Thailand Web Stat
    








(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)


(เพจ: Guitarthai.com)
  วันนี้นำเสนอรวมเรื่องลึกลับจากทั่วโลกครับ  
 
จีนฮือฮาวัตถุลึกลับตกจากท้องฟ้า

ที่เห็นอยู่นี้ คือวัตถุลึกลับหลายชิ้น ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ในมณฑลเฮยหลงเจียงของจีนวันนี้ มีอยู่ชิ้นหนึ่ง ตรวจพบร่องรอยไนโตรเจนอยู่ด้วย ทั้งที่ไม่มีสารที่เกี่ยวข้องกับสารกัมมันตรังสีอยู่บนตัววัตถุชิ้นนั้นเลย

จากการตรวจดูเบื้องต้นคาดว่า วัตถุที่ตกมาน่าจะเป็นชิ้นส่วนของอุปกรณ์ขยายกำลังส่ง ตอนนี้ตรวจพบไปแปดชิ้น แต่คาดว่า น่าจะเจออีกหลายชิ้นอยู่แถวๆ นั้น

มีอยู่สามชิ้น ที่มีลักษณะเหมือนแกนหมุนอะไรบางอย่าง อีกชิ้นเป็นท่อนเหล็กเงิน บางชิ้นมีขอบคล้ายฟันเลื่อย ตอนนี้ตำรวจได้ปิดล้อมพื้นที่ที่พบวัตถุลึกลับเหล่านี้ไว้แล้ว


   สมาชิกแบบพิเศษ   top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:41:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 1  
 
wow!!!! สัญญาณลึกลับนอกโลก!?!?!?

เซติ” (Search for Extraterrestrial Intelligence: SETI) หรือ การค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงปัญญานอกโลก ได้ทุนหลักจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) โดยใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่ตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกโลก ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

การค้นหาสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกเริ่มมีขึ้นอย่างจริงจัง โดยปี 2518 ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ เรียกว่า “อะรีซิโบเมสเซจ” จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุอะรีซิโบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เปอร์โตริโก ถูกส่งไปยังกระจุกดาวฤกษ์ทรงกลม เอ็ม13 ในกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส ที่ห่างจากโลก 25,000 ปีแสง

สัญญาณที่ส่งออกไปสามารถจัดเรียงได้ 2 รูปแบบ แบบไม่มีความหมาย และเป็นรูปภาพ ซึ่ง ประกอบด้วย ตัวเลข, ลักษณะดีเอ็นเอ, ลักษณะของมนุษย์โลกและข้อมูลของประชากรโลก, ระบบสุริยะของเรา สุดท้ายคือ กล้องโทรทรรศน์วิทยุและจานที่เราใช้รับ-ส่งสัญญาณ

กว่าสัญญาณที่เราส่งไปจะถึงที่หมายต้องใช้เวลาถึง 25,000 ปี และกว่าที่สัญญาณตอบกลับ (หากมีจริง) จะเดินทางมาถึงโลกของเราก็อีก 25,000 ปี ซึ่งรวมแล้วก็ 50,000 ปี แต่เหนือสิ่งอื่นใด การส่งสัญญาณนี้ถือเป็นการประกาศความสำเร็จทางเทคโนโลยีของมนุษย์มากกว่าที่จะมุ่งติดต่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาที่อยู่ไกลโพ้น

แม้ที่ผ่านมานักดาราศาสตร์สามารถจับสัญญาณแปลกประหลาดได้มากมาย ทว่าไม่มีสัญญาณใดที่รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่สัญญาณที่มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอได้รับเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2520 เป็นคลื่นวิทยุจากนอกโลกที่น่าฉงนไม่น้อย ถอดเป็นคำออกมาว่า “ว้าว” และกลายเป็นชื่อเรียกขานสัญญาณนี้ (Wow! signal)

กระทั่งปี 2508 ปริศนามนุษย์ดาวอังคารก็คลี่คลายลงบ้างเมื่อยานมาริเนอร์ 4 สำรวจดาวอังคารลำแรกของสหรัฐฯ บันทึกภาพพื้นผิวดาวอังคารได้มากมาย และชัดเจนเลยว่าบนดาวแดงปราศจากสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อาศัยอยู่ หลังจากนั้นก็มียานอวกาศหลายลำถูกส่งไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง

นักวิทยาศาสตร์ได้ตื่นเต้นอีกครั้ง เมื่อยานไวกิ้งที่นาซาส่งไปสำรวจดาวแดงเมื่อปี 2518 ถ่ายภาพก้อนหินที่คล้ายใบหน้าได้บนดาวอังคาร ซึ่งก็มีทั้งที่ว่าเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ต่างดาว ขณะที่อีกฝ่ายอธิบายว่าเกิดจากแสงและเงาทำให้มองดู้คล้ายใบหน้าคน

ส่วนตัวอย่างก้อนหินและดินบนดาวอังคารที่ยานไวกิ้งนำกลับมาด้วย นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์องค์ประกอบต่างๆ แล้ว ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิต

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:43:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 2  
 
The Miracle of the Sun!!!!!!!!!!!!
เหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมากที่สุดของโลก!?!?!?!?!?!?

เหตุการณ์นี้ผู้คนน้อยมากที่จะรู้จักกับเหตุการณ์นี้ และผมถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมากที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้
คุณคงได้ยินเรื่องของพระแม่ฟาติมา แล้วใช่เปล่าครับ ได้หนึ่งในเหตุการณ์การประจักษ์ของพระแม่ฟาตินาที่สร้างความอัศจรรย์ไปทั่ว โลกคือการประจักษ์ดวงอาทิตย์ “เริงระบำ”แห่งฟาตินานั้นเอง เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์อัศจรรย์ที่มีพยานมากถึง 100,000คน ในวันที่ 13 ตุลาคม 1917 ในเขตลา โควา ดา อิรีอา ชาวเมืองฟาติมา ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆทางตอนเหนือ โปรตุเกส โดยเรื่องของเรื่องคือหลายคนไม่เชื่อเรื่องเด็กน้อย 3 คน(ลูเซีย ฟรางซิสโกและยาชินตา)ที่ได้พบกับพระแม่มารีอาหรือพระแม่พระประจักษ์ที่ทรง เสด็จมามอบข่าวสารจากสวรรค์ให้กับมนุษย์เป็นความลับ 3 อย่าง พระนางเลยบอกให้พาผู้คนมายังต้นไม้บริเวณโบสถ์และจะประจักษ์มาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 1917(สำหรับพวกเด็กแล้วถือ ว่าเป็นครั้งที่หก) และเมื่อถึงวันที่พระนางบอกจากตอนแรกหลายที่บอกว่าประชาชน 70,000 คน ปรากฏว่ามีถึง 100,000 คนเลยทีเดียวเนื่องจากมีทั้งคนที่มีความ เชื่อ และคนที่มาเพราะความอยากรู้อยากเห็น ทั้งคนที่คัดค้าน ตลอดจนนักหนังสือพิมพ์ ผู้สังเกตการณ์ (แพทย์ นักวิชาการ ฯลฯ) และเมื่อถึงเวลา ประจักษ์ผู้คนในที่ห่างนั้นก็ตกตะลึง จู่ๆ ก็เกิดฝนตก และเมื่อฝนหยุดตก เมฆครื้มแต่เช้าจางหายไป ดวงอาทิตย์ปรากฏตรงศีรษะเหมือนรูปจานบิน มองด้วยตาเปล่าไม่เคื่องตา แล้วฉับพลันนั้นเองดวงอาทิตย์ก็เริ่มหมุนรอบตนเองประดุจล้อไฟ แสงพวยพุ่งไปรอบทิศ เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ บนท้องฟ้า ต้นไม้ แผ่นดิน หิน และฝูงชน เหมือนถูกต้องด้วยสีเขียว เหลือ แดง ม่วง ดวงอาทิตย์หยุดชั่วครู่ แล้วหมุนแผ่รังสีจ้ากว่าเก่าอีก แล้วเริ่มใหม่เป็นครั้งที่สาม ฝูงชนต่างอกสั่นขวัญแขวงต่างสวดวิงวอนกันยกใหญ่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น 10 นาที ท่ามกลาวฝูงชน 70,000-100,000 คน เห็นกันโดยถ้วนหน้า แม้ผู้ที่อยู่ห่างไกลถึง 30-40 กม. และทุกคนยังต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเสื้อผ้าที่เปียกด้วยน้ำฝน และรอยเปื้อนน้ำโคลนเมื่อสักครู่นี้กลับแห้งสนิท และสะอาดหมดจดทีเดียวหลัง
หลังจากเหตุการณ์นี้ ปี ค.ศ.1919 ได้มี การสร้างวัดน้อยหลังแรก ณ สถานที่ที่แม่พระประจักษ์ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นวิหารและกลายเป็เมืองศักดิ์สิทธิ์ที่นักแสวงบุญทั่วโลก ต้องมาในที่สุด

ขอยํ้านะครับว่า เป็นเรื่องจริงครับมีคนเห็นนับหมื่นนับแสนคนแทบทุกวงการอาชีพ เรื่องเกิดจากแม่พระมาประจักษ์แก่เด็ก 3 คน และเด็กได้นำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใหญ่แต่ผู้ใหญ่ไม่เชื่อจนกลายเป็นข่ายแพร่สะพัดออกไป สุดท้ายแม่พระบอกว่าจะให้หมายสำคัญเพื่อเป็นเครื่องยืนยันสิ่งเด็กพูด และเด็กก็ได้ไปบอกกับพวกผู้ใหญ่จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตลงหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ เมื่อถึงวันที่แม่พระสัญญาไว้ ประชาชนทั่วทุกแห่งหน ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อแต่อยากรู้ ทั้งนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ อาจารย์ หมอ ฯลฯ ได้มายังที่ฟาติมาจุดนัดหมายเพื่อมาดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น บางคนก็มาจับผิด และเหตุการณ์ Miracle of the Sun ก็เกิดขึ้นต่อหน้าคนนับหมื่นนับแสนคนจนกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก จนทางสันตะสำนักที่โรมตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นและได้ยืนยันเหตุการณ์ที่ฟาติมาเป็นอัศจรรย์แท้จริงครับ

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:44:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 3  
 
หมอมาร์เซล์ ปดีต!!! คนเลวโลกสาปส่ง คูหามรณะ!?!?!?!?

"ด้วยปฏิญาณแห่งข้า ข้าขอสาบานจะนับถือบูชาอาจารย์ดุจบิดามารดาอันเป็นที่รักของข้า ข้าจะปฏิบัติต่อผู้ป่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ จักดูแลรักษาพวกเขาเต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้ ข้าจักไม่ให้โอสถอันเป็นพิษแก่ใคร ๆ แม้จะได้รับการเรียกร้องขอก็ตาม ความลับของผู้ป่วยที่ข้าไปรู้เห็นข้าจะรักษามันไว้ด้วยชีวิต ด้วยสัจจะนี้ ขอให้ข้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิตข้าตลอดไป..................."
คำปฏิญาณการเป็นแพทย์ของฮิบโปเครติสบิดาแห่งแพทย์ศาสตร์ดังไปทั่วสถานที่รับปริญญาบัตรแพทย์ศาสตร์ บางคนต่างร่ำไห้ที่สำเร็จการศึกษา เพื่อที่จะใช้วิชานั้นสร้างประโยชน์แก่สังคม โดยไม่เห็นแก่ได้
ยกเว้น คน ๆ คนหนึ่ง เขาไม่กล่าวคำสาบานของบิดาการแพทย์เลย กลับนั่งตรงมุม หัวเราะเงียบ ๆ กับคำสาบานของบิดาการแพทย์ผู้นั้น เพราะในหัวของเขามีแต่เรื่องฆ่า กับฆ่า และกำไรและกำไร
หมอมาร์เซล์ ปดีต หมอชาวฝรั่งเศส ที่ต่อมาเขาได้ใช้ประโยชน์สงครามโลกครั้งที่สองเป็นเครื่องมือฆ่าคนเพียงเพื่อฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้น
ผลคือ ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของหมอ 63 ชีวิต ตายอย่างสยดสยองในคูหามรณะที่เขาสร้างขึ้น
ชื่อและความชั่วของเขาโด่งดังไปทั่วโลกเทียบชั้นหมอดีที่ทำคุณประโยชน์บางคนเสียอีก
เรามาทำความรู้จักกับฆาตกรคนนี้กันเถอะ
ชีวิตวัยเด็กของหมอมาร์เซล์ไม่มีใครทราบมากนัก รู้เพียงแต่ว่าเขาเกิดที่เมืองโอแซร์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมักพูดตรงกันว่าเขามีนิสัยซาดิสม์มาตั้งแต่เด็ก ชอบกระทำทารุณแก่สัตว์หรือเด็กที่เล็กกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาผ่าตัดเพื่อศึกษาว่าตัดส่วนไหนให้สัตว์พิการโดยไม่ตาย
เมื่อความสนุกกับการทรมานสัตว์นาน ๆ เข้า มาร์เซล์เริ่มมีความรู้สึกอยากเป็นหมอ เพราะเขาเริ่มสนใจร่างกายมนุษย์ และเป็นอาชีพที่ทำมาหากินง่ายกว่าอาชีพอื่น ๆ
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มาร์เซล์ได้ไปทำงานที่หน่วยพยาบาลผู้บาดเจ็บที่เมืองดีชอง ระหว่างนั้นเขามักขโมยเอามอร์ฟีนไปขายแก่พวกขี้ยาเสมอ
ที่นี้เอง มาร์เซล์เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เห็นคนเจ็บคนตายที่ร้องขอชีวิต การฉีดยาพิษเข้าเส้นประสาทแก่คนใกล้ตายเพื่อให้ตายอย่างสงบ เลือด ความตาย มาร์เซล์เริ่มหลงใหลกับชีวิตแบบนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น
หลังจากนั้นเขาได้ไปศึกษาวิชาการแพทย์ จนสำเร็จในปี 1921 หมอมาร์เซล์เรียกใบอนุญาตการเป็นหมอว่า "เครื่องมือสร้างเงิน"
ต่อมา หมอมาร์เซล์มาตั้งร้านทำมาหากินที่เมืองวิลเนิฟ ซูร์ ยอนน์
เขามักพูดเรื่องคำสาบานของปรมาจารย์ฮิปโปคราติสกับเพื่อนร่วมงานอยู่บ่อย ๆ ว่า
"คำสาบานของไอ้แก่ ฮิปโปคราติสหรือ ฉันไม่สนหรอก ฉันสนเงินมากกว่า ฉันอยากได้เงิน อยากได้เพื่อบำเรอความสุขของฉัน และตอนนี้ฉันมีวิธีหาเงินกว่าร้อยกว่าวิธีแล้วล่ะ"
หมอมาร์เซล์เริ่มทำงานทางด้านนี้ ครั้งแรกเ ริ่มจากรักษาคนรวยจะเก็บค่ายา ค่ารักษาในราคาที่แพง ส่วนคนจนเขาจะรักษาฟรี โดยเหตุนี้บรรดาชาวบ้านต่างตะหนักว่าหมอมาร์เซล์ได้พึ่งพาได้
นอกจากนั้นหมอมาร์เซล์ยังมีอาชีพเสริมอีกคือ การขายยาเสพย์ติด และการทำแท้งเถื่อนของหญิงสาว!
เรื่องน่ากลัวเริ่มเกิดขึ้นแล้ว

ข่าวการสูญหายของหญิงสาวสวยที่กำลังตั้งท้องหลายรายเริ่มเกิดขึ้น พร้อมกับเพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดในบ้านของคุณหมอใจดีผู้คนนั้น แต่อย่างมากข่าวลือนี้ชาวบ้านแค่ซุบซิบกันเล่น ๆ เท่านั้น เพราะเวลานั้นหมอมาร์เซล์เป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านมาก ถึงขั้นจะแต่งตั้งหมอมาร์เซล์เป็นนายกเทศมนตรีที่เดียว
ปี 1930 คนไข้คนหนึ่งของหมอซึ่งเป็นเจ้าของร้านในระแวกนั้นถูกฆ่าและปล้นทรัพย์ มีคนพบเห็นหมอป้วนเปี้ยนสถานที่ที่เกิดเหตุก่อนที่เจ้าของร้านถูกฆ่า นอกจากนี้ก็มีเหตุการณ์คนไข้ที่เป็นโรคไขข้อของหมอตายอย่างฉับพลัน อย่างมีเงื่อนงำหลายราย แต่หมอดันออกใบมรณะบัตรว่า "ตายอย่างปกติ" สร้างความขุ่นเคืองต่อชาวบ้านมาก จนมีข่าวลือที่เสียหายตามมาเป็นระลอก
ชีวิตของหมอในเมืองเนิฟฟ ซูร์ ยอนน์ ชักจะร้อนระอุเสียแล้ว ขืนปลอยไว้นานจะไม่เป็นผลดีเสียแล้ว เมื่อหมอมาร์เซล์คตคิดได้ดังนั้น จึงเก็บข้าวของหนี และอพยพไปอยู่กรุงปารีสก่อนที่เรื่องจะบานปลายมากกว่านี้
ที่นั้นเองคือจุดเริ่มต้นของคูหามรณะ
เมื่อหมอมาถึงเมืองปารีส ก็เริ่มอาชีพทำมาหากินทันที่ ร้านหมอหมายเลข 60 ถนนโคมาร์แตง แหล่งที่ คึกคัก หรูหราที่สุดในเมือง หมอเริ่มขายยาเสพติดแก่พวกติดยาในราคาถูก ๆ การรับจ้างทำแท้งเถื่อนแก่ผู้ไม่ปรารถนาจะมีบุตร คือวิธีที่หมอคนนี้ถนัด จนในไม่ช้าลูกค้าที่จงรักภักดีเยอะแยะ หลายคนมักเห็นเขาว่าเขาเป็นสามีที่ดี เป็นคนเคร่งศาสนาไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ มีลักษณะของพลเมืองดีไว้อย่างครบถ้วน
แต่นี้เป็นแค่หน้ากากภายนอกเท่านั้น ส่วนในจิตใจหมอมาร์เซล์กำลังหาโอกาส โอกาสที่จะทำกำไรเข้ากระเป๋าของตนอย่างมหาศาล ขอแค่โอกาสเท่านั้น

และวันนั้นก็มาถึง ปี 1940 เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีได้ยาตราเข้ามาในกรุงปารีส อย่างง่ายดาย เพราะฝรั่งเศสขอยอมแพ้โดยไม่ขัดขืน
หลายคนที่ชอบประวัติศาสตร์โลก และชอบสงครามโลกครั้งที่ 2 คงทราบว่าฮิตเลอร์ผู้นำนาซีและเยอรมันนั่นเป็นคนที่รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง เขาคิดหลากหลายวิธีที่จะกำจัดชาวยิวออกไปจากโลก และได้ให้คำสั่งที่น่ากลัวแก่เหล่าทหารนาซีของเขาว่า
"จงกำลังชาวยิวที่พบเห็นให้หมด"
นี้เองที่ทำให้นาซีได้แต่งตั้งตำรวจลับเกสตาโปขึ้นในฝรั่งเศส หน้าที่ของตำรวจลับคือสืบเสาะ และสังหารผู้ต่อต้านนาซี จับกุมผู้ที่คาดว่าเป็นชาวยิวในฝรั่งเศสให้หมดเพื่อส่งไปค่ายมรณะหรือไม่ก็ค่ายกักกันและใช้แรงงานหนักจนตาย
พวกชาวยิวที่อยู่นครหลวงในฝรั่งเศสค่อย ๆ หายสาบสูญ บางคนไม่รู้ว่าญาติของตนหายแล้วไปอยู่ที่ค่ายมรณะ บางคนเตรียมที่จะหนีไปนอกประเทศแต่ไม่มีโอกาสทั้ง ๆ ที่มีเงินมาก
สถานการณ์นี้แหละที่เข้าทางความคิดของหมออย่างยิ่ง ที่จะสร้างกำไรเข้ากระเป๋า และความปรารถนาที่จะปลดปล่อยสันดานดิบในวัยเด็กของเขาได้ซักที
หมอมาร์เซล์ซื้อคฤหาสน์ร้างแห่งหนึ่ง หมายเลข 21 ถนนเลอเซอร์ ราคาครึ่งล้านฟรัค์ แล้วก็ตกแต่งเสียใหม่ให้เหมาะต่อการปฏิบัติการโหดของเขา ห้องที่เก็บเสียงที่มิดชิด หน้าต่างที่ถูกปูนโบกปิดสนิทยกเว้นประตูบานเดียวทุกห้อง และทุกห้องถูกเจาะรูถ้ำมองเอาไว้ มีครั้งหนึ่งช่างเกิดสงสัยจะถามหมอว่าทำไปทำไม หมอบอกสั้น ๆ ว่าเพื่อสังเกตคนไข้โรคจิต และส่วนที่เป็นที่ ลับสุดยอดของคฤหาสน์ร้างแห่งนี้คือ เตาเผาขนาดยักษ์หนึ่งเตาในห้องใต้ดิน
คริสต์มาสปี 1941 ทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อม

พร้อมสำหรับทำอะไร?

หมอมาร์เชล์เริ่มแพร่ประกาศข่าวออกไป ว่าเขาสามารถติดต่อพวกใต้ดินฝรั่งเศส สามารถแอบพาคนที่เกสตาโปกำลังล่าตัวอยู่หนีไปยังสเปนหรือคิวบาได้ พวกที่คิดหนีสามารถติดต่อได้ แต่มีข้อแม้คือต้องมีเงินสำหรับเตรียมการหนีมากหน่อย และต้องฉีดยาป้องกันโรคก่อนที่จะเข้าไปประเทศที่ลี้ภัยได้
พวกชาวยิวและพวกต่อต้านที่กำลังขวัญเสียได้ยินข่าวนี้ก็ยอมทันที ขายข้าวของทรัพย์สมบัติ เพื่อให้ตัวเขากับครอบครัวหนีออกไปประเทศฝรั่งเศส แต่ ทุกคนต่างไปคฤหาสน์ร้างนั้น แต่ไม่มีใครสักคนที่รอดชีวิตออกมา

เกิดขึ้นอะไรในนั้น?
ครั้งแรกเมื่อเหยื่อมาถึงหมอให้ถลกแขนฉีดยาซึ่งความจริงแล้วคือยาพิษ แต่ฤทธิ์ของมันออกช้ามาก ก่อนเวลามาถึง หมอก็ให้เหยื่อพักที่ห้องเก็บเสียงก่อน จากนั้นปิดล็อกและหมอก็ถ้ำมองที่รูที่เจาะไว้รอจนกว่ายาออกฤทธิ์ เหยื่อชักกระตุก น้ำลายฟูมปาก หน้าเขียว เมื่อเหยื่อตายแล้ว ก็ลากเอาศพลงไปยังห้องใต้ดิน เอามาลงแช่ในน้ำปูนขาวที่ซื้อมอริสน้องชายแท้ ๆ ที่เมืองโอแชร์ส่งมาให้ เสร็จแล้วก็ยัดศพเข้าเตาเผา สุดท้ายก็ตรวจดูทรัพย์สินที่เหยื่อทิ้งไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สินต่าง ๆ มาลงบัญชีรายละเอียดไว้เป็นราย ๆ ไป
เขารู้สึกมีความสุขมากที่นับเงินนั้น
แม้มีข่าวไม่ดีว่าไม่มีใครออกจากคฤหาสน์ร้างนั้น แต่ลูกค้าก็ยังแห่เข้าคิวหาหมอมากยิ่งขึ้น ทั้งชาวยิวเล็ดรอดจากเกสตาโป ครอบครัวมั่งคั่งที่กลัวพวกนาซียึดทรัพย์ก็ดี หรือแม้แต่เพื่อนหมอที่อยากหนีจากฝรั่งเศส แต่ทั้งหมดนี้เมื่อเข้าคฤหาสน์นั้นแล้วไม่มีใครรอดกลับออกมาอีกเลยนับแต่นั้น
เป็นเวลาถึง 18 เดือน หมอมาร์เซล์ชักรู้สึกกระฉับกระฉายเพราะเหยื่อไม่มาหาถึงที่สักที หมอจึงแก้ปัญหาวิธีนี้โดยเอาคนไข้ถนนโคมาร์แตงมาสังหารที่คฤหาสน์เสียเลย ไม่มีใครสงสัยหรอกเพราะทุกคนกำลังหวาดกลัวสงครามโลกอยู่ โดยที่ภรรยาไม่สงสัยหมอแม้แต่น้อยว่าทำไมต้องเอาคนไข้ไปรักษาถึงคฤหาสน์นั้นให้ยุ่งยากด้วย
ปลายเดือนฤดูใบไม้ผลิ ปี 1943 ปฏิบัติการโหดของหมอมีอาการสะดุด เพราะพวกเกสตาโปงเริ่มงง สงสัยมานานแล้วว่าพวกชาวยิวที่ตนกำลังควานหาตัวอยู่นานนั้นหายไปไหนกันหมด เมื่อสืบไปสืบมาจึงรู้ว่าพวกนี้ล้วนแต่มีสายโยงมาถึงหมอ และเริ่มสงสัยหมอว่าเป็นสายพวกใต้ดินฝรั่งเศสลักลอบพาคนหนี
เมื่อคิดได้ดังนั้นนั้นจึงส่งเกสตาโปคนหนึ่งไปสืบ โดยแกล้งทำเป็นพวกหนีออกนอกประเทศ เพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขา แต่กลับถูกหมอฆ่าไปเสียนี้ ก็มันนึกว่าเป็นเหยื่อนี้น่า
มันเป็นหลักฐานที่ได้มาด้วยชีวิต
พวกนาซีเมื่อรู้ว่าพวกตนไม่กลับมาจึงรีบตะครุบตัวหมอ จับขังไว้หลายเดือน จนกระทั้งถูกปล่อยตัวเมื่อต้นปี 1944 เพราะหมอแก้ตัวว่าที่ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์กำจัดชาวยิวและพวกต่อต้านนาซี พวกนาซีได้ฟังดังนั้นก็ชอบใจ มันตรงความสมประสงค์ของพวกเขา และต่างพากันเอาหูเ อาตาไปไร่ เพราะเมื่อเขากลับเขาก็เริ่มกิจกรรมกับโรงงานฆ่าคนอย่างที่เคย
แต่มาคราวนี้ไม่มีโอกาสที่เอาศพมาแช่ปูนขาวก่อนเผาอีกแล้ว เพราะระหว่างที่หมอมาร์เซล์ถูกจับตัวไป มอริสน้องชายได้มาเยี่ยมที่ปารีสและพบกับความลับในคฤหาสน์ที่ถนนเลอเซอร์เข้า จึงรู้ทันที่ว่าพี่ชายซื้อปูนขาวจำนวนมากมายไปทำอะไร นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการส่งปูนขาวให้อีก
การเผาศพโดยไม่แช่ปูนขาวจะทำให้เกิดควันไฟพลุ่งจากปล่องและส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้น ทำให้บริเวณบ้านใกล้เรือนเคียงต่างทนไม่ไหวกับกลิ่นนี้ แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครติดใจสงสัยว่าหมอกำลังเผาอะไรในคฤหาสน์หลังนั้น จนกระทั้ง…………………..
Lawyers pose with human bones (AP/WideWorld)
11 มีนาคม 1944 เจ้าของบ้านเลขที่ 20 ถนนสายเดียวกัน ได้พาและกองดับเพลิงจำนวนมากมาคฤหาสน์หลังนั้น เพราะสงสัยว่าควันนั้นอาจเกิดจากไฟไหม้ พอดีหมอมาร์เซล์ไม่อยู่บ้าน ตำรวจและกองดับเพลิงไม่มีเวลาไปตามตัวหมอ เพราะไฟอาจลามไปข้างเคียงได้ จึงได้บุกเข้าไป พบว่าต้นเพลิงอยู่ชั้นใต้ดิน พบเตาเผาที่กำลังลุกไหม้ และสิ่งที่สยดสยองที่ไม่เคยพบในโลกนี้
ซากศพที่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ ที่เกลื่อนกลาดราวกับขยะ นับคล่าว ๆ ได้ประมาณ 27 ศพ มีทั้งเพศชาย หญิง คนแก่ และเด็ก ทุกศพถูกหัน ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ไม่ว่าจะเป็น ศีรษะ ลำตัว แขนขา
หมอมาร์เซล์ได้ยินข่าวก็รีบมาที่ คฤหาสน์ทันที
"เอ้อ………….คือว่าศพทั้งหมดนี้เป็นพวกทรยศชาติกับทหารนาซี ผมจำเป็นต้องสังหารน่ะครับ" หมอแก้ตัวอย่างนั้น
น่าแปลกที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เชื่อคำแก้ตัวของหมอ เนื่องจากบุคลิกที่น่าเชื่อถือของหมอเองหรือช่วงนี้ใกล้จะยุติสงครามโลกครั้งที่สองแล้วเพราะฝ่ายสัมพันธมิตรใกล้จะปลดปล่อยฝรั่งเศสจากเยอรมันเร็ว ๆ นี้ จึงไม่ใส่ใจอะไรกับคดีมากนัก และวันนั้นเองตำรวจก็กลับไปโดยไม่มีการจับกุมตัวหมอใด ๆ ทั้งสิ้น
หมอมาร์เซล์รู้ตัวดีว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องปิดฉากคูหามรณะเสียที่ เขารีบเก็บของแล้วเผ่นไปจากปารีสไปหลบซ่อนในบ้านนอก
ในขณะเดียวกันตำรวจดันไปเจอกองมหาสมบัติและบัญชีรายชื่อคนเข้าห้องมรณะจำนวนกว่า 63 คน เมื่อตำรวจสอบประวัติผู้ตายแล้วไม่พบคนทรยศชาติสักคน
แต่ก็สายไปแล้ว หมอมาร์เซล์หลบหนีออกจากปารีสและไม่พบข่าวคราวอีกเลย ตำรวจทำได้แค่ลงหน้าและเรื่องราวของหมอมาร์เซล์ไว้ในหนังสือพิมพ์แจกจ่ายไปทั่วปารีตเท่านั้น

วันนี้เป็นวันเฉลิมชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ตามถนนชองป์ เอลิเซ นำโดยขบวนกองทัพของนายพลเดอโกลด์
มีชายคนหนึ่งเขาไว้หนวดไว้เครา มีเหรียญตราเก๊ๆมาประดับที่หน้าอกเดินร่วมกับเขา
"นั้นหมอมารืเซล์ ปดีต นี้" ตำรวจที่ต้องการตัวหมออย่างหนักจำเขาได้ และหมอมาร์เซล์ก็ถูกจับในวันนั้นเอง
เมื่อชีวิตของผู้คนกลับคืนสู่ปรกติหลังจากการปลดปล่อยแล้ว ตำรวจได้สะสางคดีหมอมาร์เซล์ใหม่
หมอยืนยันเขาสังหารเฉพาะคนทรยศชาติและกลับคำมาสู้กันในศาส ตลอด 18 เดือนที่ถูกศาลชัก แต่คราวนี้คณะลูกขุนไม่โง่เหมือนพวกตำรวจ หลักฐานต่าง ๆ เช่น หีบห่อเสื้อหากว่า 1500 ชุด ห้องในคฤหาสน์มรณะ บัญชีรายชื่อเหยื่อ และเงินที่จดบันทึกเป็นหลักฐานที่หมอดิ้นไม่หยุด
ตอนที่ศาลอ่านคำพิพากษา ณะนั้นคนอื่นเข้าร่วมส่งเสียกันระเบ็งเซ็งแซ่จนจำเลยแทบไม่ได้ยินคำตัดสิน จนต้องถามคนข้างเคียงว่าตนมีความผิดหรือไม่
"นายถูกตัดสินประหารชีวิตน่ะ" คนข้างเคียงบอก
หมอมาร์เซล์มีได้ยินว่าถูกลงโทษประหาร ก็แหกปากร้อง
"กูจะแก้แค้น"

เช้าตรู่ 26 พฤษภาคม 1946 ขณะที่หมอมาร์เซล์กำลังเดินเข้าไปสู่กิโยตินเพื่อประหารชีวิตนั้น หมอมาร์เซล์ได้ขอร้องคนข้างเคียงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตว่า
"ขอปัสสาวะหน่อยน่ะ"
แต่เพชรฆาตไม่ทำตามคำขอร้องจองหมอมาร์เซล์หมอมาร์เซลล์ถูกกิโยตินปั่นหัวออกจากร่างในเช้าตรู่ ตายทั้ง ๆ ที่ปวดฉี่อยู่

"ด้วยปฏิญาณแห่งข้า ข้าขอสาบานจะนับถือบูชาอาจารย์ดุจบิดามารดาอันเป็นที่............"
คำปฏิญาณการเป็นแพทย์ของฮิบโปเครติสบิดาแห่งแพทย์ศาสตร์ยังดังไปทั่วสถานที่รับปริญญาบัตรแพทย์ศาสตร์ทั่วโลก แต่เชื่อเลยว่าปีศาจในร่างของหมอนอกจากหมอมาร์เซล์ยังเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยและความโหดเหี้ยมที่ตามมาอย่างซ่อนเงื่อนและฉลาดกว่าเดิม ตราบใดที่มนุษย์ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่อย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ตลอดไป................

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:45:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 4  
 
เอ็ดเวิร์ด ทีช!!! โจรสลัดที่มีชื่อเสีย(ง)และโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

โจรสลัดสัญชาติอังกฤษ เป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสีย(ง)และโหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในช่วงปี 1702-1713 (สมัยศตวรรษที่ 18) ในสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสและสเปน เขามีรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพราะเขาทักหนวดจนเหมือนงูเลื้อยอยู่บนหน้า, สับคนขาด 2 ท่อนด้วยดาบเดียว, พกปืน 6 กระบอกข้างลำตัวแต่ละข้างตลอดเวลา, มีภรรยา 14 คน เขามีประวัติการปล้นสะดมและฆาตกรรมหลายคดีจนเป็นที่หมายหัวจากสามประเทศโจรสลัดตัวแสบที่ชื่อดังกระฉ่อนโลกที่สุด อาณาจักรของเขาคือแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกของ อเมริกา เอ็ดเวิร์ด ทีชบ้าบิ่นขนาดกล้าประกาศเป็นศัตรูกับฝ่ายรัฐและไม่เกรงกลัวการทำสงคราม เขาคือจอม วายร้าย เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวและไม่เคยยอมแพ้ใคร เขาคือ ตำนานโจรสลัดแห่งแคริบเบี้ยน
เอ็ดเวิร์ด ทีช โจรสลัดเคราดำคนนี้ เชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของตัวละครอย่างกัปตันฮุกในเรื่องปีเตอร์แพน เป็นเจ้าของภาพลักษณ์ที่ได้รับความนิยมไม่ต่างจากอดีต ภาพลักษณ์ของเขาถูกเอามาใช้ในภาพยนตร์เรื่อง ไพเรตส์ออฟเดอะแคริบเบี้ยน ที่นำแสดงโดย จอห์นนี เด็ป
ไม่มีใครทราบความเป็นมาของเอ็ดเวิร์ด ทีช หรือทาช หรือแทตช์ ในหนังสือ ประวัติการปล้นสะดมและฆาตกรรมของโจรสลัดชื่อดังแห่งยุคอันเป็นที่มาของตำนานเคราดำซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1724 บอกว่าเขามาจากบริสทอล เชื่อกันว่าทีชหันมาเป็นโจรสลัดหลังจากเดินทางไปกับเรือเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ปล้นเรือต่างชาติในสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสและสเปนในช่วงปี 1702-1713 เพราะการปล้นเรือลำหนึ่งอาจได้เงินถึง 20,000 ปอนด์ และส่วนแบ่งของสมุนโจรคนหนึ่งอาจมากกว่าเงินที่กะลาสีผู้ซื่อสัตย์หาได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว
ไม่มีใครทราบความเป็นมาของเอ็ดเวิร์ด ทีช หรือทาช หรือแทตช์ ในหนังสือ ประวัติการปล้นสะดมและฆาตกรรมของโจรสลัดชื่อดังแห่งยุคอันเป็นที่มาของตำนานเคราดำซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 1724 บอกว่าเขามาจากบริสทอล เชื่อกันว่าทีชหันมาเป็นโจรสลัดหลังจากเดินทางไปกับเรือเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ปล้นเรือต่างชาติในสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสและสเปนในช่วงปี 1702-1713 เพราะการปล้นเรือลำหนึ่งอาจได้เงินถึง 20,000 ปอนด์ และส่วนแบ่งของสมุนโจรคนหนึ่งอาจมากกว่าเงินที่กะลาสีผู้ซื่อสัตย์หาได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:46:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 5  
 
ปริศนาการตาย มาริลีน มอนโร!!!!!!!!!!!!!
"ผิดด้วยหรือที่ฉันเป็นผู้หญิงของเคนเนดี้???"

น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักดาราสาวเจ้าของฉายา"สัญลักษณ์ทางเพศ" นาม มาริลีน มอนโร ผู้คนต่างกล่าวถึงเสน่ห์ที่ดูดตรงข้าม เธอเป็นผู้หญิงที่ร้อนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ
แต่ต่อมาจู่ๆ เธอก็ตายปริศนา ในบ้านของเธอเอง แพทย์ที่ชันสูตรเธอบอกว่าเธอตายเพราะเสพย์ยาเกินขนาด
เป็นไปได้หรือ! ดาราสาวที่ร้อนแรงระดับโลกจะเครียดจัดจนกินยาเกินขนาด ท่ามกลางชื่อเสียงและเงินทอง
หลังการตายของเธอ จู่ ๆ ก็มีข่าวลือต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวเธอเพียบ
ไม่ว่าเธอจะเป็นเลสเบี้ยน นางขายตัว นางโรคประสาท หรือแม้กระทั้ง....................
เป็นผู้หญิงของเคนเนดี ประธานธิบดีชื่อก้องของอเมริกา!?
เรื่องราวแท้ที่จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่!?

มารู้จักกับเธอมาริลีน มอนโร
มารีลีน มอนโรนั้นชื่อเดิมของเธอมีชื่อว่า นอร์มา จีน เบเกอร์ ซึ่งมาจากนามสกุลของเพื่อนชายคนหนึ่งของแม่
แต่หลายคนเชื่อว่า นอร์มา จีน เบเกอร์ นั้นแหละคือพ่อแท้จริงของเธอ
เธอเกิดในบ้านเด็กกำพร้าในแอลเอ เนื่องจากแม่เธอมีอาการโรคประสาท ไม่สามารถเลี้ยงดูเธอได้ ส่วนพ่อแท้ไม่ต้องการเลี้ยงดูจึงฝากเธอเอาไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ต่อมาเธอก็ถูกรับไปเลี้ยงดูโดยครอบครัวกอดดาร์ดเพื่อนของพ่อแม่ของเธอ
เมื่อเธอโตเป็นสาวสวยเมื่ออายุ 21 ปี และได้แต่งงานครั้งแรกกับหนุ่มกะลาสีเรือสินค้าคนหนึ่งชื่อ จิมมี่ โดเฮอร์ตี แต่การงานนี้ไม่ได้เกิดจากความรักแม้แต่น้อย เพราะเธอถูกครอบครัวผลักให้แต่ง เพราะด้วยนิสัยของเธอที่เปรี้ยวมากกว่าสาวชาวบ้านธรรมดา(พูดง่าย ๆ ว่าแรด) ทำให้การแต่งงานครั้งแรกจบลงด้วยการหย่าใน 5 ปีต่อมา
ในช่วงที่เธอว่างหลังสามีคนแรกไม่อยู่บ้าน ด้วยความสวยของเธอ เธอคิดว่าจะไปทำงานหน้ากล้องโดยเป็นแบบถ่ายโฆษณาสินค้าซึ่งต่อมาก็ได้รับการชักจูงเข้าสู่วงการมายาฮอลลีวูด
คนจะสวย....ช่วยไม่ได้
ไม่นานนัก นอร์มา จีนเบเกอร์ เปลี่ยนชื่อมาเป็น มาริลีน มอนโร หลังจากที่เธอเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนต์ทวนตีธ์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ โดยนำชื่อท้ายของยายมาตั้ง หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็รุ่งเรืองถึงขีดสุดมาตลอด จนสื่อต่างๆ มักเรียกเธอว่าดาวค้างฟ้าแห่งฮอลลีวูด
มาริลีน มอนโรได้ดิบได้ดีจากอาชีพนักแสดงแห่งวงการมายาของช่วงยุคทศวรรษที่ 50 เนื่องจากเธอมีท่วงท่าและอิริยาบถในลีลาอันเย้ายวนใจของเธอในภาพยนต์หลายๆ เรื่องที่มาริลีนแสดง มากกว่าผลงานในภาพยนต์เสียอีก จนกระทั้งได้รับฉายาอีกอย่างคือ "สัญลักษณ์ทางเพศ"นับแต่นั้นเป็นต้นมา
และนี้คือผลงานภาพยนตร์ทั้งหมดของเธอ
พ.ศ. 2491 - เลดี้ ออฟ เดอะ คอรัส
พ.ศ. 2492 - เลิฟ แฮปปี้
พ.ศ. 2493 - เดอะ แอสฟัลต์ จังเกิ้ล
พ.ศ. 2495 - แคลช บาย ไนท์
พ.ศ. 2496 - เนียอะการา
พ.ศ. 2497 - ริเวอร์ ออฟ โน รีเทิร์น
พ.ศ. 2499 - บัส สต๊อป
พ.ศ. 2500 - เดอะ ปริ๊นซ์ แอนด์ เดอะ โชว์เกิร์ล
พ.ศ. 2502 - ซัม ไลท์ อิส ฮอต
พ.ศ. 2503 - เลส เมค เลิฟ
พ.ศ. 2504 - เดอะ มิสฟิทธ์
พ.ศ. 2505 - ซัมทิง ก๊อท ทู กิฟ (ถ่ายทำไม่สำเร็จ)
จากความงามในทุกสัดส่วนของเธอนี้เองมันไปเข้าตาทุกๆ คนในวงการเข้า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย นักการเมือง (รวมทั้งคนเขียน) ที่ต่างหมายปองเธอ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถได้ตัวเธอ เพราะมาริลีนมีชื่อเสียงในด้านความดื้อรั้น หัวแข็ง และปากจัดมากคนหนึ่งในฮอลลีวูด มีหลายครั้งที่เธอไม่สามารถร่วมงานกับคนในวงการได้ และหลายคนที่ต้องทนกับอารมณ์ที่แปรปรวนของเธอเกือบทุกวัน แม้กระทั้งผู้สื่อขาวที่เคยหน้าหงายจากการตอบโต้ของเธอเมื่อถามคำถามไม่เข้าหูมาแล้ว
ปี 1954 มาริลีน แต่งงานกับ โจ ดิแมกจิโอ ดาราเบสบอลที่มีชื่อเสียง แต่ไม่นานหลังจากแต่งงาน 9 เดือนต่อมา เธอก็หย่าขาดจากเขาโดยไม่บอกเหตุผลว่าเพราะทำไม
ปี 1956 มาริลีน แต่งงานเป็นครั้งที่3 กับ อาเธอร์ มิลเลอร์ คนเขียนบทละครชื่อดัง และช่วงนี้ชีวิตความเป็นดาราของมาริลีน มอนโร ก็ได้ก้าวถึงจุดสูงสุดในอาชีพการแสดง และในช่วงระหว่างนั้นเองความสวยสะพรั่งของเธอได้ไปสะดุดบุคคลคนหนึ่งเข้า
จอห์น เอฟฟ เคนเนดี

เขาลือว่าเธอเป็นเมียลับของพี่น้องเคนเนดี
เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1962 มาริลีน มอนโร ได้รู้จักกับพี่น้องเคนเนดีเป็นครั้งแรก ในงานเลี้ยงวันเกิดของคนพี่เข้า โดยการแนะนำให้รูจักจากปีเตอร์ ลอว์ฟอร์ค ดาราชายระดับแนวหน้าของฮอลีวูดที่เป็นญาติสนิทของตระกูลเคนเนดี
ในงานนี้ มาริลีน มอนโร สร้างความประทับใจแก่ท่านประธานธิบดีด้วยการร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ให้กับเขา
จอห์น เคนเนดีก็เหมือนชายหนุ่มทั่วๆ ไปที่ได้สัมผัสความงามของเธออย่างใกล้ชิดและอดลุ่มหลงตัวเธอไม่ได้ ต่อมาจากความสัมพันธ์จากคนรู้จักก็เก้ากระโดดเป็นเพื่อนสนิทกันในทันใด
แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถือว่าเป็นความลับสุดยอด เพราะท่านประธานธบดีนั้นมีภรรยาแล้ว ถ้ามีข่าวออกไปชีวิตพังพินาศแน่
แต่สำหรับมาริลีน มอนโร นั้นไม่เป็นเช่นนั้นเธอหวังมากและมากกว่าจะเป็นภรรยาลับของเคนนาดีเสียอีก
และภายหลังที่มาริลีน มอนโร คบหาประธานาธิบดีเคนนาดี เธอยิ่งมีนิสัยแข็งกระด้านขึ้นมากยิ่งขึ้นต่อทุกคนรอบข้างของเธอ เธอเริ่มเป็นคนไม่ตรงต่อเวลาและเอาแต่ใจตนเอง
แต่ความหวังอันสูงสุดของมอนโรนั้นไม่ง่ายเหมือนกลีบดอกกุหลาบ อย่างหนังที่เธอแสดง บนถนนสายการเมืองนั้นมีอำนาจลึกลับยิ่งใหญ่อยู่มันยุ่งเสียยิ่งกว่าวงการมายาของเธอมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า
อย่างที่รู้กันอยู่ว่าตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกานั้น มันอยู่ระหว่างขั้วอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มต่างๆมาช้านาน ถ้าเกิดมีอะไรนิดหน่อยมาสะดุดล่ะก็มีหวังพังเป็นแถบๆ และมาริลีน มอนโร ต้องเจอหลังเป็นเมียลับของเคนเนดีก็คือหน่วยงานลับสุดยอดที่ขึ้นชื่อในการกำจัด "ขวางหนาม"

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:47:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 6  
 
ข่าวลือ ชีวิตหลังจากนั้น
จู่ๆ ในช่วงอายุ 30 ปี มาริลีน มอนโร มีนิสัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เธอหงุดหงิกง่าย ทานยานอนหลับบ่อย และมีอาการประสาทจนต้องพึ่งจิตแพทย์และเข้าคอร์สบำบัดอยู่เป็นประจำ ปัญหาร้อยแปดนี้ทำให้อาชีพนักแสดงของเธอกำลังจะพัง แถมเธอยังถูกไล่ในระหว่างการแสดงภาพยนต์เรื่องหนึ่งอีก เนื่องจากผู้อำนวยการสร้างไม่พอใจกับพฤติกรรมไม่ตรงเวลาและความไม่รับผิดชอบของเธอ
แต่แล้วเธอกับเพิ่มปัญหายุ่งๆ นี้ขึ้นไปอีก หลังจากที่เธอไปมีความความสัมพันธ์กับเคนนาดีแล้ว เธอดันมีสัมพันธ์ชู้สาวกับ โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี น้องชายของจอห์นเข้าไปอีก มีหลายคนลือว่าเพราะโรเบิร์ตต้องการแยกห่างออกจากมาริลีนมอนโรก่อนที่สาธารณชนจะรู้มากกว่านี้ แต่กลับเป็นอีกคนที่หลงเสน่ห์เธอเสียนี้ ถึงขั้นคิดอย่าขาดจากภรรยาเขาเลยล่ะ
แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหรือที่รอดจาก CIA หรือหน่วยข่าวกรองสุดยอดของสหรัฐได้ ! แม้แต่ FBI ก็เขอร่วมด้วยช่วยกัน
เชื่อเลยทั้ง CIAและFBI คงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ข่าวว่าตอนนี้เธออยู่ไหน ไปหาใคร กินอาหารที่ไหนบ้าง ฯลฯ คงต้องมีการปฏิบัติแอบสะกดรอยตาม แอบมอง แอบฟังโทรศัพท์ ลักลอบบันทึกเทป ทุกสถานที่ที่เธอกำลังจะไป ฯลฯ เนื่องจากไม่แน่ใจว่า "เด็กของท่าน"นางนี้ อาจเป็นภัยที่เสี่ยงต่อหายนะของประเทศชาติ เพราะท่านประธานาธิบดีของเขาจะเผลอพูดความลับทางการเมืองอะไรไปหรือเปล่า ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงภัยจากคอมมิวนิสต์เสียด้วยสิ
เรื่องนี้มีหลักฐานคือ บ้านพักของเธอหลังเธอเสียชีวิตนั้น ภายหลังถูกครอบครองโดย เวโรนิกา ฮาเมล นักแสดงสาว เธอให้ช่างซ่อมไปซ่อมหลังคา และช่างก็ได้ไปเจอขยะกองโตที่เป็นชิ้นส่วนต่างๆมากมายที่หลงเหลือจากการใช้โทรศัพท์ถูกทิ้งใต้หลังคาหลังนั้น
ทิ้งทำไมเป็นจำนวนมาก?

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:49:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 7  
 
แน่นอนสิ่งที่พวกเขากังวลเริ่มเป็นความจริง มาริลีน มอนโร นั้นรู้ทุกอะไรหลายอย่างที่หลุดปากจากท่านประธานาธิบดี อย่างไม่ตั้งใจ เธอได้จดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไว้ลงในสมุดบันทึกสีแดงเล่มหนึ่งเพราะเธอมีนิสัยช่างจดมานานตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว อีกทั้งเธอมักเป็นโรคหลงๆ ลืมๆ ง่ายอีกด้วย
ภายหลังมีผู้เรียกสมุดเล่มนี้ของเธอว่า "บันทึกสีแดง" มันไม่ใช้สมุดบันทึกชีวิตประจำวันของเธอเท่านั้น มันยังเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของอเมริกาอีกด้วย
แต่ภายหลังที่เธอตายมันหายสาปสูญไป และไม่มีใครพบเห็นสมุดเล่มนั้นอีกเลยและไม่รู้ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไรกันแน่
ว่ากันว่ามาริลีน มอนโรเคยพูดถึงสมุดเล่มนี้ให้กับโรเบิร์ต สแลนเซอร์ผู้กำกับฮอลลีวูดให้ฟังว่าเธอรู้แผนการของ CIA คิดร่วมมือกับกลุ่มมาเฟียในแผนลอบสังหาร คาสโตร ในคิวบา!
เธอหารู้ไม่ว่าคำพูดจากปากเธอจะสร้างหายนะกับชีวิตของเธอในเวลาต่อมา!
แถมยังมีคำพูดที่หลุดจากปากของน้องชายเคนนาดีอีกเรื่องการถอนกำลังออกจากปฏิบัติการ "อ่าวหมู" ที่เป็นเหตุการณ์เสียหน้าที่สุดของสหรัฐอเมริกา
และมีอีก CIA ยังสืบรู้อีกว่า มาริลีน มอนโร ยังมีสายสัมพันธ์ลับกับกลุ่มมาเฟียเพื่อวางแผนแบล็กเมล์อีก! เอาล่ะสิ
เมื่อรู้ขนาดนี้แล้วมีหรือพวกเขาจะอยู่เฉย…………..


   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:50:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 8  
 
ข่าวลือปริศนาก่อนตายของมาริลีน มอนโร
ว่ากันว่าวันที่ มาริลีน มอนโร เสียชีวิตนั้น มีแหล่งข่าวว่า น้องชายของเคนนาดีมาที่บ้านบ้านพักของเธอเองที่ เบรนต์วูด แคลิฟอร์เนีย และเกิดมีการโต้เถียงอย่างรุนแรง มีการใช้กำลังกันด้วย บ็อบบี้ผลักเธอลงไปที่เตียง เธอเริ่มร้องไห้ เหตุเพราะเขาขอให้เลิกลาความสัมพันธ์กัน เพราะข่าวของเขากับเธอกำลังจะแดง เพราะเธอเริ่มปูดเรื่องของพี่ชายมากไปแล้ว ถ้าเรื่องนี้ข่าวหูนักข่าวล่ะก็ชีวิตสองพี่น้องพังแน่ เลิกเสียที่ได้ไหม!
มีคำยืนยันจากเพื่อนบ้านว่าได้ยินเสียงทะเลาะกันจากบ้านหลังนั้น เห็นบ็อบบี้จากไปและมีเสียงตะโกณตามมาว่า "ปล่อยให้บ๊อบบี้ อยู่ตามลำพังเถอะ"และได้ยินเสียงแก้วและกระจกแตกอีก"
นี้คือคำพูดสุดท้ายที่เธอมีชีวิตอยู่และเราก็ไม่รู้อะไรเลยว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น……
วันที่ 5 สิงหาคม ปีค.ศ.1962 สาวใช้ พบร่างที่ไร้วิญญาณของมาริลีน มอนโร วัย 36 ปี นอนตายอยู่บนเตียงในห้องนอน ที่ภายหลังจากการชันสูตรและแถลงการต่อสาธารณะชนว่า มาริลีน มอนโร เสียชีวิตเพราะเธอทานยานอนหลับเกินขนาด คาดว่าเธอเสียชีวิตวันที่ 4 สิงหาคม

และเมื่อตำรวจมาถึง และเข้าไปที่ตรวจเหตุนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าเธอฆ่าตัวตายจริงๆ มีขวดยาเทเรี่ยราดอยู่บนโต๊ะ กระจกและแก้วแตกกระจาย มีการทำลายข้าวของในบ้านด้วย
จากการชันสูตรก็ไม่มีอะไรผิดปกติ พบเพียงแต่กากของยาระงับประสาทกับน้ำ และเศษอาหารนิดหน่อยในกระเพาะอาหารของเธอเท่านั้น แพทย์ลงความเห็นว่าเธอกินยาเข้าไปเกินขนาด จนเธอช็อกขาดสติ ส่วนยาที่ใช้เกินขนาดคาดว่าเป็นยา "เอนนีมา"ถูกฉีดลงที่ก้นของเธอ
"แอนนีมา" เป็นยาลดความอ้วนชนิดหนึ่ง ที่คนในวงการบังเทิงมักชอบใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่แพทย์ชันสูตรยังสงสัยว่ายาชนิดนี้ทำให้เธอตายจนริงหรือ เพราะก่อนหน้านั้นเธอก็ใช้ยาชนิดด้วย

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:51:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 9  
 
ข่าวลือปริศนาก่อนตายของมาริลีน มอนโร
ว่ากันว่าวันที่ มาริลีน มอนโร เสียชีวิตนั้น มีแหล่งข่าวว่า น้องชายของเคนนาดีมาที่บ้านบ้านพักของเธอเองที่ เบรนต์วูด แคลิฟอร์เนีย และเกิดมีการโต้เถียงอย่างรุนแรง มีการใช้กำลังกันด้วย บ็อบบี้ผลักเธอลงไปที่เตียง เธอเริ่มร้องไห้ เหตุเพราะเขาขอให้เลิกลาความสัมพันธ์กัน เพราะข่าวของเขากับเธอกำลังจะแดง เพราะเธอเริ่มปูดเรื่องของพี่ชายมากไปแล้ว ถ้าเรื่องนี้ข่าวหูนักข่าวล่ะก็ชีวิตสองพี่น้องพังแน่ เลิกเสียที่ได้ไหม!
มีคำยืนยันจากเพื่อนบ้านว่าได้ยินเสียงทะเลาะกันจากบ้านหลังนั้น เห็นบ็อบบี้จากไปและมีเสียงตะโกณตามมาว่า "ปล่อยให้บ๊อบบี้ อยู่ตามลำพังเถอะ"และได้ยินเสียงแก้วและกระจกแตกอีก"
นี้คือคำพูดสุดท้ายที่เธอมีชีวิตอยู่และเราก็ไม่รู้อะไรเลยว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น……
วันที่ 5 สิงหาคม ปีค.ศ.1962 สาวใช้ พบร่างที่ไร้วิญญาณของมาริลีน มอนโร วัย 36 ปี นอนตายอยู่บนเตียงในห้องนอน ที่ภายหลังจากการชันสูตรและแถลงการต่อสาธารณะชนว่า มาริลีน มอนโร เสียชีวิตเพราะเธอทานยานอนหลับเกินขนาด คาดว่าเธอเสียชีวิตวันที่ 4 สิงหาคม

และเมื่อตำรวจมาถึง และเข้าไปที่ตรวจเหตุนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าเธอฆ่าตัวตายจริงๆ มีขวดยาเทเรี่ยราดอยู่บนโต๊ะ กระจกและแก้วแตกกระจาย มีการทำลายข้าวของในบ้านด้วย
จากการชันสูตรก็ไม่มีอะไรผิดปกติ พบเพียงแต่กากของยาระงับประสาทกับน้ำ และเศษอาหารนิดหน่อยในกระเพาะอาหารของเธอเท่านั้น แพทย์ลงความเห็นว่าเธอกินยาเข้าไปเกินขนาด จนเธอช็อกขาดสติ ส่วนยาที่ใช้เกินขนาดคาดว่าเป็นยา "เอนนีมา"ถูกฉีดลงที่ก้นของเธอ
"แอนนีมา" เป็นยาลดความอ้วนชนิดหนึ่ง ที่คนในวงการบังเทิงมักชอบใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่แพทย์ชันสูตรยังสงสัยว่ายาชนิดนี้ทำให้เธอตายจนริงหรือ เพราะก่อนหน้านั้นเธอก็ใช้ยาชนิดด้วย

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:52:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 10  
 
เทปลับ
คดีนี้จบอยากเงียบในเวลาต่อมา เพราะไม่มีใครติดใจสงสัยอะไร จนกระทั้ง......43 ปี หลังการตายของมาริลีน มอนโร
จู่ๆ นาย จอห์น ดับเบิ้ลยู ไมเนอร์ อัยการประจําเขตในลอสแอนเจลิส ผู้รับหน้าที่สืบสวนกรณีการเสียชีวิตของดาราสาวคนดังเมื่อ 43 ปีที่แล้ว ออกมาให้รายละเอียดเรื่องที่เขายังคงปฏิเสธเรื่อยมา เกี่ยวกับข้อสันนิษฐานที่ว่ามอนโรฆ่าตัวตาย
หลักฐานที่มาอ้างถึงเป็นเทปลับที่ถูกบันทึกเป็นขั้นตอนในการบําบัดจาก ด็อกเตอร์ ราฟ กรีนสัน จิตแพทย์ประจําตัวของมอนโร ซึ่งภาพจากเทปก่อนวันเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน แสดงให้อย่างชัดเจนว่ามอนโรไม่ได้มีอาการเครียดหรือกลัดกลุ้มจนเป็นสาเหตุของการปลิดชีพตัวเอง แถมเธอยังระบุว่ากําลังมุ่งมั่นในงานแสดงกับการเตรียมรับบทในหนังที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของเชคสเปียร์สด้วยซ้ำ
"นี่เหรอที่ว่าเป็นพฤติกรรมของคนที่เข้าข่ายกําลังจะฆ่าตัวตาย ผมเห็นว่ามันเป็นการวินิจฉัยผิดพลาดแน่มันดูแล้วค่อนข้างจะเหลวไหลไปหน่อยนะ" ไมเนอร์ชี้ชัด
ส่วนเทปมีเนื้อหามาริลีนมอนโรพูดกับคุณหมอราฟ กรีนสัน
มอนโรเริ่มต้นด้วยการขอบคุณหมอกรีนสัน ที่ช่วยให้เธอกลับมา "ควบคุมตัวเอง ควบคุมชีวิต" ได้อีกครั้ง พร้อมทั้งขอบคุณที่เขาช่วยแก้ปมความรู้สึกทางเพศ ซึ่งเธอกล่าวติดตลกว่า ถ้าออสการ์มอบรางวัลสาขาแกล้งทำเป็นถึงจุดสุดยอด เธอคงได้ไปนานแล้ว
"คุณบอกว่ามีอุปสรรคในใจฉันขวางกั้นจากการบรรลุจุดสุดยอด...ฉันขอยกย่องคุณ ตอนนี้ ฉันถึงจุดสุดยอดมากมาย ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สอง หรือสามครั้ง ในหนึ่งครั้งของผู้ชาย"

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:53:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 11  
 
เธอยังกล่าวถึงตัวเองอย่างภาคภูมิใจ "เมื่อวาน ฉันยืนแก้ผ้ามองตัวเองในกระจกอยู่ตั้งนาน ฉันเพิ่งทำผมใหม่ แล้วฉันเห็นอะไร หน้าอกฉันเริ่มคล้อยลงนิดนึง แต่เอวยังไม่เลว ก้นเป็นก้น และยังเจ๋งที่สุด ขา เข่า ข้อเท้า ของฉันยังได้รูปทรง เท้าฉันไม่ใหญ่เกินไป โอเคเลย มาริลีน เธอมีทุกอย่าง"
จากนั้นเธอก็กล่าวถึงชู้รัก คู่ขา อดีตสามี และเพื่อน ซึ่งที่น่าสนใจคือ เธอไม่ได้พูดเลยว่ามีสัมพันธ์สวาทกับเคนนาดี แต่รับว่ามีกับน้องชายเขา โดยคร่ำครวญว่าเธอไม่กล้าพอที่จะเลิกกับเขา
ที่เซอร์ไพรส์คือ มาริลีนรับว่ามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วยกัน-โจน ครอฟอร์ด ซึ่งเธอเล่าว่ามีอะไรกันแค่ครั้งเดียว "ครั้งต่อมาที่ฉันเจอครอฟอร์ด เธอต้องการอีก ฉันบอกเธอตรงๆ ว่าฉันไม่สนุกนักกับผู้หญิง ซึ่งหลังจากฉันปฏิเสธ เธอก็กลายเป็นอาฆาตแค้น"
เธอกล่าวถึงประธานาธิบดีเคนเนดีว่า "มาริลีน มอนโร คือพลทหาร ผู้บังคับบัญชาของเธอคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีอำนาจมากที่สุดในโลก หน้าที่อันดับหนึ่งของทหารคือเชื่อฟังคำสั่ง เมื่อเขาบอกว่าทำอย่างนี้ ก็ต้องทำอย่างนี้ นี่คือคนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศของเรา"
ส่วนโรเบิร์ต น้องชาย "ไม่มีที่ว่างในชีวิตฉันสำหรับเขา แต่ฉันไม่กล้าเผชิญความจริงและทำให้เขาเจ็บปวด ฉันอยากให้ใครสักคนช่วยบอกเขาว่ามันจบแล้ว ฉันพยายามจะบอกประธานาธิบดีให้บอกแทน แต่ฉันเข้าไม่ถึง"
มาริลีนยังกล่าวถึงอดีตสามีทั้งสองคน รายแรกคือโจ ดิมักจิโอ นักเบสบอลผู้เป็นตำนาน "โจรักมาริลีน มอนโร และจะรักตลอดไป ฉันรักเขา และจะรักตลอดไป แต่โจไม่สามารถแต่งงานอยู่กินกับมาริลีน มอนโร ดาราหนังผู้โด่งดัง เพราะในความคิดของคนอิตาเลียนหัวดื้ออย่างเขา คิดถึงแต่เมียอิตาเลียนที่อยู่เหย้าเฝ้าเรือน.. คุณหมอ คุณก็รู้ว่านั่นไม่ใช่ฉัน แต่ทุกครั้งที่ฉันต้องการเขา โจจะอยู่ที่นั่นเสมอ ไม่มีใครเป็นเพื่อนที่ดีกว่านี้อีกแล้ว"
และเป็นเช่นนี้จริงๆ โจ ดิมักจิโอ ส่งดอกไม้ไปที่หลุมศพของมาริลีนทุกวันตลอดเวลาหลายสิบปี จนเขาตายตามไป
อย่างไรก็ดี กับสามีอีกคน อาเธอร์ มิลเลอร์ นักเขียนบทละครผู้โด่งดัง เธอบอกว่าการแต่งงานกับเขาเป็นความผิดพลาด
"ของฉัน ไม่ใช่ของเขา เขาไม่สามารถให้ความรัก ความอบอุ่น ความใส่ใจ ได้อย่างที่ฉันต้องการ มันไม่ใช่ธรรมชาติของเขา อาเธอร์ไม่เคยมองว่าฉันมีหัวคิด.. เรื่องบนเตียงหรือ ก็งั้นๆ เขาไม่ค่อยสนใจ"
มาริลีน มอนโร ยังกล่าวถึงอนาคตด้านงานแสดงเอาไว้ว่ากําลังเตรียมตัวฝึกหนักเพื่อการแสดงเกี่ยวกับบทประพันธ์เรื่องเยี่ยมของเชคสเปียร์สอีกว่า

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:55:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 12  
 
"ฉันได้อ่านเรื่องของเชคสเปียร์สทั้งหมดและก็ลองฝึกตัวเองหลายๆบทพูดนะ ฉันอยากเริ่มจากการเล่นเป็นจูเลียตก่อน...อย่าหัวเราะเยาะฉันเลยน่ะ ฉันจะแต่งหน้า เลือกชุดที่เหมาะ และลองเล่นผ่านกล้องเพื่อใช้ฝีมือทั้งหมดเนรมิตจูเลียตที่มีอายุเพียง14ปีและบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นมาให้ได้"

"ลองคิดดูซิว่าคนที่กําลังวางแผนในอนาคตแบบนี้และพูดออกมาในเทป ไม่น่าจะมีแนวโน้มฆ่าตัวตายได้เลย"ไมเนอร์ย้ำอีก

นอกจากนี้ ในสําเนาคัดลอกคําพูดของมอนโรจากเทปลับที่ไมเนอร์อ้าง ยังรวมไปทั้งเรื่องความรักลับๆแบบเลสเบียนระหว่างมอนโร และนักแสดงสาว โจน ครอว์ฟอร์ด อีกด้วย "คราวหน้าถ้าเจอกับครอว์ฟอร์ด เธอดูเหมือนจะอยากยุ่งกับฉันอีกสักรอบ ฉันเคยบอกให้เธอพูดออกมาตรงๆ แต่ฉันก็ไม่ค่อยชอบมีอะไรกับผู้หญิงเลยนะ"
และที่สําคัญ รวมไปถึงเรื่องที่เธอบรรยายความรู้สึกที่ต้องแยกทางกับแฟนหนุ่มทายาทตระกูลดัง โรเบิร์ต เคนเนดี้
"ในชีวิตของฉันคงไม่มีที่ให้เขาอยู่อีกต่อไปแล้ว และฉันก็ไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันและทําให้เขาต้องเจ็บปวดอีกแน่...ฉันอยากให้มีสักคนหนึ่งที่ไปบอกเขา ว่าเรื่องของเรามันจบแล้ว และฉันก็เคยพยายามเข้าพบท่านประธานาธิบดีเพื่อให้ท่านเป็นคนบอก แต่ฉันก็เข้าไม่ถึงตัวท่าน" บทพูดจากปากของมอนโรซึ่งไมเนอร์ย้ำกับสํานักข่าวเอบีซีว่าคัดลอกมาจากเทป

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:57:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 13  
 
นอกเหนือจากนี้ เรื่องราวที่ไมเนอร์อ้างไว้ทั้งหมดได้ถูกซื้อไปโดยไม่มีการระบุราคา จาก แมทธิว สมิธ โปรดิวเซอร์รายการทีวีและนักเขียนแนวการเมืองชื่อดังแห่งยุคนั้น และนํามาเรียบเรียงเป็นหนังสือโดยสมิธให้ชื่อว่า Marilyn's Last Words: Her Secret Tapes and Mysterious Death พร้อมทั้ง สมิธเองก็เคยกล่าวทํานองเดียวกันกับไมเนอร์ว่า "สาระสําคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ ผมว่าเธอไม่ใช่คนที่จะฆ่าตัวตายนะ!"
แม้เทปลับนี้จะเปิดออกแต่นี้ไม่ใช้เป็นครั้งแรกเพราะ อัยการเคยพยายามจะรื้อฟื้นคดีเมื่อปี 1982 มาแล้ว แต่ก็สรุปว่าไม่สามารถหาพยานหลักฐานพอที่จะฟื้นคดีได้
คดีนี้ดำมืดอีกครั้ง

ข่าวลือในวันสังหาร
มาริลีนมอนโรอาจถูกมาเฟียเป็นคนฆ่า และมือสังหารอาจเป็นจอห์นนี โรเซลลี มือสังหารของมาเฟีย !
ว่ากันว่าก่อนเที่ยงคืนวันที่ 4 นั้นจอห์นีพร้อมผู้ช่วยอีกคนได้มาเข้าห้องนอนที่ มาริลีน มอนโร นอนอยู่ เขาจัดการล็อกตัวเธอและปิดจมูกด้วยโครโรฟฟอร์มจนเธอแน่นิ่งไป หลังจากนั้นก็พลิก ร่างของเธอและถลกชุดนอนเธอขึ้นและฉีดยา "แอมนีมา"เข้าไปที่ก้นเธอและจัดวางเธอบนที่นอนในท่าเธอกำลังนอนหลับนั้นแหละ
แต่ยังมีข่าวลือเหตุการณ์หลังจากนี้อีก!
ช่วงค่ำวันที่ 4 นั้นโรเบิร์ต เคนนาดี กลับมาที่นั้นอีกครั้ง เนื่องจากมาริลีน มอนโรโทรไปหาเขาและขู่ว่าจะกินยาตาย แต่เมื่อบ็อบบี้ไปถึงกลับพบร่างเธอแนบนิ่งอยู่บนเตียงก่อน เขาตกใจมาก และเชื่อกันว่าคนที่โทรไปเรียกรถพยาบาลก่อนสาวใช้ที่จะโทรนั้นคือตัวบ็อบบี้เองนั้นแหละ และมีคนเห็นด้วยน่ะว่ามีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งดึงตัวบ็อบบี้ออกจากเหตุการณ์นั้นด้วย และสายตรวจนายหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นพบรถคนหนึ่งจอดอย่างน่าสงสัย พอไปตรวจก็พบว่าเป็น ปีเตอร์ ลอว์เฟอร์ ดาราดัง และด้านหลังก็มีคนหนึ่งนั้นด้วยเขาคือ
โรเบิร์ต เคนเนดี !

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:58:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 14  
 
ก่อนจบ
ว่ากันว่า(อีกแหละ) ภรรยาของปีเตอร์ ลอว์ฟอร์ด นั้นเคยถามสามีว่า มาริลีน มอนโร ตายเพราะ "เเอนนีมา"หรือเปล่า
ปีเตอร์ได้ยินดังนั้นตอบว่า
"บางครั้งปริศนาก็ควรเป็นปริศนาต่อไป เพราะหากมีผู้ขุดคุ้ยเรื่องราวมากกว่านี้ก็จะกระทบหลายฝ่ายเท่านั้น เรื่องนี้ควรจบลงด้วยการจากไปอย่างเดียวดายของตัวละครน่าเศร้าที่ตกเป็น "เหยื่ออธรรม คนเดียวดีกว่าน่ะ"
อนิจจา มาริลีน ผู้น่าสงสาร
ขอบคุณทุกท่านครับ ที่อ่านจนจบ ^^

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 9:59:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 15  
 
มาริลิน มอนโร
มาริลิน มอนโร เดิมชื่อ นอร์มา จีน มอร์เทนสัน เป็นอดีตนักแสดง นักร้อง นางแบบชื่อดัง ชาวอเมริกัน วิกิพีเดีย
เกิดเมื่อ: 1 มิถุนายน 2469, ลอสแอนเจลิส, รัฐแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
เสียชีวิตเมื่อ: 5 สิงหาคม 2505
ความสูง: 1.66 ม.
ภาพยนตร์: อรชรอ้อนรัก
รางวัลที่ได้: รางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภท ภาพยนตร์เพลงหรือตลก, เพิ่มเติม
รางวัลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง: รางวัลบาฟต้า สาขานักแสดงนำหญิงต่างประเทศยอดเยี่ยม

   สมาชิกแบบพิเศษ      top2513      1 มิ.ย. 57   เวลา 10:09:00    IP = 125.26.47.213
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 16  
 
ขอบคุณครับ

   Saverum      1 มิ.ย. 57   เวลา 11:13:00    IP = 58.11.168.242
 


  คำตอบที่ 17  
 
ขอบคุณคับ

   พายุลูกเห็บ      1 มิ.ย. 57   เวลา 12:54:00    IP = 49.230.64.32
 


  คำตอบที่ 18  
 
ขอบคุณที่นำมาให้อ่านครับ ผมชอบเสียงมาลิลีนมาก ต้องมีติดรถ ติดโทรศัพท์ไว้ฟังแบบขาดไม่ได้เลย ชอบที่สุดก็ 4 เพลงจากหนังเรื่อง the river of no return

   Stevie Ray Vaughan      1 มิ.ย. 57   เวลา 16:06:00    IP = 223.205.206.233
 


  คำตอบที่ 19  
 
เยี่ยมยอดมากครับ กับเรื่องราวในวันนี้ ครับ อ.ท๊อป..

   สมาชิกแบบพิเศษ      khakai      1 มิ.ย. 57   เวลา 18:26:00    IP = 223.207.251.167
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 20  
 
อ่านเพลินเลยครับ

   สมาชิกแบบพิเศษ      Solo man 007      2 มิ.ย. 57   เวลา 15:36:00    IP = 110.168.185.123
สมาชิกแบบพิเศษ  
 
 

Bigtone.in.th Online Music Store

Yamaha



ตั้งกระทู้ Login ก่อน Click ที่นี่
ผู้ตอบ :
รูปภาพ:  ( ไม่เกิน 150 K )
ข้อความ :
 

any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket