|
คู่มือ POD2.0 การควบคุม และติดต่อ 1.พาวเวอร์ สวิช - สวิชเปิด - ปิด อยู่ที่มุมขวาบนของ Pod 2.อินพุต - อยู่ทาวฝั่งขวาของ Pod ให้เสียบแจคกีต้าร์ที่นี่ 3.โฟน - ปุ่มโฟน ทำหน้าที่ไว้ต่อกับ เฮดโฟน โดยควบคุมระดับเสียงได้ที่ ปุ่ม เอาท์ฟุต เลเวล 4.เอาท์พุต เลเวล - เป็นระดับเสียงของ pod ที่จะส่งออกไปยังแอม การเซตเอาท์พุตเลเวล จะไม่มีผลต่อการเซฟ พูดง่ายๆว่า คุณจะเอาระดับเสียงเท่าไร ก็ปรับได้เลย ไม่ต้องเซฟหรอก เพราะมันเซฟไม่ได้ เอาท์พุต เลเวล จะไม่มีผลต่อโทนเสียง * Pod จะแสดงผลอย่างดีที่สุด ส่วนมาก เอาท์พุตเลเวล ต้องสูงๆหน่อย 5.เอาท์พุต ซ้าย ขวา - ถ้าจะรัน pod ก็ใส่สายแจคที่ต่อกับแอม ไว้ที่ช่อง เลฟท์ เอาท์พุต หรือ เอาท์พุตซ้ายนั่นเอง 6. เอ ไอ อาร์ โหมด - ใช้เปลี่ยนเสียงโทนของแอม ให้เซตแอมไปที่เสียงคลีน แล้วจะสามารถต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นได้ เช่น มิกเซอร์ เครื่องอัดเสียง พาวเวอร์แอม การใช้งานไอ้ตัวพวกนี้ จะต้องผ่าน เอ ไอ อาร์ โหมด 7.การต่อ ฟุต พีดอล - ต่อสายที่มีให้ สีดำคล้ายๆสายแลน หรือ สายโทรศัพท์ ไปที่ด้านบนสุดของ Pod แล้วเอาไปต่อที่ฟุตสวิช ถ้าเป็น moto ก็ต่อกับฟุตตระกูล FVB ถ้า 2.0 ก็ต่อกับ FB 8 มิดิ เข้า - ออก - ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับคอมได้ สามารถโหลดโปรแกรม Line 6 eidt มาใช้ปรับในคอม แทนที่จะปรับข้างนอกได้ สามารถเข้าไปดาวโหลดซาวแปลกๆใหม่ๆ ของศิลปิน หรือ ของวงที่ท่านชื่นชอบ ได้ที่ www.line6.com 9. ปุ่ม แมนน่วล - ใช้เซตปุ่มเอง ถ้าเรากดแมนน่วลไป แล้วเราไปปรับเอฟเฟค ปรับที่ยังไง มันก็จะแสดงผลอย่างนั้นแหละครับ ปุ่มนี้เหมือนแค่ลองก่อนเฉยๆ ก่อนจะเซฟ ก็ไม่มีอะไรมาก 10. ปุ่ม แชเนิล ขึ้น-ลง - ใช้เปลี่ยนแชเนิล โดยผ่าน pod กรณีที่ไม่มีฟุต และสามารถเซตความมากน้อย ของออปชั่นต่างๆได้ ที่นี่ 11. แอม โมเดล - การจำลองแอม เสียงที่สะอาดที่สุด คือ Small Tweed เสียงที่หนวกหูมากที่สุดคือ Fuzz Box 12. ไดรฟ์ - ปุ่มปรับความโหดของ pod คล้ายๆกับ Gain ในแอมป์ 13. การควบคุม โทน - คือ การควบคุม เบส มิดเดิล และ ทรีเบิล ปุ่ม สามปุ่มนี้จะเปลี่ยนเสียงของโทนได้ 14. ชาญ โวล. - ปรับเลเวลของ แชเนิล ใช้เพื่อตั้งความสมดุลของซาวน์ในระหว่างแชนเนิล 15. รีเวริป - เสียงสะท้อนของแอม 16.เอฟเฟค ทวีค - ใช้ปรับระดับความเข้มของเอฟเฟค ความแรงของเอฟเฟค จะไม่มีผลถ้าปรับที่ Bypass เพราะ Bypass คือการนำเอฟเฟคออก ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเสียงที่ออกมา 17. เอฟเฟค / คาบิเนต - ใช้ปรับเสียงเอฟเฟคต่างๆ ก็เลือกดูเอา ถ้าจะปรับคาบิเนต ให้กดปุ่ม Tab(hold) ค้างไว้ แล้วหมุนปุ่ม เลือกคาบิเนต (ปุ่มเดียวกับปุ่มเอฟเฟค) ได้เลย 18. ทูนเนอร์ - ใช้ทูนเสียงกีต้าร์ให้ตรง ทำได้โดย กดที่ทูนเนอร์ 19. นอยส์ เกต - ตัวลดเสียงรบกวน ถ้าไม่มีตัวนี้ เสียงรบกวนกระจาย. 20. ปุ่ม tab - ใช้ควบคุม ความเร็ว tempo ความเร็ว ดีเล ความเร็วของแฟลงเจอร์ คลอรัส และหลายๆอย่าง สังเกตความเร็วได้โดยไฟที่ปุ่ม tab(hold) ว่าประพริบเร็วมากเท่าใด tab (hold) ฟังชั่น - ในปุ่ม tab นี้ ท่านสามารถเข้าไปถึงส่วนลึกของ pod ได้ เช่น แอมโมเดล 17 - 32 คาบิเนต โมเดล ดีเล ฟีตแบค ดีเลเลเวล รีเวริบทาม อะไรอีกหลายอย่าง มาดูกันเลยดีกว่า -แอมโมเดล 17 - 32 - กดปุ่ม tab แล้วก็หมุนปุ่ม แอม โมเดล เลือกแอมโมเดลที่ต้องการได้เลย -แคบบิเนต โมเดลซีเลคเตอร์ : กดปุ่ม tabค้างงงไว้ แล้วหมุน ปุ่ม เอฟเฟค ซึ่งใช้เป็น แคบิเนต ซีเลคเตอร์ เลือกขนาดของตู้ตามที่ต้องการ ขนาดของตู้จะบอกอีกที ใน แชปเตอร์ 2 - ไดร์ฟ บูสต์ เปิด / ปิด - กด tab ค้างงง แล้วหมุนปุ่ม Drive ไปที่ 12 นาฬิกา คือ หมุนให้มันตรงไปข้างหน้าอะงับ จะได้เสียงแบบ extra dirt พูดง่ายๆก็คือ ความโหดจัดของ pod อะ การควบคุมก็ ใช้ปุ่ม เอาท์พุต เลเวลเพื่อเซตระดับเสียงแตกนะคับ -ดีเล รีพีท - กด tab ค้างง แล้วหมุนปุ่มเบส จะทำให้เป็นเสียง ดีเล รีพีท ใช้ในเอฟเฟคดีเล ติดตามรายละเอียดได้ใน แชปเตอร์ 3 -ดีเล เลเวล - กด tab ค้างง หมุนปุ่ม Middle เพื่อเซต ระดับดีเล ระดับดีเลก็คือ ระยะเวลาของการดีเลอะงับ รายละเอียดเพิ่มเติมก็ แชปเตอร์ 3 เหมือนเดิม เหอๆ - Presence Bump On/Off - ปุ่ม tab กดค้างง หมุน ทรีเปิล ไปที่ 12 นาฬิกา เหมือนเสียงไดร์ฟบูสอะงับ แล้วจะได้ เสียงที่ใสกิ้ง!! -โวลุ่ม บูส On/Off - กด tab เหมือนเดิม ค้างนะครับ แล้วหมุน Chan Vol. ไปที่ 12 นาฬิกา จะได้เสียงคม เฉียบ เหมาะสำหรับการลีดกีต้าร์อย่างยิ่ง - รีเวริป ดีเคลย์ ทาม - กด tab ค่าง หมุนปุ่ม reverb จะสามารถควบคุมขนาดเสียงที่สะท้อนออกมาได้ครับ รายละเอียดติดตามใน แชปเตอร์ที่ 3 - เอฟเฟค สปีด - กด tab !! ค้างง แล้วหมุนปุ่ม Effect Tweek เพื่อกำหนดความเร็วของเอฟเฟค ติดตามรายละเอียดในแชปเตอร์ 3 ค้าบบบ **ปุ่ม Drive Boost กับ ปุ่ม Volume Boost นั้น วิธีเปิดปิดคือ ถ้าหมุนไปเกิน 12 นาฬิกา หมุนไปทางบ่ายๆ เย็นๆอะงับ - -" อันนั้นคือเปิด ถ้าหมุนไปทางเช้าๆ สายๆ คือปิดครับผม
21 เซฟ - เมื่อเราเซตอะไรต่างๆเสร็จแล้ว ก็สามารถกดปุ่มเซฟ เพื่อ pod จะได้จดจำซาวนั้น ไว้ในตัวมัน เมื่อคุณใช้ Pod ตามปรกติ มันจะขึ้นที่หน้าปัดว่า คุณอยู่ในแชเนิลอะไร มีตั้งแต่ A B C D . คุณก็สามารถเก็บไว้ในแชเนิล 4 แชเนิลนี้ได้เช่นกัน โดยการกดปุ่ม save นั่นเอง เมื่อคุณจะเลือกแชเนิล ก็มากดที่ฟุต A B C หรือ D หรือจะใช้ ปุ่ม ขึ้น - ลง ที่ Pod ก็ได้คับ 22. มิดิ - ปุ่มน้ำจะแสดงถึงการใช้ มิดิของ pod แชเนิล โดยผ่าน อุปกรณ์มิดิ
โมเดล แอม และ คาบิเนต แอมโมเดล และคาบิเนต คืออะไร ? แอมโมเดลนั้นมี 32 ชนิด ใน pod ของเรา และ มี 16 คาบิเนต เมื่อคุณหมุนปุ่ม แอม โมเดล แล้ว คุณก็สามารถ นำมารวมกับคาบิเนตนาๆชนิดได้ โดย กด tab ค้างง แล้วหมุนปุ่ม Effect เพื่อเลือก แอม โมเดล และ คาบิเนตงับ
Line 6 Clean - ในการทำแอม โมเดลแบบคลีน แบบให้ปลอดภัยที่สุด คือ แอมแบบ หลอด Line 6 Crunch- ซาวประเภทนี้ ไม่คลีน และไม่หนักไป เหมาะสำหรับเพลง บลูส์ หรือ แจส , เสียงจะเป็นแบบ smooth นุ่มๆนิดนึง การควบคุม ให้ควบคุมที่ ปุ่ม Drive , Bass , Treble Line 6 Drive - ความโหดของ pod อยู่ในตัวนีแหละงับ มีความดุ เหมาะสำหรับการลีด ถ้าจะอัดเสียง pod โดยใช้แอมโมเดลตัวนี้ แนะนำให้ใช้พวกมิกเซอร์และอุปกรณ์สตูดิโอ เพื่อจะได้เสียงที่มีคุณภาพมากขึ้น Line 6 Layer - เสียงคลีน กับ เสียงไดร์ฟ รวมกัน กลายเป็น Layer!! มันจะคล้ายๆกับ Line 6 Crunch นะคับ แต่ว่าซาวมันจะคนละแบบกัน ตัวนี้สามารถควบคุมที่ปุ่มไดร์ฟได้ เพื่อให้เสียงที่หนักแน่นครับ ต่อไปนี้เป็นลักษณะของตู้แอม กับ คาบิเนต ครับ
Small Tweed จาก 1952 wide panel "Fender" Tweed Deluxe Reverb แอมชนิดนี้ เป็นแอมที่ให้เสียงนุ่มๆ การเซตส่วนใหญ่จะอยู่ที่ เบส กับ มิดเดิล จะให้เสียงแบบธรรมชาติๆ ออกคาสสิกหน่อยๆ
Tweed Blues - จาก the classic 59 Fender Bassman 4x10 combo แน่นอน แอมชนิดนี้ให้เสียงจำลองมาจาก Fender Bassman นั่นเองครับ สามารถปรับ มิดเดิล และ ทรีเปิล ให้ผลดีทีเดียว ส่วนใหญ่เสียงจะออกทุ้มๆหน่อย เสียงไดร์ฟ เค้าบอกว่า ประมาณ 4 - 5 หน่วย จะได้ซาวแบบ R&B (ริทึ่ม แอนด์ บลูส์ : เผื่อใครยังไม่รู้ความหมาย อิอิ )
Black Panel - จาก the black Fender Deluxe Reverb แอมตัวนี้ เหมาะในการเล่นแนวเพลง บลูส์ คันทรี่ เพื่อชีวิต เสียงคลีนจัหยาบๆนิดหน่อย ปรับมิเดิลไปที่ On (คือ หมุนไปทางด้านระหว่า 12น. ถึง 6 น. ตอนบ่าย อิอิ ) จะให้ซาวแบบธรรมชาติยิ่งขึ้นครับ
Modern Class A - จาก a Matchless Chieftain. ตัวนี้ไม่มีอะไรมากครับ เป็นแอมซาวแบบร๊อค แอนด์ โรว เหมาะสำหรับเพลงจำพวก เอววิสอะนะ
Brit Class A - จาก the Vox AC30 ดนตรีเปลี่ยนไปในยุค 60 แอมตัวนี้ก็เข้ามาคับ โดยมีการควบคุม treble และ bass ได้ดียิ่งขึ้น เสียงเป็นแบบลักษณะโอเวอร์ไดร์ฟ
Brit Blues - จาก the Marshall 1964 โทนคล้ายๆกับเฟนเดอร์เหมือนกัน แอมตัวนี้ ให้ซาวแบบ Bright crunchy ในแบบของ Marchall อะงับ Brit Classic - จาก the infamous Marshall Plexi ให้โทนแบบร๊อค เป็นแอมที่พัฒนาได้ดีมาก ให้ซาวน์ที่ดี ถ้าปรับ Pod ให้ Middle Treble เต็ม แล้วปรับ Bass ประมาณ 9 - 10 นาฬิกา จะให้ซาวแบบร๊อคทุ้มๆหน่อย ซึ่งไม่เลวเลยทีเดียว
Brit Hi Gain - จาก the Marshall JCM 800 โทนเสียงของแอมรุ่นนี้ พัฒนามาจากเมอร์แชลรุ่นก่อนๆเยอะครับ สไตล์แบบโมเดิรนเหมือนเดิม แต่มี Gain (ความแรง , ดุ) และ Edge (ความเฉียบคม)เพิ่มขึ้น สำหรับนักกีต้าร์ร๊อคยุคใหม่อย่างเราๆ เหอๆ ตัวนี้มีปรีแอม แบบหลอดด้วยนะครับ จะทำงานกะ 1990 JCM800's ที่มีเสียง Distoration เฉียบคมมาก แน่นอน สามารถปรับ Drive จาก Pod ได้ จะทำให้เสียงดูมีพลังมากขึ้นครับ
TreadPlate - จาก 1994 Mesa/Boogie Dual Rectifier Tremoverb แอมตัวนี้ มีความหนักแน่น และ gain ค่อนข้างสูง ซาวออกเป็นซาวในวงดนตรี อย่าง ดรีมเทียเตอร์ เมทาลิก้า ที่เรารู้จักกันดี จริงมะ O_o ปรับเสียงไดรฟ์ ได้ครับ เพื่อให้ความดุยิ่งขึ้น หรือจะปรับ Middle เพื่อให้เสียงดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
Modern Hi Gain - จาก the Soldano X88R ฟูลโอเวอร์ไดรฟ์ของจริง ที่ทำการ EQ มาเรียบร้อย (EQ ย่อมาจาก Equarlizer (อีคลอไลเซอร์)คือ เครื่องมือในการปรับระดับของเสียง จะไปเกี่ยวข้องในเรื่องของ ความถี่ของเสียง ด้วย) ซาวเป็นแบบ วง Metal Grunge แต่ก็ใช้กันในศิลปิน เช่น อีริค แคลปตัน ส่วนใหญ่แอมตัวนี้ จะให้ซาวแบบ Joe Satriani , Van Halen มากกว่า เป็นปรีแอมหลอด ดิสทอเรชั่น ที่ค่อนข้างดีทีเดียว
Fuzz Box - จาก the Arbiter Fuzz Face ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทุกวัน ความดุของเสียงก็พัฒนาขึ้นด้วย ในปี 1960 Fuzz Box กำเนิดขึ้น เจ้าตีวนี้เป็นดิสทอเรชั่น ที่นิยมกันมาก ในศิลปินเช่น Jimi Hendrix และ อีกหลายๆคน ที่คิดว่าคงจะคุ้นชื่อกัน สามารถปรับ Bass Middle Treble ได้ครับ ตัวอย่างของซาวจาก Fuzz Box หาฟังได้จากเพลง "Perple Haze" ของ Jimi Hendrix จิมมี่ต่อ Fuzz Bow เข้ากับพาวเวอร์แอมสีส้ม ที่เรียกว่า Orange poweramp แล้วต่อไปที่ตู้ขนาด 4 x 12 ให้ซาวระดับมืออาชีพเลยทีเดียว
Tube Preamp - ปรีแอมป์แบบหลอด ตัดเสียงจี่ออกไปได้อย่างไร้ปัญหา ปรับ Drive ได้คับ ถ้าอยากได้ซาวโหดๆ นอกจากนี้ยังสามารถต่อกับ เครื่อง EQ ในการอัดเสียง เพื่อให้ซาวดีขึ้นได้ด้วยครับ Pod effect
การแกไขแบบลึก สามารถทำได้โดย ต่อ Midi เข้าไปในคอมนะคับ โดยใช้โปรแกรม ที่เรียกกันว่า Line 6 Edit ที่สามารถโหลดได้จาก www.customtone.com หรือ www.line6.com ก็ได้ครับ โปรแกรมนีรันบน วินโดว และ แมคเท่านั้น จะสามารถทำทุกอย่างแทนที่เราจะต้องมานั่งปรับเองครับ
วิธีการต่อ Pod กับ midi
ก็ใช้ต่อ Midi in & Out เข้าไปในคอมพิวเตอร์นะครับ หรือ ใครจะใช้วิธีแบบคุณนัท sukkavadee ก็ได้ อิอิ วิธีนี้ผมได้มาใน msn นะคับ เหอๆ เค้าบอกว่าลองไปซื้อสาย Midi ที่ด้านนึงเป็น Midi อีกด้านเป็น pod รูปร่างจะเป้นรูปแบบที่ผมโพสให้ดูนั่นแหละครับ ราคาประมาณ 800 - 2000 บาท แล้วแต่รุ่น ก็ลองไปหาซื้อได้ สำหรับพวกเครื่องโนตบุคทั้งหลาย
การเปลี่ยนเอฟเฟค
ธรรมดาเลยครับ หมุนปุ่มเอฟเฟคไปที่เอฟเฟคที่ต้องการ แล้วเลือกซาวที่คุณอยากจะใช้ ความดัง ความเร็ว อะไรพวกนี้ ก็ปรับได้ที่ Eff.Tweak นะครับ
*สามารถย้อนกลับไปดู Eff.Tweak ข้างบนได้ ถ้าไม่เข้าใจนะครับ
Effect List Start HerE >>
ReveRB - คือ การสะท้อนของเสียงนั่นเองครับ รีเวริปจะไม่เหมือนดีเลย์นะครับ มันจะเป็นเสียงคล้ายๆกับ เอกโค เหมือนเสียงมันจะควบๆกันอะงับ การปรับก็แค่หมุนปุ่ม Reverb ถ้าจะปรับ โดยกด Tab ค้างไปด้วย ก็จะได้ รีเวริป ดีเคลย์ ทาม คือ.. จะยืดระยะเวลาของการรีเวริปครับ คราวนี้เสียงก็จะออกมาคล้ายๆดีเลแล้วว แต่ก็ยังไม่ใช่อยู่ดีครับ เหอๆ ^^"
Compresser Eff. - ทำให้ซาวดูนุ่ม และ ดังขึ้น จะเป็นตัวที่ทำให้เราเล่น solo ได้เป็นเม็ดๆ ครับ ตัวนี้ถือว่าดีมาก เพราะว่าช่วยในการฝึกไล่สเกล โครมาติกอะไรของเราได้ แล้วถ้าเสียงบอด มันจะชัดมากครับ อิอิ ลองเอาไปฝึกกันดู คอมเฟสเซอร์เอฟเฟคเนี่ย สามารถปรับสัดส่วนของความบีบอัดของเสียง ได้ด้วยงับ โดยการปรับที่ปุ่ม Eff.tweak
0 - 2.5 = No Compression 2.5 - 4 = 1:4:1 4 - 5.5 = 2:1 5.5 - 7 = 3:1 7 - 9 = 6 : 1 9 - 10 = oo: 1
*oo คือ Infinity แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุดครับ (พิมตัวเลขแปดกลับหัวไม่ได้ - -")
Tremolo - การปรับก็ กด tab ค้าง หมุนที่ Eff.tWeak เพื่อเลือกสปีด ทั้งนี้ สปีดของมัน สามารถดูได้ที่ไฟสัญญานที่ช่องปุ่ม Tab (hold) ถ้าทำเสียงนี้เร็วๆหน่อย จะได้ซาวประมาณ Madman
Chorus - มีคลอรัส 2 ชนิดด้วยกัน ใน Pod นี้ 1 - เป็นแบบ Square wave = คลื่นสี่เหลี่ยม (คือไรหว่า - -") ซาวจะเหมือนๆกับ "rockmount effect" 2 - เป็นแบบ Sine wave = ไม่มีคลื่น จะได้ฟีดแบคมากขึ้น
ทั้ง 2 อย่างนี้ สามารถปรับสปีดได้ โดยการกด tab ค้าง และหมุนที่ Eff.Tweak
Flanger - เสียงแฟลงเจอร์ แถวบ้านผมเรียกเสียงผีหลอก - - มี 2 รูปแบบอีกเช่นกาน 1- Light Flange แสงไฟที่แปลกปลาด - -" คงเหมือนในผับอะนะ 555+ แพลงเจอร์ตัวนี้ ไม่มี Pre-Delay 2- Deapth Flange ความลึกที่แปลกประหลาด (ฝรั่งเข้าใจคิด แต่ละชื่อนะ - -" ) สามารถปรับระดับความลึกได้ที่ Eff. Tweak แต่ถ้ากด tab แล้วหมุน Eff. Tweak ก็จะเป็นการ เพิ่มลดความเร็วของเสียงหลอนนั่นเอง
Rotary - แปลว่าหมุนเวียน เอฟเฟคตัวนี้มี 2 ระดับความเร็ว คือ Solw และ Fast ในการทำให้เป็น slow หรือ fast นั้น ก็กด tab หมุนที่ Eff. Tweak ได้เรย
Delay - เป็นเสียงเอคโค สามารถควบคุมระยะเวลาของการดีเลได้ โดยการกด Tab ค้าง แล้วตามด้วย ปุ่ม Eff.Tweak แต่การปรับระยะเวลานั้น ควรจะมีการคำนวนด้วย เอฟเฟคนี้ต้องปรับ Bass Middle ดีๆด้วยนะ จะทำให้ซาวออกมาดียิ่งขึ้น
Noise Gate - pod มี นอยส์เกตเอาไว้ให้อยู่แล้ว เป็นเอฟเฟคที่ใช้กันประจำในเรื่องของการระงับ เสียงรบกวน หรือที่เราเรียกกันว่า เสียงจี่ นั่นเอง
- การผสมเอฟเฟค
การเซตดีเลสปีดของเอฟเฟคเหล่านี้ ทำได้โดย กด Tab ค้าง แล้วหมุนที่ปุ่ม Bass หรือ Middle Delay / Compresser - Tweak ควบคุมการกดอัดของความสัมพันธ์ระหว่า eff. Delay / Tremolo - Tweak จะควบคุมความเร็ว และ ความลึก ของความสั่นไหวของเสียง Delay / Chorus 1 - Tweak ก็เป็นเสียงดีเลกับ คลอรัส ทำให้เสียงเปลี่ยนไป Delay / Chorus 2 - Tweak ก็เป็นเสียงดีเลกับ คลอรัส ทำให้เสียงเปลี่ยนไป Delay / Flanger 1 - Tweak ก็เป็นเสียงดีเลกับ แฟลงเจอร์ ทำให้เสียงเปลี่ยนไป Delay / Flanger 2 - Tweak ก็เป็นเสียงดีเลกับ แฟลชเจอร์ ทำให้เสียงเปลี่ยนไป Delay/Swell - มันคือ การใช้โวล. อัตโนมัต ให้ทำเสียงดูชัดขึ้น ใช้ในการเล่น โนต หรือคอร์ต ควบคุมระดับความดุของเสียงได้ที่ Eff.Tweak
อะ... สรุปครับ สรุปป!!
เอฟเฟค คอรัส ก็คือ เฟคที่ใช้ในการเล่น เกา หรือ ทำให้เสียงมันดูพริ้วๆขึ้น จะเหมือนกีต้าร์โปร่ง ผมก็เคยลองทำนะ ลองใช้วิธีนี้ดูงับ ให้เลื่อนตัวเลือกอัพอัพอะ ไกล้ๆกับปุ่มโวลบนกีต้าร์ของเรา ไปตรงกลางเลยครับ ใส่คลอรัสไป แล้วปรับ Eff.Tweak อีกนิดๆหน่อยๆ ออกมาเป็นโปร่งไฟฟ้า หน้าตาเหมือนกีต้าร์ไฟฟ้าแล้วครับ ฮา !!
amp model กด แทบ เป็นเลเยอร์ 2 effect กดแทบ เป็นเลือกชนิดคาบิเนท - ขนาด drive กดแทบ เป็น บูทเสียงแตก Bass กดแทบ เป็น delay ( บางหัวก็ไม่มี) Mid กดแทบ เป็น มากน้อย ของดีเล treble -- เป้น Presence เปิด หรือปิดแค่นั้น reverb -- แทบ เป็น เพิ่มลดขนาดห้อง effact tweak ปรับพวกความลึกเอฟเฟค -- แทบ จะเป็นปรับสปีด
*เทคนิคปรับเสียงคลีน -เลือกแอมป์ fender twinreverb ปรับตามชอบเลย ใส่ chorus + delay + reverb
*อันดับแรก จูน Pod ให้เหมาะสมกับตู้ที่คุณใช้ก่อนเลย เลือก AIR เป็น Amp ด้วย(ถ้าผมแปลไม่ผิดซะก่อนนะครับ แต่บางทีผมก็ปรับ Direct นะ) วิธีจูน กด Save ค้างไว้ตอนเปิดเครื่อง ทีนี้มันจะให้เลือก A B C D ซึ่งมีความหมายดังนี้ A= เสียบเข้า Return หรือ PWR In ของ ตู้แบบ 4x12 B= เสียบเข้า Return หรือ PWR In ของ ตู้แบบ 1x12 C= เสียบเข้า Input ของตู้แบบ 2x12/1x12 D=เสียบเข้า Input ของตู้แบบ 4x12
หลังจาก เลือก A B C D แล้วก็กด save มันจะเข้าสู่การทำงานปกติ ทีนี้ก็วิธีการจัดการกับหน้าตู้ ผมเขียน2แบบแล้วกันครับ 1.การต่อเข้า Return กับตู้2x12หรือ4x12 ก็ตาม Eq หน้าตู้จะไม่มีผล ปรับเป็น 0 ให้หมดก็ได้ ไม่ต้องยุ่งก็ได้ครับ 2.การต่อเข้า Input ปรับ Eq ให้ปิดทุกอย่าง (Bass,Treb,Presence,Reverb) ยกเว้น Middle ให้เปิดที่ 5 หรือ 10 แล้วแต่กรณีของลักษณะเสียงตู้ กรณีของแบบ2 ควรจะเปิด Output ของ Pod ให้ สุดเลยครับ(เหมือนเวลาต่อเพื่อใช้อัด) แล้วปรับความดังเอาที่ Master Vol ของตู้เอามากน้อย ตามความเหมาะสม เพราะ....เค้าว่ามันจะทำให้ pod ขับเสียงแท้ๆออกมาได้มากที่สุด ผมใช้แบบ2อยู่เพราะควบคุมความดัง-เบาได้ มากขึ้น เวลาต้องการเพิ่มลดส่วนอื่น นิดๆหน่อยๆเล่นปรับที่หน้าตู้เอาพอได้ครับ
เรื่องเสียง คลีนผมใช้ model ไหนจำไม่ได้แต่ผมเปิด effect comp/delay แล้วตั้ง delay time,delay decay ไว้ประมาณเกือบจะปิดน่ะครับ ก็ช่วยความเนียนได้หน่อยนึง
ลองดูแล้วกันครับ อย่าลืมอ่านคู่มือเพิ่มเติมด้วยล่ะ
*ทำ Bypass -กด tuner แล้วหมุน chalnal volume ขึ้น
*การต่อโหลดโดยใช้ MIDI สาย OUT MIDI เข้า IN MIDI ของ POD2.0 ส่วน IN MIDI เข้า OUT MIDI ของ POD2.0 แล้วเปิดsoundDriver โหลดจากเว็ป แล้วมันจะหา PORT เองคับ
การปรับเพื่อให้เข้ากับตู้ที่ใช้ กด SAVE ค้างแล้วเปิดเครื่อง (ให้ดูอักษร A B C D) ใช้ตู้ a สี่ดอก หัดเทิรน b สองดอก return c ต่อแบบ input d defult
เปลี่ยนโปรแกรมโรงงาน
เวลาเราหมุน เลือก หัว หรือ เลือก effect บางทีเราหมุนมาที่ brit hi gain แล้วมันไม่ถูกใจ ให้เราปรับจนถูกใจเลือก cab ปรับเสียงมันสามารถ save ลงที่ pod ได้เลย เวลาเราหมุนมามันก็จะเป็นเสียงที่เราต้องการปรับเสร็จ แล้วกด save + manual พร้อมกัน
a มันจะเป็นภาคแอมป์ b เป็นภาค effect
POD 2.0 ได้มีการจำลองเสียง Amp ยอดนิยมไว้มากมาย เช่น Mesa Boogie รุ่น Dual Rectifier ทั้งเนื้อเสียงและน้ำหนักเหมือนกับเสียงที่คุณได้ยินจากวง Lim Bizkit นั่นล่ะครับ นอกจากนั้นยังมี Budda Twinmaster ( Botique #1 ) และ Dumble Amp ที่ใช้ชื่อว่า Botique #1 และ Botique #2 ซึ่งเป็น Amp ที่ Roben Ford ใช้ในการเล่นสดและอัดในสตูดิโอ คุณยังสามารถเลือกขนาดตู้ได้ถึง 5 แบบ 1x8, 1x12, 2x12, 4x10 และ 4x12 คุณสามารถนำ POD ไปใช้ในการเล่นสดได้โดยคุณต้องมี Foot Switch ของ Line 6 หรือยี่ห้ออื่นที่ทำงานในระบบ midi สำหรับ Foot Switch รุ่นเล็กของ Line 6 ก็คือ FB4 ซึ่งก็ใช้ สำหรับ Program Change อย่างเดียว มี 4 Channel ถ้าต้องการรุ่นใหญ่หน่อยก็ต้อง Floor Board ซึ่งจะ มี Volume และ Wah Pedal มาให้ด้วย วิธีการใช้งานโดยคร่าวๆ เหมือนใช้งาน Effects ทั่วๆไปครับ คือเสียบ guitar เข้า input และจาก Left Output ของ Pod เข้า Amp ( กรณีที่เป็น MONO ) - การ Boot Drive ทำได้โดยกด Tap ค้างไว้และหมุน Drive ให้มากกว่า 12 นาฬิกา หน้าจอจะขึ้นอักษรตัว A เป็นการใช้ Boot Drive และเมื่อต้องการปิด Boot Drive ก็ทำได้โดยกด Tap ค้างไว้และหมุน Drive ให้น้อยกว่า 12 นาฬิกา อักษรตัว A จะหายไปครับ - การ Boot Volume ทำได้โดยกด Tap ค้างไว้และหมุน Chan Vol ให้มากกว่า 12 นาฬิกา หน้าจอจะขึ้นอักษรตัว B เป็นการใช้ Boot Volume และเมื่อต้องการปิด Boot Volume ก็ทำได้โดยกด Tap ค้างไว้และหมุน Chan Vol ให้น้อยกว่า 12 นาฬิกา อักษรตัว B จะหายไปครับ - ในการเลือก Amps ถ้าเป็น 16 Models แรกก็หมุนจาก Amp Models ได้เลย ส่วนอีก 16 Models หลังนั้นสามารถเลือกได้โดยการกด Tap ค้างไว้แล้วหมุน Amp Models ครับ ก็จะเป็นการใช้ Layer ที่สอง ซึ่งจะเป็นการใช้ Amp Models 17-32 - การเลือกตู้ทำได้โดยกด Tap ค้างไว้และหมุน Effect ก็จะเป็นการเลือกตู้ครับ ถ้าต้องการใช้ Effect ก็หมุนได้เลยโดยไม่ต้องกด Tap ค้างไว้ - การ Save ทำได้โดยแต่งเสียงให้ได้ตามต้องการเมื่อพอใจแล้วทำการเลือก Bank ที่จะ Save ลงไปแล้วกด Save 2 ครั้งครับ แต่ถ้าต้องการยกเลิกก็ทำได้โดยกดปุ่มอะไรก็ได้ เช่น Tap, Manual, Tuner จะเป็นการยกเลิกการ Save ทันทีหรือถ้าไม่กด Save ในเวลา 5 วินาที เครื่องจะยกเลิกการ Save โดย Auto ครับ - ถ้าต้องการ Reset เครื่องสามารถทำได้โดยปิดเครื่อง กดลูกศรขึ้นกับลงค้างไว้ แล้วเปิด Power เครื่องก็จะทำการ Reset ค่าทิ้งทั้งหมด ทำให้ได้ค่าเดิมที่ทางโรงงาน Set มาครับ - ส่วนการปรับค่าต่างๆโดยละเอียดต้องทำการปรับจาก Software ครับ โดยการใช้ Program SoundDriver ที่ทาง Line6 ให้ CD มา ต่อสาย MIDI IN จาก Computer เข้าที่ MIDI OUT ของ POD และจาก MIDI OUT จาก Computer เข้าที่ MIDI IN ของ POD เปิด Program ขึ้นมา จาก Menu เลือกคำสั่ง Request จะเป็นการดึง Program จาก POD เข้าสู่หน้าจอ Computer ครับทีนี้ก็ปรับแต่งในแต่ล่ะ Bank ได้ตามสะดวกครับ
วิธีเช็คว่า POD ของคุณเป็น Version อะไร ทำได้โดยการ กดปุ่ม Manual ค้างไว้ แล้วค่อยเปิดเครื่องจากนั้นรออ่านข้อความว่าเป็น Version อะไร (ให้กดปุ่ม Manual ค้างไว้) เมื่อคุณเปิดเครื่องมันจะขึ้นข้อความว่า POD 2.0 จากนั้นรอซักพัก (ยังต้องกดปุ่ม Manual ค้างไว้อยู่) แล้วจะมีตัวเลข Firmware Version ขึ้นมา ถ้าขึ้นมาเป็นเลข 2.1 แปลว่าเครื่องคุณคือ POD Version 2.0 firmware version 2.1 ครับ นอกจากนี้ยังมี 2.2 และ 2.3 (ล่าสุด)
guitar_teck
12 พ.ค. 57
เวลา 16:40:00 IP = 14.207.120.108
สมาชิกแบบพิเศษ
|
|
|