(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)


(เพจ: Guitarthai.com)
  ## Sad but true ##  
 
ครับ สวัสดีครับ ผมชื่อยินดี ไม่มีปัญหา(มีแต่ปัญญา) ฮี่ๆๆ อ๊อด อ๊อด...

น้าอ๊อด อ๊อด..ไปอ่านเจอในเว็บลิงค์ อ่านไปเอามาคิดตามและเทียบกับ

ประสบการณ์และความรู้สึกนึกคิดของตนเองต่อสถานการณ์ตามที่เขาเขียน

ก็ยอมรับว่า "ตรง" ซะนี่กระไร !!!

น่าจะเรียกว่า Sad but true กระมัง???? เหมือนชื่อเพลงของวง Metallica เด้อ ขรั่บ เด้อ

ทัศนคติของคนต่างชาติมองการทำงานของคนไทย....

เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำงานในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี

เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า:

1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง คนไทยมักจะยึดติดกับความเคยชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น

ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม

ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี
- เจฟฟรีย์ บาร์น

2. การโต้แย้ง

เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม

บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า " ขี้เกรงใจ " แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ

3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด

เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่ไม่แพ้ฝรั่งเลย

แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านนายได้รู้ และจะไม่กล้าตั้งคำถาม

บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ

เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร
- ไมเคิล วิดฟิล์ค

4. ความรับผิดชอบ

1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า

ทั้งๆทีงานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนาน

ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร

2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที

เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
- สเตฟานี จอห์นสัน

5. วิธีแก้ไขปัญหา

คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า

หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่งลงมาก่อนแล้วค่อยทำตาม

ถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด
- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก

6. บอกแต่ข่าวดีคนไทยมีความเคยชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ

1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา

2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่า

จะทำงานเสร็จทันเวลาๆไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย
- โจนาธาน ธอมพ์สัน

7. คำว่า " ไม่เป็นไร "

เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน

แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญญหาแทน
- เจนิส อิกนาโรห์

8. ทักษะในการทำงาน

1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกันบางคนขยันแต่บางคนไม่ทำอะไรเลย

บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า

2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด

3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก

แล้ไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม
- เดวิด กิลเบิร์ก

9. ความซื่อสัตย์

พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย

ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์

10. ระบบพวกพ้อง

คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน

พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา

การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก

และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง
- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์

11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว

คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว

พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไป

หมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร

1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน

2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บาน

ปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงาน

3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที

4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ

5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย
- วิลเลี่ยม แมคคินสัน

12. นับถือระบบอาวุโส

คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา

บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก

เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท
- เนลสัน ฟอร์ด

.......................................

12 ข้อพอดี อาจเรียกเล่นๆว่า เป็นนิสัยโหลๆ ของคนไทย ที่เหนี่ยวรั้งความก้าวหน้า และความคิดสร้างสรรค์ในองค์กรก็ได้กระมัง?

ฮือๆๆ อ๊อด อ๊อด...


   สมาชิกแบบพิเศษ   BOON BOON!      3 ก.ค. 56   เวลา 23:34:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 118.172.117.96
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 1  
 
ในวงการที่น้าอ๊อด อ๊อด..ทำงานอยู่ ก็พบสิ่งที่ต่างชาติมองไว้ข้างต้น

เห็นกันดาดดื่น พอจะเข้มงวดตามกติกา ก็ถูกต่อต้าน ใส่ความว่า

ไม่รู้จักทางสายกลาง ไม่ประณีประนอม มรึงเป็นคนไทยหรือเปล่า?

และที่เจออีกจนน่าเบื่อคือ ความที่คนไทยในองค์กร มักมีนิสัยขี้อิจฉาริษยา

จนบ่อยครั้งกีดกันไม่ให้งานดีๆ ถูกปล่อยออกมา เพราะกลัวคนอื่นดีเกินหน้า และตนเองหมดค่าไป

หลายคนก็เต็มไปด้วยปมด้อย จากการไร้ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์

และมักหาทางออกด้วยการทำให้ตนเองสำคัญขึ้นมา ด้วยการประจบสอพลอเจ้านาย

............... โธ่ เว๊ย !!!! ไปตายซะไอ้พวกสอพลอ

มีคนเคยประชดว่า เอา ขรก. ในประเทศนี้ออกครึ่งนึง ระบบราชการ

ก็ยังอยู่ได้ ไม่แตกต่างเลย...

นี่แสดงให้เห็นว่า มีคนที่เป็นกลจักร ทำงานจริงๆในระบบเพียงกึ่งหนึ่ง

หรือน้อยกว่านั้นเชียวหรือ????

แต่น้าอ๊อด อ๊อด..ยอมรับว่าที่เจอมา คือความไร้วินัย ในตัวผู้ทีอาชีพเกี่ยวกับวินัยนั่นเองเด้อ ขรั่บ เด้อ

ไม่แปลกใจจริงๆ ทำไมบ้านเมืองเราถึงไม่เจริญ และถูกมอมเมาง่ายดาย

ทั้งๆที่มีศาสนาที่ดี มีพระเจ้าแผ่นดินที่ใครๆก็อิจฉา

มีสภาพภูมิอากาศที่ดี มีพืชพรรณผลไม้ที่หลากหลาย

เรามีแต่สิ่งแวดล้อมที่ดีทั้งนั้นเลย แต่ทำไมเราไม่ดี มีคุณภาพเหมือนสิ่งแวดล้อม

ที่เป็นประเทศไทย????

วันนี้หนักหัวหน่อยเด้อ ขรั่บ เด้อ

เรื่องนี้มันกวนใจน้าอ๊อด อ๊อด..มานับเดือนแล้วเด้อ ขรั่บ เด้อ

ฮือๆๆ อ๊อด อ๊อด...

คนไทยเท่านั้นแหละ ที่จะทำให้เมืองไทยดีได้

ใช่ไหม??????

   สมาชิกแบบพิเศษ      BOON BOON!      3 ก.ค. 56   เวลา 23:51:00    IP = 118.172.117.96
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 2  
 
ผมมองว่าคนรุ่นเก่าต้องเปลี่ยนความคิด (ยากกกก) คนรุ่นใหม่ต้องปฏิวัติ(ตัวเอง) อันนี้ก็ยาก

คนรุ่นผมหลงไปกับคำว่าอิสระเสรีมากเกินไป อิสระจนไร้สาระเลยครับ ทำตัวเละเทะ

เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เถียงคำไม่ตกฟาก ชอบเรียกร้องก่อนทำตัวเองให้ดี อันนี้ผมบอกจากที่เจอบางส่วนนะครับ

เอาเป็นว่าGen Yกลุ่มใหญ่ๆมักจะเป็นแบบนี้



ส่วนเรื่องแบบของพี่ BOON BOON! ผมพอเจอมาบ้างครับ กับตัวเองเลย

พอดีผมไปฝึกงานหน่วยงานราชการในท้องถิ่นครับ

แล้วมีเื่รื่องว่ามีพี่พนักงานเค้าจะเรียนต่อโทเค้าก็ัจัดการเรื่องไปเรียบร้อย

ต่อมามีคนขอเรียนต่อป.ตรีก็จัดการกันไป พอดีว่ามันมีผลต่อฐานเงินเดือนครับ

ผมไม่รู้รายละเอียดมากแต่คิดว่าพี่น่าจะรู้ดี (ต่อๆ)

คราวนี้พี่ๆรุ่นใหญ่ที่จบ ปวส.มา เค้าก็พึ่งมาเร่งสมัครเรียนป.ตรีตอนใกล้จะปิดรับสมัคร

ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นมีการประชุมแล้วทางปลัดก็สนับสนุน แต่ผลคือ "เงียบ"

ทีนี้งานมันก็หนักไปที่พี่คนนึงที่ต้องคอยเดินเรื่อง พี่คนนั้นเค้าก็มาบ่นให้ผมฟังตามประสา

มันทำให้ผมเห็นว่าคนเรามีโอกาสให้พัฒนาตัวเองแท้ๆกลับไม่คว้ามันไว้ มันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ

และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประเทศเราถึงพัฒนาได้ช้า

   Losehead No.1      4 ก.ค. 56   เวลา 1:15:00    IP = 171.101.82.226
 


  คำตอบที่ 3  
 
คุณ Losehead No.1 ใช่ไหมครับ? ทุกองค์กรในประเทศเรามีเรื่องแบบนี้

จนเหมือนว่า มองไปข้างถนน ต้องพบวัชพืชข้างทางเสมอ

เพราะแบบนี้ไงครับ ถึง ขอสรุปสั้นๆว่า Sad but true เด้อ ขรั่บ เด้อ

ฮือๆๆ อ๊อด อ๊อด...

   สมาชิกแบบพิเศษ      BOON BOON!      4 ก.ค. 56   เวลา 9:25:00    IP = 183.89.128.239
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 4  
 
สวัสดีครับพี่บูรณ์

ส่วนตัวผมมองว่าคนไทยขาดมาตรฐานและยังชอบเอาเปรียบมีให้เห็นเยอะมาก
และหนักที่สุดคือคนไทยสอนให้รู้จักหาแต่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจเอาจิตใจไปผูกกับ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลาย ๆ สิ่ง แต่กลับไม่สอนให้รู้จักสอนให้รู้จักต่อสู้ด้วยตนเอง
ขาดความเข้มแข็งทางจิตใจไม่สอนให้คิดหาทางออก เลยต้องมีพวกพ้องเข้ามา
เพราะคนที่สอนก็ถูกปลูกฝังอย่างนี้มาตลอดเช่นกัน
เรื่องมาตรฐานจากที่ทำงานมาสิบกว่าปีแล้วพวกระดับเจ้านายเล็ก ๆ กระทั่งใหญ่โต
มีเอียง ๆ ให้เห็นเยอะมาก ผมเองไม่อยากลากเรื่องมาตรฐานนี้ไปถึงภาพใหญ่ ๆ
ที่เป็นอยู่เอียงทั้งระบบเพราะยังยึดติดกับคำว่า “คนดี” แล้วคนดีก็ทำอะไรไม่ผิด
“จนโง่” ซวยไป พวกกูคนของกู รอดไป รอดไป รอดไป เป็นใบเบิกทางชั้นดี
ผ้าเปื้อนสีแต่ยังไม่หยิบผ้ามาดูแล้วก็บอกว่าผ้าไม่ได้เปื้อน แต่เป็นผ้าพวกกูผ้าเลย
ไม่เปื้อน อย่างนี้ไม่ได้มาตรฐานทำให้เสียระบบ “ขาดความน่าเชื่อถือในที่สุด”

การเอาเปรียบอันนี้ขอนำเสนอพี่ข้าง ๆ เป็น ญ ได้รับบทบาทให้เป็นหน้าห้อง
มาช้ากลับเร็วไม่ให้เกียรติผู้บังคับบัญชาเรื่องชวนทะเลาะเพื่อนร่วมงานออกรอบ
บ่อยมาก พี่เค้าจะนับถือคนดีมาก ๆ แล้วจะพยายามจะเนียน ๆ ไปกับกลุ่มที่ได้รับ
การการันตีว่าเป็นคนดี ว่าฉันอยู่พวกนี้นะหนังสือพี่เค้าจะไม่ตรวจซึ่งไม่ตรงกับ
หน้าที่ของหน้าห้องคือจะต้องสแกนให้นายทุกอย่างสุดท้ายนายต้องมาเสียเวลานั่ง
อ่านเอง วัน ๆ ไม่ค่อยจะทำอะไรเพราะไม่ค่อยมีเวลาอยู่แล้วเนื่องจากมาช้ากลับเร็ว
พอจับคู่ได้ก็จะนั่งคุยเสียงดังสร้างความรำคราญมาก ๆ ๆ ๆ อยู่เป็นนิจ
เรื่องไม่เป็นเรื่องนี้หาเรื่องคุยได้หมด เวลาทำงานผมจะคอยหาหูฟัง
มาฟังเพลงเสมอคือต้องการสมาธิในการทำงานเพราะต้องร่างหนังสือบ่อย ๆ
เรื่องหูฟังนี้จะเป็นด้วยกับน้องร่วมงานอีกคนจะเหมือนผมเพราะรำคราญ
พอลูกพี่เรียกไม่มีใครได้ยิน จนลูกพี่ต้องบอกว่า “พวกมรึงไปหามาให้กูใช้
อีกซักอันปะไรแล้วพวกมรึงกับกูไม่ต้องมาคุยกันอีก” ลูกพี่ก็มึนเหมือนกัน
เพราะพวกเราทำงานกับหนังสือ เรื่องที่ทุเรศที่สุดคือ พี่เค้าจะเกลียดทักษิณ
มาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ พี่เค้าเกลียดคำว่าโกง.....แต่พี่เค้าจะกินหนังสือพิมพ์
น้ำดื่มสำนักงาน เมื่อก่อนกินน้ำมันต่อเดือนเยอะมาก ๆ ๆ พี่เค้าทำแบบนี้
มานานมาก เพราะผมเบิกเงินและผมเป็นคนทำสถิติเรื่องพวกนี้
ขออภัยครับอันนี้เหมือนระบายไปหน่อยครับและเกี่ยวกับ ญ

เรื่องความยึดเหนี่ยวทางจิตใจ อันนี้ผมเองเพิ่งมาคิดได้ช่วงประมาณ
สองสามปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าผิดหรือถูกแต่รู้สึกว่ามีความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจ
มากขึ้น เมื่อรู้จักวางสิ่งยึดเหนี่ยวที่เคยมีอยู่แล้วหันมาสร้างความเข้มแข็งให้กับ
จิตใจตัวเองรู้จักพึ่งตัวเองไม่ต้องไปพึ่งสิ่งอื่น ๆ อีก โดยเฉพาะความเชื่อที่งมงาย
และสอนกันมาแบบผิด ๆ ไม่มีเหตุผล สุดท้ายจะกลายเป็นพวกที่เชื่อมั่นตัวเองสูง แต่ก็ต้องให้อยู่ในปริมาณที่พอดี แต่ยังมีเรื่องผีอยู่นั่นคือความกลัวก็จะค่อย ๆ
สะกดจิตตัวเองว่าจะไม่กลัวอีกแต่ก็ต้องค่อย ๆ ทำ เพราะมันฝังลึกมาก
แต่ชีวิตผมก็โตมาด้วยสิ่งพวกนี้นะครับ จนตั้งสติได้เมื่อสามสี่ปีที่ผ่านมานี่หละครับ
เริ่มจากรู้จักวางก่อนทีละนิด ๆ จะก้าวข้ามได้หรือไม่ได้อยู่ที่ สติ ปัญญา
ส่วนตัวหละครับ ครั้งหนึ่งผมเคยบอกกับแม่ผมว่าอยากบริจาคร่างกาย
แต่แม่ห้ามเอาไว้เพราะแม่กลัวจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ตามที่แม่เชื่อ
ก็เพราะแม่รักลูกแต่สำหรับผมตายแล้วนำร่างกายไปใช้ประโยชน์
ดีกว่าเอาไปเผาไฟทิ้งเฉย ๆ ไรประโยชน์จริง ๆ

เพิ่มเติมอีกเรื่องครับ เกี่ยวกับอาหารการกินผมเริ่มมีความรู้สึกสงสารสัตว์
ที่อยู่บนจานอาหารเห็นอยู่ประจำคือการยินดีในความตายของสัตว์เหล่านั้น
อร่อยมาก แซบอีหลี๋ แซบคักแท้.... ทั้งแซบทั้งนัวร์ หร้อยจังฮู้... ฯลฯ
แต่กลับลืมย้อนกลับไปดูเบื้องหลังคือการตายอย่างน่าสงสารทั้งนั้น
หรืออย่างหอยแมลงภู่นึ่งจานหนึ่งตายกันทีหลาย ๆ ตัว
นี่คือโศกนาฏกรรมบนจานอาหารอย่างแท้จริง ซึ่งได้สร้างความบันเทิง
ให้กับสัตว์อีกกลุ่มหนึ่ง ในบางครั้งผมไปร้านอาหารทะเล
ผมได้กลิ่นสาบแห่งความตาย “กลิ่นสาบคาวทะเล” จนรู้สึกหดหู่เหมือนกันครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ที่ทำงานนำต้มเครื่องในมาร่วมในวงอาหาร ผมกลับนึกถึง
อนุโลม : เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ปฏิโลม : ตโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
“ไอ้ห่ากูไม่แดกแล้ว” ผมได้แต่ยิ้มและผมก็ไม่กินด้วยแต่นั่งหัวเราะพี่เค้า
ด้วยความมันส์ผมแกล้งพี่เค้า 555 แล้วพี่เค้าก็ว่าผมกลับว่า
“ ไอ้บนจานนี้อ่ะ มึงไปพรากลูกพ่อแม่เค้ามามึงไม่สงสารบ้างเหรอว่ะ ”
แล้วพี่ก็เดินจากไป

อันนี้เป็นแนวความคิดเห็นส่วนตัวนะครับพี่...
คิดผิดบ้างถูกไม่ตรงประเด็นบ้างอ่านผ่าน ๆ ก็พอ ไร้สาระครับ


   สงสัย ?      4 ก.ค. 56   เวลา 11:17:00    IP = 125.24.138.243
 


  คำตอบที่ 5  
 
คุณ สงสัย ? บ่อยครั้งที่ความคิดเห็นใจ ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น

มันก็ทำให้เราเข้าสังคมไม่ได้

สู้เก็บในใจ และทำตัวของเราให้เป็นไปตามมโนสำนึกส่วนตัวดีกว่า

เรื่องแบบนี้ พระพุทธเจ้า ท่านยังสอนไว้ด้วยว่า การเผยแพร่ หรือสอนธรรมมะ

ต้องดูกาละเทศะด้วยเด้อ ขรั่บ เด้อ

ฮี่ๆๆ อ๊อด อ๊อด....

   สมาชิกแบบพิเศษ      BOON BOON!      4 ก.ค. 56   เวลา 13:27:00    IP = 183.89.128.239
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 6  
 
ขอบคุณที่ชี้แนะครับพี่....
มันเกิดขึ้นของมันเองครับพี่
มาแล้วก็ไปเดี๋ยวก็กลับมาอีกเป็นอยู่อย่างนี้



   สงสัย ?      4 ก.ค. 56   เวลา 14:05:00    IP = 125.24.138.243
 


  คำตอบที่ 7  
 
อ่านเฉยๆครับแหะๆคิดถึงเมทัลิก้า

   bbling      4 ก.ค. 56   เวลา 14:46:00    IP = 14.207.102.234
 


  คำตอบที่ 8  
 
คุณ สงสัย ? ว่าๆไป คิดแบบข้อความข้างบน ก็หลุดได้เหมือนกันเด้อ ขรั่บ เด้อ ฮี่ๆๆ อ๊อด อ๊อด...

คุณ bbling แวะมาอ่าน และทักทายก็ดีใจแล้วเด้อ ขรั่บ เด้อ

มันเป็นเรื่องจริงที่ ถ้าไม่แก้ที่ความคิดเราๆคนไทย ใครจะแก้ไขให้?? ฮือๆๆ อ๊อด อ๊อด...

   สมาชิกแบบพิเศษ      BOON BOON!      4 ก.ค. 56   เวลา 15:31:00    IP = 183.89.128.239
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 9  
 
ถ้าเป็นคนไทย ที่ทำงานในสไตล์ แบบพี่ไทย ก็ดูจะเป็นไปตามนั้น (อาจมีมากอยู่ ที่ฝรั่งเจอ)
แต่ถ้าเป็นคนไทย ที่ทำงานในสไตล์ อินเตอร์ ก็ดูจะไม่เป็นไปตามนั้น (อาจมีน้อยอยู่ ที่ฝรั่งเจอ)

ขอมองต่างมุมนะครับ : ไม่แน่ใจว่าคนไทยที่ทำงานในสไตล์แบบพี่ไทย เค๊าอยู่ "ถูกคน/ถูกสถานที่/ถูกงาน" แล้วรึเปล่า ( คือ 1.ตำแหน่ง, 2.หน้าที่, 3.ความรับผิดชอบ, 4.ผลตอบแทนที่ได้, 5.คุณสมบัติที่ต้องการ ) - ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น การเอาตัววัดแบบ ฝรั่งมาวัดเอาดื้อๆเลย โดยไม่มีการปรับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นการใช้เครื่องมือที่ไม่ถูกต้องก็ได้ครับ ซึ่งอาจจะทำให้การสรุปผลหลงแนวทางได้

คือ ถ้าวัดกันเป็น "per dollor" หรือ "ปอนด์ต่อปอนด์" ผมคิดว่าบางทีแล้ว
"คุณสมบัติที่คนไทยให้ / ค่าจ้างคนไทย" อาจจะมากกว่า " คุณสมบัติที่ฝรั่งให้ / ค่าจ้างฝรั่ง " ก็ได้ครับ

หรืออีกนัยหนึ่ง ต.ย. เช่น "ถ้ารายได้เงินเดือนฝรั่ง (total package) เป็น 3 เท่า ของคนไทย แต่ สามารถ deliver value ได้ เป็น 2 เท่า ของคนไทย" ถ้าออกเป็นแนวแบบนี้ ด้านคุณสมบัติของคนไทย อาจจะคุ้มค่ากว่าฝรั่งก็ได้ครับ ( ฝรั่ง = จ่าย 3 ได้ 2, ไทย = จ่าย 3 ได้ 3 )

   Zar  4 ก.ค. 56   เวลา 15:43:00    IP = 203.155.47.20
 


  คำตอบที่ 10  
 
คุณ Zar ยินดีครับที่มาแลกเปลี่ยน

เรื่องการตอบแทน ค่าจ้างหรือวิธีการทำงานมันมีปัจจัยแบบคุณว่ามาแหละ

แต่ถามหน่อยว่า มีองค์กรไหน ที่ไม่มีกฏระเบียบ วินัย และมาตรฐานงาน และการประเมิน

การบริหารองค์กร แบบสมัยใหม่ (โน้มเอียงในแนวฝรั่ง) ที่เราเรียน สอบกันมา

มันเป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับ ว่ามันประเมินด้วยหลักการสมัยใหม่ได้

แต่การบริหารงานแบบเครือญาติ และแบบความเคยชินหรือ Rule of thumb

ก็มีข้อดีระดับหนึ่ง แต่ในโลก ที่ต้องจ้างมืออาชีพมาทำงานให้

มันทำให้เครือญาติ และความเคยชิน มันไม่ตอบสนอง

จนสามารถแข่งขันคนอื่นได้ โดยเฉพาะยุคเทคโนโลยีข้ามโลกแบบทุกวันนี้

แต่โอกาส ทางเทคโนโลยี ก็มีข้อดี เพราะดังที่เราเห็นในทีวี

ที่นักศึกษา หรือใครๆ ก็มีโอกาสเท่ากันในโลกธุรกิจออนไลน์

นั่นคือแนวโน้ม การทำมาหากิน ใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป

แต่ถ้าไร้วินัย ในตนเอง ไม่ว่าโลกจะสมัยใหม่แค่ไหน

ปัญหาก็ย่อมเกิดขึ้น

น้าอ๊อด อ๊อด... ไม่ได้ว่าคนไทยด้อยกว่าฝรั่งเลยเด้อ ขรั่บ เด้อ

แต่อยากเอามุมมองที่อ่านเจอ จากต่างชาติมองคนไทย และผ่านการตรึกตรอง

ว่า เออ.. ใช่ว่ะ เป็นอย่างเขามองจริงๆ ในแวดวงที่คลุกคลีอยู่มาแชร์

ก็ยังแลกเปลี่ยนกันได้เรื่อยๆ เด้อ ขรั่บ เด้อ

ฮี่ๆๆๆ อ๊อด อ๊อด.....

   สมาชิกแบบพิเศษ      BOON BOON!      4 ก.ค. 56   เวลา 16:34:00    IP = 183.89.128.239
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 11  
 
ขอแลกเปลี่ยนประสบการทำงานนิดนึงครับพี่ เป็นมุมมองส่วนตัวทั้ืงสิ้นครับ
การที่ กอ พอ รอ นำระบบตัวชี้วัดมาใช้กับระบบราชการ
เพื่อหวังพัฒนาระบบราชการไทย ส่วนตัวผมยังเห็นความไม่สอดคล้อง
ในการดำเนินการ เช่น พรบ.งป.56 มีผลบังคับใช้ พ.ย.55 กว่าจะลงนาม
ในคำรับรองการปฏิบัติราชการ ระหว่าง กรม กระทรวง เกือบ ๆ สิ้นไตรมาสที่ 2
แล้วช่วงก่อนหน้านั้นทำอะไรกันอยู่ จะเอาแผนเงินนำหน้า หรือจะเอาแผนงานนำหน้า
ส่วนตัวผมมองว่าตัวชี้วัดต่าง ๆ ควรที่จะลงนามได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ
เพื่อเป็นกรอบแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่แปลกใจเลยทุกวันนี้ยังพัฒนาไม่ได้
กอ พอ รอ เองก็น่าจะพิจารณาเรื่องนี้ กอ พอ รอ ประเมินผลงานหน่วยงานอื่น
ผมว่าก็ควรที่จะมีหน่วยงานประเมินผลงาน กอ พอ รอ เช่นกัน หรือชี้แจงว่า
ผลการดำเนินที่ผ่านมาเป็นเช่นไรอย่างไรบ้างมีการพัฒนาจริงหรือไม่
หรือพัฒนาได้ช้ามา ระบบนี้ไม่เหมาะกับคนไทย ก็เลิก ๆ ไปซะ
การนำเอาแนวทางนี้นำมาใช้กับระบบราชการก็เพื่อมุ่งหวังที่จะพัฒนา
และประกอบการพิจารณาให้เปอร์เซนต์ เพื่อที่จะให้ได้รู้งานรู้คน
แต่สุดท้ายมันก็อยู่ที่ปลายปากกาเหมือนเดิม คนทำไม่ได้ คนได้ไม่ทำ
ผมทำมาหลายปีโบนัสไม่เคยเห็น....เลยไม่เคยหวัง
แผนงาน แผนเงิน แผนบริหารบุคคล สุดท้ายอยู่ที่ลมปากคนในสภา
โครงการแต่ละโครงการกว่าจะผ่านกรรมาธิการในสภาได้นี้หิน ๆ ทั้งนั้น
ยิ่งจะกรรมาธิการเคี้ยว ๆ แล้วเหนื่อยแทนคนชี้แจงจริง ๆ ครับ
บางครั้งก็เห็นใจเป็นผู้ใหญ่ระดับกรม กระทรวง มานั่งให้กรรมาธิการถอนหงอกเล่น





   สงสัย ?      4 ก.ค. 56   เวลา 16:42:00    IP = 125.24.114.223
 


  คำตอบที่ 12  
 
- ถ้าเรื่องวินัย ก็อยากให้มีวินัยอยู่เหมือนกันครับ (แต่คงยากอยู่) ถ้าไปด้วยกันกับความมุ่งมั่นก็จะดีมาก

- ส่วนเรื่องโอกาสจากการเปิดกว้างด้านเทคโน-สื่อสาร ก็แอบเป็นห่วงว่า การติดต่อกับชาวโลกด้วยภาษาสากล ยังเสียเปรียบคนอื่นเขาอยู่เยอะ (ส่วนตัวคิดว่า ถ้าภาษาเราได้ ใคร/อะไรคงมองต่างออกไปจากนี้เยอะ เช่น 1.สามารถแชร์ความเห็นเรียนรู้ประสบการณ์จากคนอื่นได้, 2.โต้แย้งได้ แสดงความคิดเห็นได้, 3.กล้าพูดในเรื่องที่ควรพูดได้ ซึ่งอาจรวมถึงการต้องอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจกันด้วย, ...)

- อีกอย่างที่นึกได้ คือคำว่า "ทะเยอ ทะยาน" รู้สึกว่าในสังคมเรามีความหมายไปในทางไม่ดี แต่ในสังคมฝรั่งกลับเป็นสิ่งดีที่ช่วยผลักดันตัวเองไปข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้คนไทยไม่ชอย Show-off แต่ฝรั่งกลับเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำ

   Zar  4 ก.ค. 56   เวลา 19:07:00    IP = 203.155.47.20
 


  คำตอบที่ 13  
 
คุณ สงสัย ? เบื้องหลังแนวคิดทั้งหลาย เป็นการลงทุนที่รัฐบาลใช้จ่ายกับ

นักวิชาการจากสถาบันต่างๆ เพื่อนำมาทำอะไรๆภายใต้คำว่า

"ปฏิรูปการเมือง และระบบราชการไทย" เด้อ ขรั่บ เด้อ

จะพบว่าในรอบทศวรรษ ที่ผ่านมาเราจะได้สิ่งใหม่ๆ

ในชื่อสวยหรู ว่าธรรมาภิบาล . การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

หลักขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือผลประโยชน์เชิงไขว้ .

องค์กรแห่งการเรียนรู้ . K.P.I . Result based management

ประมวลคุณธรรมและจริยธรรมของฝ่ายการเมือง และประจำ

,แบบมาตรฐานการควบคุมภายใน. โทษทางปกครอง, กฏหมายฮั้ว

การประมูลจ้างโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ

ที่เป็นผลพวงในการพยายามวางระเบียบ แนวทางเพื่อป้องกันและแก้ไข

ความไร้วินัย จนคุมตนเองให้เป็นคนปกติๆไม่ได้เด้อ ขรั่บ เด้อ

ที่ผ่านมาบ้านเมืองล่มจม อิ๊บอ๋ายก็เพราะความไร้วินัยทางการเงินการคลังนี่แหละ เฮ้อ..เซ็งว๊อย

คุณ Zar เรื่องภาษาเป็นวัฒนธรรมที่เรียนรู้กันได้ ขอแค่พูดได้ไม่ใบ้แด๊กก็โอเค

แต่ถึงใบ้ คนเราก็คิดภาษามือให้ แม้ตาบอดก็มีอักษรเบลล์ให้อีก

อะไรมันจะไปเกินความพยายามของคนที่จะถ่ายมอดให้คนอื่นเข้าใจล่ะ

น้าอ๊อด อ๊อด..มีเรื่องช้ำใจ ในการสอนภาษาด้วยล่ะ

คือน้าอ๊อด อ๊อด..เป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้กับบุคลากรของรัฐ

โดยสละเวลาส่วนตัว อาสามาสอนให้

แต่เช็ดแม่ง.... ไม่มีคนมาเรียน อ้างงานยุ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า

เลยขอปิดโครงการเพราะมาสอนแล้วไม่มีคนเรียน

ดั่งร้านค้าที่ไม่มีคนเข้า แล้วจะเปิดทำครวยอะไร??

แต่ผลคือ..น้าอ๊อด อ๊อด..โดนด่าว่าแทนที่จะใช้ความสามารถ

ทำงานให้สำเร็จ กลับรายงานความล้มเหลว แถมตัดคะแนนน้าอ๊อด อ๊อด..อีก

เออ.... โตมาจนอายุ ๕๖ ปี เพิ่งรู้ว่า ครูสอนผิด .. นักเรียนที่ไม่มาเรียนไม่ผิด

ไม่ผิดเลยซักนิดนึง เด้อ ขรั่บ เด้อ

ฮือๆๆ อ๊อด อ๊อด...

   สมาชิกแบบพิเศษ      BOON BOON!      4 ก.ค. 56   เวลา 20:17:00    IP = 118.172.111.194
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 14  
 
ขอบคุณครับพี่
ในมุมมองของผมนะครับ เรื่องการพัฒนานี้ไม่ผิดนะครับ
แต่ผมมองว่าคนไทยพร้อมหรือยังกับระบบแนวทางนี้
คนไม่ดีหรือระบบไม่ดี ว่ากันจริง ๆ แล้วระบบต่าง ๆ
ที่บรรจุมาเหมือนเป็นกันป้องกันที่ปลายเหตุเกือบจะทั้งสิ้น ตอนจบคือ ควายหาย
การปลูกฝังในสิ่งที่ดีตั้งแต่วัยเด็กกลับปล่อยป่ะละเลยเด็กที่กำลังจะเติบโต
ในวันข้างหน้าในเมื่อผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างให้ไม่ได้ จะสอนเด็กก็ลำบาก
เคยได้ยินมาว่าเอาไก่มาแลกก็ได้เกรด ในมหาวิทยาลัยยังมีข่าวนาผืนน้อย
อยู่เนือง ๆ นี่เป็นการปลูกฝังในสิ่งผิดทำให้เด็กมีแนวคิดทางลัด
ตั้งแต่เด็กยันโตสุดท้่ายก็มุ่งหาทางลัดอย่างเดียว สอบครูผู้ช่วยยังโกง
ได้ครูไม่มีคุณภาพแล้วเด็กจะมีคุณภาพได้อย่างไร
ในพื้นที่ จชต. การปลูกฝังรากหยั่งลึกลงในหัวสมองของกลุ่มนั้นเค้าทำได้ดี
มีประสิทธิภาพมาก น่าเสียดายที่เอาเรื่องไม่ดีไปฝังหัว ซะงั้นไป

ตามคลิปผมชอบแนวความคิดเค้านะครับแต่บางเรื่องก็สุดโต่งเกินไปอันตราย
ฟังเอามันส์นะครับ


   สงสัย ?      4 ก.ค. 56   เวลา 23:24:00    IP = 125.24.114.223
 


  คำตอบที่ 15  
 
อีกรายการหนึ่ง รายการนี้ผมชอบดูนะครับ วันไหนไม่ทันก็ youtube
ประเทศไทยก็คงจะยุ่งเหยิงอีกต่อไป
ตั้งหน้าตั้งตาทำงานในหน้าที่ ที่ตัวเองรับผิดชอบ
คงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วหละครับ
สุดท้ายแล้วก็ขอขอบคุณพี่บูรณ์นะครับที่ให้คำชี้แนะ
หากมีโอกาสคงจะได้แลกเปลี่ยนเรื่อง AEC นะครับ

   สงสัย ?      4 ก.ค. 56   เวลา 23:29:00    IP = 125.24.114.223
 


  คำตอบที่ 16  
 
แถมอีกคลิปครับ

   สงสัย ?      4 ก.ค. 56   เวลา 23:32:00    IP = 125.24.114.223
 


  คำตอบที่ 17  
 
คุณ สงสัย ? กว่าจะดูคลิปหมด กว่าจะอ่านและคิดตามคุณ

ล่อไปซะเกือบเที่ยงคืน บางทีอาจเป็นเหมือนที่ฝรั่งว่า ในข้อที่ ๑.

ข้างบนก็ได้นะครับ แบบว่ากรูจะเป็นของกรู เอาของกรูแบบนี้

ความเคยชินแบบเดิมๆของคน มันอาจไม่ใช่เป็นเพราะระบบงาน

หรือมีของที่ทำจนชิน และมีของใหม่มาโผล่ให้เทียบกันเท่านั้น

แต่มันหมายถึงค่านิยมเรื่อง เอาตัวกูสบาย สนองต่อความมักง่าย

ซึ่งผมเหมารวมๆพฤติกรรมและวิธีคิดแบบนี้ว่า "ไร้วินัย"

ไปๆมาๆก็ หนีไม่พ้นเรื่อง Disciplines อีกแหละเด้อ ขรั่บ เด้อ

ฮี่ๆๆ อ๊อด อ๊อด...



   สมาชิกแบบพิเศษ      BOON BOON!      4 ก.ค. 56   เวลา 23:41:00    IP = 118.172.111.194
สมาชิกแบบพิเศษ  
 
 

Bigtone.in.th Online Music Store

Yamaha



ตั้งกระทู้ Login ก่อน Click ที่นี่
ผู้ตอบ :
รูปภาพ:  ( ไม่เกิน 150 K )
ข้อความ :
 

any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket