Home | Login | คอร์ด/เนื้อเพลง | Webboard | Classifieds | Music Jobs (หางาน) | TV / Video









(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)


(เพจ: Guitarthai.com)
  ความรู้เชิงพาณิชย์  
 
เกิดสงสัยขึ้นมาก็เลยอยากถามเล่นๆคิดเล่นๆ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร กับการซื้อขายความรู้ควรมั้ย หรือว่าความรู้ควรเป็นเรื่องวิทยาทาน ครับ ไม่มีเจตนาแอบแฝงใดๆนะครับ


tanyoon      18 ก.ค. 57   เวลา 3:38:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 223.206.251.97
 


  คำตอบที่ 1  
 
ประเด็นน่าสนใจดีครับ นาน น๊านนนนนน จะเจอกระทู้แบบนี้ - -"

คงต้องดูว่า ความรู้ที่จะซื้อขายกันนั้น เป็นความรู้ในลักษณะใด

เพราะความรู้นั้นแฝงมากับตัวสินค้าและบริการแทบทุกอย่างในชีวิตเรา

ทุกวันนี้เราซื้อขายความรู้กันแทบทุกเรื่องอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะซื้อขายกันในรูปแบบใด เช่น


ตัวอย่าง

พ่อค้า A มีความรู้เรื่องการทำก๋วยเตี๋ยวให้อร่อย ก็เลยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว

นาย B มาซื้อก๋วยเตี๋ยวกิน

นาย C มาขอซื้อสูตรก๋วยเตี๋ยว เพื่อไปทำกินเอง

นาย D เพิ่งตกงาน พ่อค้า A เห็นใจจึงสอนสูตรทำก๋วยเตี๋ยวให้ฟรี

สรุปนาย B และ นาย C ก็จ่ายเงินซื้อความรู้ของพ่อค้า A ทั้งคู่

เพียงแต่ นาย B ซื้อผลลัพธ์ที่ได้จากความรู้(ก๋วยเตี๋ยว)

สำหรับนาย C ซื้อความรู้(สูตรก๋วยเตี๋ยว)โดยตรง

ส่วนนาย D ได้รับความรู้(สูตรก๋วยเตี๋ยว)เป็นวิทยาทานจากพ่อค้า A


จากตัวอย่างข้างต้น จะพบว่าความรู้บางเรื่อง สามารถซื้อขายหรือแบ่งปันเป็นวิทยาทานก็ได้

ทีนี้คงต้องดูว่า การซื้อขายความรู้ในมุมท่าน จขกท. หมายถึงความรู้ในลักษณะใด


การแบ่งปันความรู้เป็นวิทยาทาน เพื่อช่วยเหลือสังคม เป็นเรื่องที่ดี น่าชื่นชม

แต่ถ้าหากมีใครจะนำความรู้ที่เขามีแลกกับปัจจัยในการดำรงชีวิต
ผมมองว่ามันก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ

เพราะคนที่จะสามารถแบ่งปันความรู้เป็น วิทยาทาน ก็ต้อง ทานวิทยา มาก่อน คือมีความรู้มาก่อน

ทีนี้การได้มาซึ่งความรู้ มันมีต้นทุน คุณอยากมีความรู้ในการทำก๋วยเตี๋ยวให้อร่อย (ก๋วยเตี๋ยวอีกและ -*-)

คุณก็ต้องลองผิดลองถูกเอาเอง (เสียเวลา+เงินค่าวัตถุดิบสำหรับทดลอง)

หรือไม่ก็ไปเรียนตามสถาบันสอนทำอาหาร (เสียเงินเรียน + เสียเวลา)

ถ้าใจร้อนคุณอาจไปขอซื้อสูตรจากคนอื่นแล้วเอามาปรับปรุงอีกที
(เสียเงินค่าสูตร+เสียเวลา+เสียค่าวัตถุดิบ)

และแม้ว่าจะมีใครใจดีมาสอนให้ฟรี มันก็ยังมีต้นทุนอยู่ดี
(เวลา ค่าเสียโอกาส ฯลฯ)

ดังนั้นมันก็คงต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ ของแต่ละคนครับ


โดยส่วนตัวผมไม่ซีเรียสในการซื้อขาย ความรู้ หากความรู้นั้นๆมาจาก

- การ เรียนรู้ ผ่านการลงมือปฎิบัติ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง

- การ รับรู้ โดยการอ่านหนังสือ การฟังคำบอกเล่าจากผู้อื่น

- การ ลอกเลียนแบบ และนำไปพัฒนาต่อยอดจนเกิดความรู้ใหม่

- อื่นๆอีกมากมาย


ยกเว้นแต่ การซื้อขาย ความรู้ ที่ขโมยมาจากผู้อื่น

โดยไม่มีการพัฒนาต่อยอด แบบนี้ไม่สมควรแน่ๆ -*- q


ปล.ทั้งหมดที่พิมพ์มา อย่าเพิ่งเชื่อผมเด้อ ให้คิดเล่นๆก็ตอบเล่นๆประมาณนี้จ้า -0-

   สมาชิกแบบพิเศษ      Regnarts      18 ก.ค. 57   เวลา 8:13:00    IP = 171.96.4.53
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 2  
 
คงต้องบอกว่า "แล้วแต่คนล่ะครับ"

   สมาชิกแบบพิเศษ      sai077      18 ก.ค. 57   เวลา 8:26:00    IP = 49.230.154.121
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 3  
 

ผมว่าเชิงพาณิชย์ช่วยเรื่องวินัยของผู้ให้และผู้รับครับ

1. มันจะบังคับให้ผู้สอนต้องมีวินัยในการกำหนดหลักสูตร (ถ้าวิทยาทานจะเป็นการแบ่งปันไปเรื่อย ซึ่งอาจไม่มีทิศทางของหลักสูตร)

2. มันจะคัดกรองให้ผู้รับต้องมีวินัย (ต้องจ่ายค่าตอบแทน เสียเงินแล้วต้องเรียนให้คุ้ม)

..........

แต่เอาจริงๆ มันแล้วแต่หัวข้อของเรื่องที่จะแบ่งปันกันครับ... อย่างเรื่องเล่นก้อน เล่น fx มันจะสนุกมากถ้าเป็นวิทยาทานให้กันและกัน

หรือแม้กระทั่งเรื่องราวความเป็นมาของเพลง ความเป็นมาของวง... ถ้าเป็นการเล่าสู่กันฟัง มันได้เสพย์เรื่องราวสนุกๆ น่าตื่นเต้นเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

   The Blues Color      18 ก.ค. 57   เวลา 9:35:00    IP = 58.8.15.142
 


  คำตอบที่ 4  
 
มันมีคำว่า. ทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ครับ

ถ้าคิดเงินไม่แปลก. แต่ถ้าเอาของคนอื่นมาอ้างไม่ให้เครดิต. คิดตังค์. อันนี้โดนฟ้องได้ครับ

   เงอะ      18 ก.ค. 57   เวลา 12:15:00    IP = 1.47.225.51
 


  คำตอบที่ 5  
 
ยอดเยี่ยมทุกความเห็นเลยครับ ขอบคุณครับ จริงๆแล้วแค่คิดถึงสมัยเด็กๆ ไปโรงเรียนวัด มีกระดานชนวน (ผมยังทันอยู่นะ) กินข้าววัด มีทั้งครูอาสา พระ เป็นผู้สอน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทุกคนมีและเข้าถึงสิทธิ์ เท่าเทียมกัน ต่างกันแค่บ้านไกล้บ้านไกล แต่ก็เข้าใจว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป คนเยอะขึ้น เมืองใหญ่ขึ้น โอกาศต่างๆก็น้อยลง การแข่งขันเพื่อคว้าโอกาศในการดำรงชีวิต ในสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าต้องอาศัยความรู้ที่......ยังงัยดีหล่ะ..ช่างมันเถอะ...แค่คิดว่าอะไรๆก็ต้องใช้เงินซื้อแม้แต่วิชาความรู้ ครูกับนักเรียนเหมือน พ่อค้าแม่ค้ากับลูกค้า มากขึ้นทุกที บรรยากาศใหม่นี้ เหมือนจะมาแทนทีความรู้สึก ของการให้ ด้วยจรรยาบรรณ ที่มาจากใจจริงๆโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เหมือนสมัยก่อนๆ แล้ว ขอบคุณทุกๆความเห็นครับ ถือว่าคุยกันเล่นๆนะครับ

   tanyoon      18 ก.ค. 57   เวลา 16:03:00    IP = 1.1.144.144
 


  คำตอบที่ 6  
 
ผมมีกรณีตัวอย่างอีก 1 เรื่องคือ

สมมุตินาย A เป็นนักศึกษาที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ทำงานหาเงินไปต่อยอดความรู้นอกมหาวิทยาลัย ถึงช่วงใกล้สอบ เพื่อนๆนักศึกษาบอกนี่นาย A พวกเราอยากให้นายช่วยติวให้หน่อยสิจะใกล้สอบแล้ว แต่ด้วยความที่แต่ละคนก็ลงเรียนและมีเวลาว่างต่างกัน ทำให้นาย A ต้องเสียสละติวเป็นกลุ่มย่อยๆ 2- 3 ครั้ง ในกลุ่มเหล่านั้น มีทั้งคนที่ตั้งใจเรียนแต่ไม่เข้าใจ / คนที่ไม่ค่อยเข้าเรียนแต่อยากสอบผ่าน พอถึงเวลาจริงนาย A ต้องขาดรายได้จากการหารายได้พิเศษ เสียเวลาส่วนตัวเพื่อมาช่วยเหลือเพื่อนๆ แต่กลับพบว่าที่นัดๆมาติวคนก็ไม่มากัน บางคนมาก็บอกให้สอนตั้งแต่เริ่มต้นเพราะไม่มีพื้นฐานอะไรเลย บทสรุปคือ นาย A เสียเวลาส่วนตัว เสียงานบางส่วน เพื่อคนเห็นแก่ตัวบางส่วนที่ไม่เข้าเรียนแต่อยากสอบผ่าน และคนเห็นแก่ตัวบางส่วนที่ถึงเวลาก็ไม่มากัน ทำให้นาย A คิดว่า ต่อไปนี้นะ ฉันจะช่วยเหลือแต่เพื่อนของฉันที่ตั้งใจเรียนแต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ ส่วนคนที่ต้องการให้สอน ให้ติวแต่ไม่เคยสนใจเรียนเลย ฉันจะขอค่าเสียเวลาส่วนตัวฉันสักเล็กน้อยพอเป็นพิธีให้ฉันไม่เสียผลประโยชน์ส่วนตัว

สำหรับผมคิดว่า ที่นาย A ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ที่ตัวเองควรจะได้รับ ค่าเสียเวลาเล็กน้อยก็เพื่อกระตุ้นให้เพื่อนๆรู้สึก ฉันเสียเงินมาแล้วฉันจะไม่ยอมเสียผลประโยชน์ส่วนนี้ไป แต่ นาย A ก็ยังมีใจถ่ายทอดความรู้เป็นวิทยาทาน กับผู้ที่นาย A เห็นสมควรว่าควรจะได้รับ

   สมาชิกแบบพิเศษ      Bengy_bank      18 ก.ค. 57   เวลา 21:14:00    IP = 171.99.85.95
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 7  
 
อธิบายเรื่องทรัพย์ยินทางปัญญาเพิ่มนืดนึงนะครับ เพราะมันมีต้นทุนต่างจากพระสอนหนังสืออยู่บ้าง

หนังสือเช่นตำราที่เป็นองค์ความรู้ ส่วนใหญ่มาจากงานวิจัย มันมีค่าใช้จ่ายในการค้ยนคว้า อย่างน้อยก็ค่าหนังสือไปอ่านมาเพื่อทำวิจัย

งานวิจัยบางิอย่างต้องใช้แล็บ ใช้เครื่องมือ. อย่าง cpuหรือ chipคอมพิวเตอร์ มันต้องลงทุนพัฒนา....

ทีนี้พอมีต้นทุน ถ้าพัฒนาสำเร็จ เจ้าของทุนก็เลยอ้างกรรมสิทธิ์.....คือ....มันก็ตอบลำบากว่า ความรู้มันซื้อขายได้รึเปล่า(ที่จริงมัยก็ถกเถียงกันอยู่ แต่มันก็มีกรณีพวก fair use policy. ที่เปิดให้ใช้ฟรี หรือเจ้าของทุนบังคับว่า ได้แต่เครดิต แต่ผลงานต้องเผยแพร่แล้วห้ามคิดเงิน. อะไรพวกนี้ด้วยครับ....)

แต่ในกรณีงานสร้างสรรค์ อย่างเพลงวรรณกรรม ศิลปะ เรื่องลิขสิทธ์มันนามธรรมสุดๆ. เพราะ ต้นทุนมันจับต้องยาก(แต่โดยมาก สำนักพิมพ์หรือค่ายเพลงกำหนดราคาเพราะเป็นเจ้าของทุยดำเนินการจัดจำหน่าย)

   เงอะ      19 ก.ค. 57   เวลา 0:05:00    IP = 1.46.64.47
 
 

Bigtone.in.th Online Music Store

Yamaha



ตั้งกระทู้ Login ก่อน Click ที่นี่
ผู้ตอบ :
รูปภาพ:  ( ไม่เกิน 150 K )
ข้อความ :
 

any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket