ่าน้องสาวอีกเช่นเคย และถึงจะมีคนรอบตัวเธอเสียชีวิตไปมากขนาดนี้ ก็ยังไม่มีใครสงสัยอยู่ดี

ในที่สุด กว่าเธอจะถูกจับได้ก็ถึงตอนที่เธอวางยาสามีคนที่ 5 ซึ่งผิดพลาดไปหน่อยเพราะเขาไม่เสียชีวิตทันทีแต่กลายเป็นป่วยหนักทำให้ต้องไปเข้าโรงพยาบาลอยู่ 3 อาทิตย์แทน ซึ่งหลังจากเขากลับมาบ้าน Doss ก็ไม่ยอมทำพลาดอีก เธอจึงวางยาเขาโดยสารหนูปริมาณพอที่จะฆ๋าคนได้ 20 คน ตอนนั้นเอง ที่แพทย์ของโรงพยายาลเกิดสงสัยขึ้นมา จึงสั่งให้มีการชันสูตรศพและทำให้รู้ในที่สุดว่า เขาตายเนื่องจากถูกวางยา

ตำรวจสอบสวน Doss ซึ่งเธอก็รับสารภาพในทันที โดยที่หัวเราะไปด้วยตลอดการสัมภาษณ์ในขณะที่ยอมรับว่าฆ่าคนในครอบครัวไปทั้งหมด 11 คน ถึงขนาดตอนที่เธอกำลังถูกส่งขึ้นรถไปเรือนจำเพื่อรับโทษจำคุกตลอดชีวิต เธอก็ยังยิ้มแย้มและบอกกับนักข่าวไปว่า ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลยกับผลที่ตามมา

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:16:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 10  
 
"เลดี้โกไดวา มีตัวตนอยู่จริงเหรอ"
เลดี้โกไดวา (Lady Godiva) เป็นสตรีสูงศักดิ์ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองโคเวนทรี (ประเทศอังกฤษมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 997-1067 เธอเป็นภรรยาของลีโอฟริก เอิร์ลแห่งเมอร์เซียและลอร์ดแห่งเมืองโคเวนทรี ผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินอังกฤษ เป็นคนละโมบและกดขี่ชอบเก็บภาษีประชาชนอย่างบ้าเลือด แม้เลดี้โกไดวาเฝ้าขอร้องสามีให้ลดภาษี แต่เขาไม่เคยยอม

จนกระทั้งวันหนึ่ง ลีโอฟริกได้คิดสนุกเลยบอกเลี้โกไดวาว่าถ้าเธอกล้าเปลือยกายขี่ม้ารอบเมือง เขาจะยอมลดภาษีให้ตามที่ขอ ซึ่งการการกระทำดังกล่าวสำหรับผู้หญิงอังกฤษสมัยกลางย่อมถือเป็นเรื่องต่ำช้าอย่างยิ่ง แต่เลดี้โกไดวาก็ตัดสินที่จะยอมทำตามดังกล่าว โดยเธอได้กระจายข่าวบอกชาวเมืองให้พวกเขาร่วมมือด้วยการปิด ประตูหน้าต่างหลบอยู่ในที่พักอาศัยขณะเธอขี่ม้าผ่านเปลือยกาย ซึ่งชาวบ้านก็ร่วมมือเป็นอย่างดี(ความจริงมีชายคนหนึ่งแอบดูนาง หากแต่เขาถูกสวรรค์ลงโทษด้วยการทำให้ตาบอดในเวลาต่อมา และชายคนนั้นชื่อทอม จนเกิดสำนวนว่า “ทอมนักถ้ำมอง” Peeping Tom ในเวลาต่อมา) จนนางสามารถทำสิ่งที่สามีบอกได้สำเร็จ และส่งผลให้สามีของเธอยกเลิกภาษาตามสัญญาที่ว่าไว้ อีกทั้งเธอก็ไม่ถูกประณามซ้ำยังชกลายเป็นวีรสตรีของชาวเมืองไปในทันที ทุกวันนี้ที่จัตุรัสกลางเมืองโคเวนทรีมีอนุสาวรีย์เลดี้โกไดวาตั้งอยู่อย่าง โดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวเมืองภาคภูมิใจ ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1678 สภาเมืองโคเวนทรีได้เริ่มจัดให้มีขบวนแห่ “เลดี้โกไดวา” บันทึกไว้เป็นครั้งแรก โดยจัดหาผู้หญิงมาสวมผ้าสีเนื้อรัดกายให้ดูคล้ายเปลือยเปล่า นั่งบนหลังม้าแห่ไปรอบเมืองเพื่อรำลึกการกระทำอันงดงามของโกไดวา

ในขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยหลายคนไม่คิดว่าเรื่องของโกไดวาได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากหลักฐานระบุไว้เพียงว่าเธอเป็นภรรยาของเอิร์ลลีโอฟริก และข้อมูลยังบ่งชี้ว่าทั้งคู่ต่างก็มีน้ำใจงามและเคร่งศาสนา เช่นในปี 1043 ท่านเอิร์ลและเลดี้ได้บริจาคเงินพร้อมที่ดินเพื่อสร้างวัดในนิกายเบเนดิกทีนที่โคเวนทรี ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเดียวกับโบสถ์โคเวนทรีที่ถูกระเบิดทำลายไปบางส่วนในสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้ประดับด้วยพลอยล้ำค่างดงามอย่างที่ไม่มีวัดใดในอังกฤษยุคนั้นเทียบได้ และในช่วงทศวรรษ1050 ทั้งสองยังบริจาคที่ดินและเงินมหาศาลเพื่อสร้างวัดและโบสถ์อีกหลายแห่ง เช่นที่ลินคอล์นเชียร์ ลีโอมินสเตอร์ และอีฟแชม นักประวัติศาสตร์หลายคนจึงไม่คิดว่าท่านเอิร์ลจะโหดหินจนโกไดวาต้องเปลือยร่างขี่ม้าขอความเป็นธรรมให้ประชาชน

ส่วนผู้ที่เชื่อว่าตำนานนี้เป็นเรื่องจริงก็จะอิงบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์อังกฤษฉบับภาษาละตินที่ชื่อ Flores Historiarum (Flowers of History) ของโรเจอร์แห่งเวนโดเวอร์ (Roger of Wendover) ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ที่ระบุเรื่องราวของเลดี้โกไดวาไว้ตามที่ระบุข้างต้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนแย้งว่าเวนโดเวอร์เป็นเพียงผู้บันทึกตำนานและเกร็ดประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเขียนบันทึกนี้ขึ้นเมื่อ 2 ศตวรรษหลังการตายของโกไดวา ข้อความดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักพอให้เชื่อถือ แม้จะมีบันทึกระบุว่าครั้งหนึ่งลีโอฟริกได้ยกเลิกภาษีให้ประชาชนจริง และประทับตราด้วยตราประจำตัวของเขาเองเลยก็ตาม ส่วนคนอื่นก็เสริมว่าบางทีเลดี้โกไดวาอาจไม่ได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้า หากแต่ปลดเชิงสัญลักษณ์ คือปลดทั้งเครื่องประดับกายและผม เพราะเมื่อสตรีสูงศักดิ์ปราศจากเครื่องประดับก็เท่ากับลดเกียรติของตนลงเทียบเท่าสตรีสามัญ

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของโกไดวาจะเป็นเพียงตำนานหรือความจริงย่อมยากที่จะพิสูจน์ไม่ต่างจากทุกตำนานในโลก หากเหนือข้อเท็จจริงย่อมเป็นคุณค่าของตำนานที่ถูกส่งผ่านมากับกาลเวลา เฉกเช่นเรื่องของเลดี้โกไดวาที่เนื้อหาแท้จริงได้แทรกตัวอยู่ทั้งในบทกวี รูปปั้น ภาพเขียนของจิตรกรหลายยุคสมัย หรือกระทั่งในกระดาษห่อช็อกโกแลตยี่ห้อโกไดวา

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:18:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 11  
 
"ตำนาน The Staring Video ยิ่งดูยิ่งจ้องยิ่งน่ากลัว"
ในปี 2008 ได้เกิดตำนานลึกลับหนึ่งในอินเตอร์เน็ต มีคลิปหนึ่งที่เรียกว่า Mereana Mordegard Glesgorv ถูกโพสต์ลงในยูทูป โดยคลิปที่ว่ายาวประมาณ 2.35 นาทีที่หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ายิ่งดูยิ่งขนลุก!! .. ตำนาน The Staring Video ยิ่งดูยิ่งจ้องยิ่งน่ากลัว
เมื่อภาพเปิดมาก็พบว่าเป็นหน้าจอสีแดงดำ พื้นหลังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ และมีภาพชายคนหนึ่งที่จ้องมองมา ราวกับเป็นภาพนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ไม่กระพริบตา หรือเปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เหมือนจะเคลื่อนไหวคือความรู้สึกว่าเขายิ้มที่มุมปากด้านขวามือลึกขึ้นเรื่อยๆๆ พร้อมกับเสียงดนตรีประกอบที่ประหลาด เป็นแบบนี้นานถึงจนกระทั่งจบ โดยที่คนโพสต์ไม่ได้บอกอะไรแม้แต่น้อยว่ามันคืออะไร ไม่มีคำบรรยายอะไรทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไม่มีใครอธิบายจุดประสงค์ของการโพสต์ภาพ แต่หลายคนให้ความเห็นว่าหลังจากเขาจ้องคลิปนานหลายนาที(จะจ้องทำเพื่อ?) เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เขาเห็นคนในคลิปน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนคนที่มีรอยยิ้มชั่วร้าย รู้สึกอยากเอามีดมาแทงตนเองหรือคนอื่น มีความรู้สึกว่าอยากควักลูกตาตนเอง และมีความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:20:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 12  
 
"ต้นไม้แปลกๆ ออกลูกเป็น เงิน (Wishing Tree) น่าเหลือเชื่อ"
ตอนเด็กๆหลายคนคงจะมีความคิดว่า คงจะดีไม่ใช่น้อยถ้ามีต้นไม้ที่ลูกมาเป็น เงิน เหมือนในนิทาน แต่ นิทานบางเรื่องมันก็อิงมาจากเรื่องจริง แล้วคุณคิดว่าอย่างไรกับรูปภาพจั่วหัวนี้ที่ ท่อนซุงที่มีเงินเหรียญโผล่มาเต็มไปหมดดังภาพ

•แต่ถ้าคุณเดินทางไปเที่ยวในป่าประเทศอังกฤษ คุณอาจจะพบกับเหล่าเหรียญปริศนาเหล่านี้ ที่แลดูเหมือนจะงอกออกมาจะลำต้นของต้นไม้ เมื่อลองดูกันดีๆเหรียญบางเหรียญนั้นมีอายุนับร้อยปี
•ต้นไม้ประหลาดนี้จะพบเห็นได้ตามแนวเส้นทางเดินในป่า โดยจะพบได้ตั้งแต่บริเวณ Peak District ไล่ไปถึงบริเวณ Scottish Highlands
•การที่มีเหรียญโผล่มาจากลำต้นนั้นเกิดจากคนที่ใช้หินตอกเหรียญฝังลงไปในเนื้อไม้

โดยใช้เหรียญเหล่านี้เป็นของถวายแด่เทวดา นางไม้ที่อาศัยอยู่ในต้นไม้ เพื่อเป็นการขอพรให้โชคดี มันเป็นความเชื่อเรื่องโชคลางในอดีตเมื่อกว่าร้อยกว่าปีล่วงมาแล้ว
•ถามว่าทำไมจึงมีเหรียญมากมาย ไม่มีใครขโมยเหรียญบ้างหรือ เนื่องจากมีความเชื่อที่ว่าบางคนมาขอพรให้หายป่วย เมื่อตอกเหรียญลงเนื้อไม้ความเจ็บป่วยในการผู้ขอพรจะถูกตอกตรึงทิ้งไว้ในเหรียญ

ทำให้มีความเชื่อว่าถ้าใครมาดึงเหรียญออกโรคร้ายก็จะย้อนเข้าตัวคนขโมย แทน
•ภาพที่เห็นนี้เป็นท่อนไม้ที่หมู่บ้าน Portmeirion ในเวลส์(Wales)
>>>ข้อมูลจาก www.clipmass.com

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      24 ก.ค. 57   เวลา 10:22:00    IP = 125.26.30.173
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 13  
 
like

   witi1980      24 ก.ค. 57   เวลา 10:38:00    IP = 203.92.218.136
 


  คำตอบที่ 14  
 
Like ครับ

   Saverum      24 ก.ค. 57   เวลา 11:25:00    IP = 202.12.118.61
 


  คำตอบที่ 15  
 
เยี่ยมครับ.

   kong3k  24 ก.ค. 57   เวลา 13:25:00    IP = 1.4.185.129
 


  คำตอบที่ 16  
 
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ ผมชอบ คำตอบที่ 6 มากๆเลย
เทคโนโลยีมันกำลัง ลองใจมนุษย์ !!

   lop519      24 ก.ค. 57   เวลา 14:25:00    IP = 14.207.16.79
 


  คำตอบที่ 17  
 
ชอบครับ ขอบคุณครับ เรื่องซาลาเปาเนื้อคนนี่ผมก็เคยดูอยู่ครับ

   สมาชิกแบบพิเศษ      mawmeaw99      24 ก.ค. 57   เวลา 15:01:00    IP = 223.207.231.78
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 18  
 
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล

   TS.FC      24 ก.ค. 57   เวลา 16:37:00    IP = 101.109.90.145
 


  คำตอบที่ 19  
 
ขอบคุณครับ

   kabuto      24 ก.ค. 57   เวลา 17:28:00    IP = 171.100.202.11
 


  คำตอบที่ 20  
 
ขอบคุณครับผม

   คนโคราช  24 ก.ค. 57   เวลา 18:35:00    IP = 182.52.30.194
 


  คำตอบที่ 21  
 
ติดตามครับ

   sodiax      24 ก.ค. 57   เวลา 21:15:00    IP = 27.145.134.171
 


  คำตอบที่ 22  
 
ขอบคุณมากครับ อ.ท๊อป

   สมาชิกแบบพิเศษ      khakai      25 ก.ค. 57   เวลา 0:07:00    IP = 223.207.250.113
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 23  
 
ขอบคุณมากเลยครับป๋าท็อป อ่านแล้วสนุกมากครับ วันนี้มารายงานช่วงใกล้สว่างครับ

   deerpoison      25 ก.ค. 57   เวลา 3:24:00    IP = 180.183.106.194
 


  คำตอบที่ 24  
 

ขอบคุณมากครับ พี่หมอ

   สมาชิกแบบพิเศษ      ชิตชัย      25 ก.ค. 57   เวลา 15:01:00    IP = 101.108.172.178
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 25  
 
Mereana Mordegard Glesgorv ดู VDO นี้แล้วรู้สึกปวดตามากฮะ

   The_guitar      25 ก.ค. 57   เวลา 18:00:00    IP = 203.126.64.69
 


  คำตอบที่ 26  
 
ตอนแรกผมจ้องดูอย่างหลอนครับ
แต่ที่จริงเป็นเฮียคนนี้ครับ

   teayai      31 ก.ค. 57   เวลา 23:27:00    IP = 1.10.247.94
 
 

Bigtone.in.th Online Music Store

Yamaha



ตั้งกระทู้ Login ก่อน Click ที่นี่
ผู้ตอบ :
รูปภาพ:  ( ไม่เกิน 150 K )
ข้อความ :
 

any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket