(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)


(เพจ: Guitarthai.com)
  ทำทานมาเยอะแล้ว เป็นปีๆเลยนะ แต่ทำไมไม่เห็นรวย  
 
ทำทานมาเยอะแล้ว เป็นปีๆเลยนะ แต่ทำไมไม่เห็นรวย

ถาม ทำทานมาเยอะแล้ว เป็นปีๆเลยนะ แต่ทำไมไม่เห็นรวยซะทีครับ?
ก่อนอื่นต้องเห็นภาพกว้างที่สุดอย่างนี้ครับ ความรวยที่มั่งคั่งและมั่นคงแต่แรกเกิดมักจะมาจากการมีทานจิตยิ่งใหญ่สม่ำเสมอในอดีตชาติ กล่าวคือถ้าชาติใดมีความคิดเสียสละ มีความคิดอยากให้ทรัพย์แก่คนยาก มีเจตนาทำนุบำรุงสมณะนักบวชให้อยู่ดีมีความสุขในการประพฤติพรหมจรรย์ โดยทำเรื่อยๆตามควรแก่ฐานะ บุญจะสั่งสมเป็นกองภูเขา อีกทั้งจิตใจจะเปิดกว้างไม่ตระหนี่คับแคบ ซึ่งรวมรวบยอดแล้วพอสิ้นสุดภพนั้น กรรมก็จะเลือกสรรแดนเกิดใหม่ให้ โดยมีความสบายรับกับจิตที่ปราศจากโลภะ เมื่อเลือกที่เกิดให้ก็ยังไม่หมดแรงส่ง เพราะทานที่ทำทั้งชาติมีกำลังใหญ่ สายป่านยาว จึงส่งแรงอุดหนุนให้มั่งคั่งสม่ำเสมอเนิ่นนาน โอกาสร่วงหล่นจากบัลลังก์เพชรบัลลังก์พลอยนั้นยากยิ่ง

ส่วนคนที่รวยปานกลาง แล้วต่อมาประกอบธุรกิจจนร่ำรวยยิ่งใหญ่เป็นอภิมหาเศรษฐีนั้น มีเหตุปัจจัยในปัจจุบันเป็นหลักตั้ง และมีบุญจากการให้ทานในอดีตเป็นส่วนเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทานที่เคยทำในอดีตชาติเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่กำลัง ประกอบอยู่ในปัจจุบัน เช่นอดีตเคยทำขนมถวายพระด้วยใจปรารถนาให้พวกท่านลิ้มรสดีๆเป็นประจำ แล้วชาติปัจจุบันมีความชอบใจประกอบธุรกิจทำขนม ก็จะเป็นผู้มีความฉลาดเลือกเครื่องปรุง ฉลาดแต่งรส กับทั้งมีโชคด้านการตลาด ทำมาค้าขึ้น เลื่องชื่อลือชาในฝีมือทำขนมชนิดที่ใครๆก็ต้องแห่มาที่ร้านไม่ขาดสาย แต่ถ้าชาติปัจจุบันเลือกจะเป็นลูกจ้าง บุญที่เคยทำขนมถวายพระก็ต้องเก็บไว้ก่อน เป็นต้น

สำหรับคนที่ยากจนมาแต่เกิด คิดทำงานเป็นลูกจ้างก็ไม่ค่อยได้เลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดิน คิดลาออกมาเป็นเถ้าแก่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดโดยไม่มีกำไรงอกเงยสักที อันนี้อาจจะขาดแรงส่งจากการทำทานในอดีตชาติ และอาจจะขาดความคิดอ่านหรือมุมมองเชิงธุรกิจในชาติปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ว่าอดีตอาจฉ้อฉลคดโกงคนอื่นไว้ หรือลักขโมยคนอื่นไว้มาก ชาตินี้เมื่อคิดมีทรัพย์เป็นของตัวเองจึงอาจถูกหลอก ถูกโกง หรือถูกภัยธรรมชาติย่ำยีเอา นี่พูดอย่างเป็นกลางๆตามเนื้อผ้านะครับ หากโดนใครก็โปรดอย่าเสียอกเสียใจเลย รู้เหตุรู้ผลแล้วก็จะได้ไม่ย่ำซ้ำรอยเดิมอีก

เมื่อมองภาพใหญ่ให้ได้ ๓ ระดับคร่าวๆข้างต้นแล้ว คราวนี้วกกลับมาถึงคำถามว่าทำไมทำทาน (ในชาติปัจจุบัน) มาเป็นปี ไม่เห็นมีผลเป็นความร่ำรวยปรากฏสักที? อันนี้ก็พอจะตอบได้ว่า เพราะเหตุปัจจัยในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ ทั้งแง่ของความฉลาดหาเงิน และทั้งในแง่ของลำดับกาลให้ผลกรรมเกี่ยวกับทาน ขอจงอย่าไปยึดผิดๆว่าทานในปัจจุบันเป็นเหตุผลเดียวโดดๆที่ทำให้ร่ำรวยขึ้น ได้ทันที เพราะทานที่ทำในปัจจุบันชาติมักมาในรูปของกำลังหนุน ไม่ใช่หัวรถจักรฉุดดึงฐานะทางการเงิน

ถ้าอดีตใครเคยตระหนี่มาทั้งชาติ กระแสความตระหนี่นั้นยังท่วมท้น ยังบีบให้อยู่ในภพที่คับแคบ ยังไม่หมดเวลาให้ผล มาชาติปัจจุบันถ้าไม่มีเงื่อนไข ไม่มีแรงส่งให้ถีบตัวหนีการเกาะกุมของวิบากเก่า อย่างนี้แม้พยายามทำทานก็อาจยังไม่เห็นผลเป็นความร่ำรวยเร็วนัก

ถาม ผมเข้าใจถูกไหมว่าการทำทานเป็นเหตุแห่งความร่ำรวย? ถ้าหากเข้าใจผิด หรือยังทำบุญไม่ถูกอย่างไร จะขอคำแนะนำหน่อยได้ไหม?
ขอสรุปง่ายๆคือถามว่าทำบุญอย่างไรจึงจะรวยเร็วทันตาเห็นนะครับ ประทานโทษ นี่พูดตามเนื้อผ้า ไม่ได้ว่ากระทบกัน แต่ผมเห็นคนตั้งคำถามแบบนี้หรือคิดทำนองนี้เมื่อใด ดูแล้วทำบุญด้วยจิตของนักเก็งกำไรทุกที คือคิดในแง่การลงทุนที่ต้องการได้ผลตอบแทน ไม่ใช่ทำทานด้วยจิตคิดสละเอาเลย และ เมื่อไม่ได้ทำทานด้วยจิตคิดสละ ไม่ได้ทำเพราะอยากอนุเคราะห์อย่างแท้จริง ทานนั้นก็มักมีผลน้อย หรือให้ผลช้า เนื่องจากความโลภเป็นของหนัก นอกจากทำจิตให้ทึบ ไม่ปลอดโปร่งเป็นกุศลเต็มที่แล้ว ยังบั่นทอนกำลังบุญ หรือหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เกิดผลเร็วอีกด้วย

ลงทุนทำธุรกิจยังมีความเสี่ยง ยังผิดหวังบ้าง สมหวังบ้าง แล้วลงทุนในรูปแบบของทาน จะให้ได้ดังใจทุกครั้งอย่างไรไหว? กฎแห่งกรรมวิบากเขาไม่ได้ทำงานแบบให้ทานแล้วต้องรวยทันทีเสมอไปครับ เขาดูก่อนว่าคุณคิดให้ด้วยเจตนาอะไร ดูว่าใจคุณ ‘จริง’ แค่ไหน ถ้าตรวจสอบแล้วผ่าน เขาก็ให้ ไม่มีการอั้นไว้ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชังใดๆอย่างแน่นอน
เพื่อให้เปรียบเทียบง่ายว่าทานที่ดีต้องหลีกเลี่ยงอาการท่าไหน ผมจะพาสำรวจการทำงานของจิตขณะให้ทานแบบเก็งกำไรดังนี้

๑) ก่อนให้มีความโลภครอบงำ จิตจึงมืด ไม่สว่าง
๒) ขณะให้อาจมีความรู้สึกดีๆบ้าง จิตจึงอาจสว่าง แต่ก็ยืนอยู่บนฐานของความโลภอยู่ดี
๓) หลังทำจะมีความคาดหวัง รอคอย ชนิดแทบจะชะเง้อออกมานอกหน้าต่างทุก ๕ นาทีว่าเมื่อไหร่ลาภจะชะลอลงมาจากฟากฟ้า
เห็นชัดๆทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำอย่างนี้ ลองหาให้เจอสิครับว่ากุศลจิตขนานแท้อยู่ตรงไหน กฎ แห่งกรรมวิบากที่ชัดเจนข้อหนึ่งคือถ้าก่อกรรมโดยมีโลภะ โทสะ โมหะเจืออยู่ กรรมนั้นจะเป็นอกุศล หรือกระเดียดไปในทางอกุศล หรืออย่างน้อยที่สุดถึงตั้งต้นเป็นกุศลจริงก็จะถูกแย่งพื้นที่ความสว่างไป ด้วยเพราะมีเงาอกุศลทาบทับอยู่ดี

ไม่ใช่ว่า ทำบุญแบบเก็งกำไรแล้วสูญเปล่าหรอกนะครับ ผลบุญยังมีอยู่ดี เพียงแต่จะมาช้า แล้วก็ไม่หนักแน่น ทำนองเดียวกับนักดนตรีที่เล่นไม่เก่ง ใช่ว่าทำให้เสียงดนตรีดังไม่ได้ แต่ดังแล้วไม่เพราะ ไม่ได้จังหวะจะโคน ไม่หนักแน่นเร้าใจเท่านั้นเอง
มาถึงข้อที่ว่าทำ ทานอย่างไรจะเรียกว่าเป็นทานอย่างแท้จริง เป็นบุญที่อำนวยผลใหญ่รวดเร็ว ก่อนอื่นคุณต้องเลื่อมใสว่าทานมีผลทั้งปัจจุบันและอนาคต

ผลปัจจุบันคือมีความสุขที่จะให้ มีความสุขกับการได้ช่วยเหลือ มีความสุขจากการสละขยะหมักหมมพะรุงพะรังออกจากจิต พูดง่ายๆคือได้เสพสุขจากจิตอันทรงภาวะเมตตากรุณานั่นเอง

ผลในอนาคตคือการสะท้อนตอบแบบให้ไปย่อมได้มา คุณช่วยคนอื่น ก็คือการสร้างแรงขึ้นมาแรงหนึ่งส่งออกไป ย่อมมีแรงสะท้อนกลับเป็นการมีมือมนุษย์ช่วยเหลือ หรือมีเหตุการณ์ประจวบเหมาะช่วยเหลือ หรือถือกำเนิดใหม่ในแดนเกิดที่พร้อมช่วยเหลือให้คุณอยู่สบายไม่เดือดร้อน

การมีความเลื่อมใสว่าทานมีผลนั้น แตกต่างจากการโลภว่าทำทานต้องได้ผลตอบแทนคืนมา จิตคุณจะเชื่อมั่นว่ากำลังทำดี สร้างทางน่าอบอุ่นใจให้ตนเองเดินทั้งในปัจจุบันและอนาคต ก่อนทำคุณไม่คาดหวังว่าต้องได้ผลคืนเป็นเงินทองเท่าใด ขณะทำคุณเป็นสุขกับบุญอันวิเศษ หลังทำคุณอิ่มใจที่ประกอบกรรมดีสำเร็จ
เมื่อไหร่ที่คุณให้จนเกิดความรู้สึกราวกับซื้อของให้ตัวเอง นั่นแหละคุณ ‘ทำทาน’ อย่างแท้จริง ฝึกจนถึงจุดจริงๆจะรู้ครับว่ารู้สึกอย่างไร เหมือนดีใจที่ได้ของเอง เพราะเข้าใจล่วงหน้าอย่างลึกซึ้งว่าผู้รับเขาจะเกิดปีติสุขและอิ่มเอมกับการ ใช้ของขนาดไหน แล้วคุณพลอยร่วมยินดีในระดับเดียวกันหรือเกินกว่าเขา

สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และทุกคนเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็คือมีคนจนมากกว่าคนรวย ซึ่งก็สอดคล้องกันดีกับความจริงที่ว่ามีคนอยากเอามากกว่าอยากให้ นี่เป็นกฎธรรมชาติ และธรรมชาติก็แสดงผลให้ดูกระจะตาอยู่ตลอดเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงแต่สิ่งมีชีวิตทั่วไปไม่อาจจับเหตุมาชนผลได้ถูก ต้องอาศัยผู้รู้เช่นพระพุทธเจ้ามาประกาศ ท่านทั้งยืนยันและตรัสในลักษณะคะยั้นคะยอให้ทำบุญอย่างถูกต้อง ทำบุญให้มากเถิด ผลคือความสุขความสวัสดีย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน

จะว่าไปถ้าคิดตามสามัญสำนึกของคนทั่วไปที่ถูกครอบงำด้วยความไม่รู้และ อุปาทาน ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจเหมือนกันนะครับ เพราะหลักการเบื้องต้นฟังขัดแย้งกันชอบกล อยากมีมาก แต่หากให้คนอื่นไปแล้วมันจะมีมากได้อย่างไร ก็ต้องมีน้อยลงน่ะซี เห็นด้วยตาเปล่าชัดๆ

นี่แหละ เรามัวแต่เชื่อตาเปล่าจนลืมชำเลืองกลับมาที่ใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนยิ่งคิดให้มากเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งเบาลงจากความโลภและความตระหนี่เท่านั้น เป็นกุศลสว่างยิ่งๆขึ้นเท่านั้น

ขอให้สังเกตเถิดครับ นักให้ทานมือใหม่ โดยเฉพาะที่ให้แบบนักลงทุนเก็งกำไรนั้น จะให้แบบเกร็งๆ ยั้งๆ เหนียวๆ ไม่ค่อยให้เต็มที่หรอก สมมุติว่าในมือมีอยู่ร้อย ก็จะเจียดให้เพียงหนึ่ง หรือไม่ใจป้ำที่สุดก็สิบ แต่เวลาหวังผลจะให้คูณแสนคูณล้าน กลายเป็นเสริมความงกไปเสียนี่ พูดง่ายๆ ยิ่งจนก็ยิ่งหลงประกอบเหตุแห่งความยากจนหนักเข้าไปใหญ่

คำแนะนำที่ดีที่สุด คือประกอบสัมมาอาชีพ ขยันขันแข็งให้เต็มกำลัง และอย่าหวังรวยทางลัด การมีอาชีพซื่อสัตย์สุจริตและความขยันขันแข็งนั้น ไม่ใช่อำนวยผลเฉพาะหน้าที่การงานนะครับ แต่ยังเหมือนเป็นฐานรองรับความกินดีอยู่ดีที่สมตัวในระยะยาวด้วย

เมื่อประกอบอาชีพสุจริต มีรายได้มา ก็ลองฝึกที่จะเผื่อแผ่ เจือจาน ได้น้อยก็ทำน้อย แต่ขอให้มีใจใหญ่เป็นหลักก็แล้วกัน คุณจะพบด้วยตนเองว่าการให้ในแต่ละครั้งนั้น มีปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับใจตน คือเบาลงเรื่อยๆ ยินดีมากขึ้นเรื่อยๆ เลื่อมใสในการให้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตรงนั้นต่อให้ไม่มีผลตอบแทนเป็นรูปธรรมใดๆ ใจคุณก็ไม่รอแล้ว เพราะอิ่มสุขอิ่มปีติอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว

ตรงจุดนั้นแหละครับ ความช่วยเหลือจากธรรมชาติจะเริ่มไหลมาเทมา คุณไม่อยากได้ก็ต้องได้ คุณไม่อยากรวยก็ต้องรวย เพื่อเอาไว้เป็นทุนทำทาน เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวต่อไปไงครับ

ที่มา http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare031.htm

http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%86%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B0-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2-271901.html


rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 3:23:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 1  
 
ปัจจุบันนี้แหละดีที่สุด

การที่เราจะสิ่งอะไรบางอย่างนั้นทำให้สิ่งที่เราหามาได้นั้นไม่ด้เสมอไปดัง นั้น ควรทำให้อยู่ในปัจจุบัน สร้างบารมี ทำบุญ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็พอแล้ว ยิ่งหายิ่งไม่เจอ เพราะฉะนั้นควรทำให้ปัจจุบันของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้ว สวดมนต์ นั่งสมาธิให้เป็นนิจ แล้วสิ่งดีๆต่างๆก็จะเข้ามาหาเราเองน่ะครับ

http://board.palungjit.com/f4/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94-271876.html

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 3:29:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 2  
 
รวบรวมคติธรรมดีๆมาให้อ่านกัน...


http://board.palungjit.com/f10/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B9%86-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-178960-40.html

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 3:30:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 3  
 
โคลงกลอน-สอนใจ

เมื่อยามรักน้ำผักก็ว่าหวาน ครั้นเนิ่นนานน้ำอ้อนก็กร่อยขม
เหมือนคำพาลหวานนักมักเป็นลม แต่เขาชมกันว่าดีนี่กระไร
บรเพ็ดนั้นเป็นยารักษาโรค แต่ความโลภเขาว่าขมหาชมไม่
เหมือนคนซื่อพูดจาประสาใจ ไม่มีใครชมปากมิอยากยินฯ.

"นิราศทวาราวดี"

http://www.baanjomyut.com/10000sword/thaipoem/khon/page5.html


   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 3:31:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 4  
 
วันประวัติศาสตร์ 27 ตุลา 51

เช้าวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ.2551 ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม ได้มีการเคลื่อนย้ายหลวงพ่อทองคำ (พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร) พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากพระวิหารหลังเดิม ขึ้นสู่พระมหามณฑปหลังใหม่...

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 3:33:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 5  
 
LISTENNNNNNNNNNNNNNNN


ทุกข์ไม่ต้องบ่นอดทนเอา


http://audio.palungjit.com/f81/%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B2-5548.html

อนุโมทนาครับ

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 4:32:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 6  
 
ภาพถ่ายหอระฆัง กลองเพล ที่ทางวัดกำลังดำเนินการจัดสร้าง สาธุ ๆ ๆ

ด่วน..ร่วมสร้างอานิสงค์ผลบุญจัดซื้อ"กลองเพลใหญ่"ถวายวัด ขาดอีก ๖,๐๕๐ บาท สาธุ ๆ ๆ

ด้วยสำนักสงฆ์ฉลองราชศรัทธาราม ตั้งอยู่เลขที่ ๕๘๔ หมู่ที่ ๕ ตำบลสบป้าด อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง รหัสไปรษณีย์ ๕๒๒๒๐ โทรศัพท์ ๐๘-๕๐๓๗-๐๓๗๐ (วัดก่อสร้างใหม่ได้ประมาณ ๑ ปี) ได้ดำเนินการก่อสร้างหอระฆัง กลองเพล ขึ้นมาหลังหนึ่ง เพื่อใช้เป็นหอสำหรับตีระฆัง และกลองเพล ประจำวัด ความละเอียดทราบตามภาพถ่ายที่ลงมาพร้อมนี้

ดังนั้น อาตมภาพพร้อมด้วยคณะกรรมการ คณะศรัทธาสำนักสงฆ์ฉลองราชศรัทธาราม จึงขออนุญาตประชาสัมพันธ์บอกบุญมายังคณะศรัทธาผู้ใจบุญทั้งหลาย ได้ร่วมทำบุญร่วมเป็นเจ้าภาพจัดซื้อ "กองเพลใหญ่" ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้

๑. กลองเพลขนาดใหญ่ ขนาดหน้ากว้าง ๑ เมตร ราคา ๑๕,๐๐๐ บาท (มีภาพถ่ายประกอบ)

ตามกำลังศรัทธาของท่านทั้งหลาย หรือตามแต่ท่านทั้งหลายจะพิจารณาเห็นสมควร และเมื่อมีเจ้าภาพครบสามารถสั่งซื้อ"กลองเพลใหญ่"ได้แล้ว ทางวัดจะลงบิลการจัดซื้อและภาพถ่ายรายงานให้ท่านทั้งหลายได้ทราบและร่วมโมทนาสาธุอย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอานิสงค์ผลบุญร่วมเป็นเจ้าภาพจัดซื้อ "กลองเพลใหญ่"ใน ครั้งนี้ จงส่งผลดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายประสบพบแต่ความสุขความเจริญมีชื่อเสียงโด่ง ดังกึกก้อง ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยกันทุกคนทุกท่านเทอญ.

จึงเจริญพรมาเพื่อโปรดพิจารณาร่วมบุญ ตามกำลังศรัทธา

ขอเจริญพร
พระครูปลัดอัครพล กนฺตธมฺโม
เจ้าสำนักสงฆ์ฉลองราชศรัทธาราม

โทรศัพท์ ๐๘-๕๐๓๗-๐๓๗๐ อีเมล์ maemoh1@hotmail.com

ร่วมโอนปัจจัยทำบุญเป็นเจ้าภาพจัดซื้อ"กลองเพลใหญ่" ได้ที่
ธนาคารกรุงไทย สาขาแม่เมาะ
ชื่อบัญชี
สำนักสงฆ์ฉลองราชศรัทธาราม
เลขที่บัญชี
๕๐๐-๐-๑๗๐๓๔-๒
__________________
ขอตั้งสัจจะอธิฐาน ขอทำงานแบบปิดทองหลังพระ อย่างนี้ตลอดไป สาธุ ๆ ๆ

http://board.palungjit.com/f105/%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81-%E0%B9%96-%E0%B9%90%E0%B9%95%E0%B9%90-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B8-%E0%B9%86-%E0%B9%86-271998.html



   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 4:56:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 7  
 
หลวงพ่อพระราชพรหมยานสอนกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน : นวสีวถิกาบรรพ
กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน : นวสีวถิกาบรรพ


นวสีวถิกาบรรพ

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ที่ขึ้นพอง มีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิก กินอยู่บ้าง หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่าก็มี อย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่ เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเส้นเอ็น ผูกรัดอยู่ เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็น ผูกรัดอยู่ เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว เรี่ยรายไปใน ทิศใหญ่ทิศน้อย คือ กระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกสะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสันหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสีข้างไปทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกไปทางหนึ่ง กระดูกไหล่ไปทางหนึ่ง กระดูกแขนไปทางหนึ่ง กระดูกคอไปทางหนึ่ง กระดูกคางไปทางหนึ่ง กระดูกฟันไปทางหนึ่ง กระโหลกศีรษะไปทางหนึ่ง เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูกมีสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์ เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูกกองเรียงรายอยู่แล้วเกินปีหนึ่งขึ้นไป เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูกผุเป็นจุณแล้ว เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้

ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็น กายในกายอยู่ ฯ

จบนวสีวถิกาบรรพ ๛
ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/maha416.htm


http://board.palungjit.com/f23/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E-107517.html

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 5:04:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 8  
 
การเจริญพระกรรมฐานในวันเดียว มีผล
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดท่าซุง อุทัยธานี

การเจริญพระกรรมฐานในวันเดียว มีผล


"จงคิดว่าร่างกายของคนทุกคนก็ดี สัตว์ก็ดี เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่มีอะไรเป็นของสะอาด ไม่มีอะไรที่น่ารัก จงตัดสินใจว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆอย่างนี้ ที่เรามีทุกข์อยู่ทุกวัน เพราะร่างกายอย่างเดียว ถ้าเราไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว คำว่าทุกข์สักนิดหนึ่งก็ไม่มี นั่นคือ เราไปนิพพาน"

ทุกคนจงพิจารณาไว้เสมอว่า "ร่างกายชาติปิทุกขัง เกิดมาเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะการทำมาหากิน ทุกข์เพราะการเหน็ดเหนื่อย ทุกข์เพราะการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากอารมณ์ที่ไม่สมหวัง ทุกข์จากการทรุดโทรมของร่างกาย ทุกข์จากความตายที่จะเข้ามาถึงทุกวัน มันเต็มไปด้วยความทุกข์"

เห็นทุกข์ตัวเดียวก็ไปนิพพาน

"ในเมื่อมันทุกข์อย่างนี้ มันเลวอย่างนี้ เราก็จำเอาไว้ มีชาตินี้เพียงชาติสุดท้าย ที่จะมีร่างกายอย่างนี้ ชาตินี้ถึงแม้มี เราก็ไม่พอใจในมัน แต่อย่าไปฆ่ามันนะ เราก็ตัดสินใจในมันอีกว่า เมื่อขณะที่มันทรงตัว เราจะทำจิตให้บริสุทธิ์ ต้องอาศัยมันเป็นนายจ้าง"

สรุปว่า ตายเมื่อไรไปนิพพานทันที ก็ต้องทำกรรมฐาน รักษาอารมณ์ใจนี้ให้จริง คือ
นึกถึงความตายให้ทรงตัว
เคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ให้มั่นคง
มีศีลให้บริสุทธิ์
มีจิตรักพระนิพพาน
ถ้าทุกคนมีอารมณ์อย่างนี้ การเจริญพระกรรมฐานในวันเดียวมีผล

ที่มา: คำสอนหลวงพ่อเล่ม ๒ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ


http://board.palungjit.com/f23/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%A5-170325.html

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 5:37:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 9  
 
ไม่ได้มาอ่านนานเลยครับ

ปกติผมทำบุญอยู่ที่เวปพลังจิตนี่แหละครับ

เดี๋ยวผมช่วยกลองเพลด้วยอีกแรงครับ .. สาธุ ^^

   Balance Out      19 ธ.ค. 53   เวลา 8:27:00    IP = 223.206.62.104
 


  คำตอบที่ 10  
 
ดีเลยครับคุณ Balance Out ตอนนี้ในเวปพลังจิตกําลังพูดถึงเรื่องต่างๆของเวปพลังจิตครับ ลอง click เข้ามาตอนนี้สิครับ หน้าไหนก็ได้ จะมีเสียงขึ้นมาครับ รีบเข้ามาฟังก่อนที่จะหายไปครับ อนุโมทนาครับ

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 8:50:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 11  
 
ผมฟังอยู่ เขากําลังสัมมนากันอยู่ครับคุณ Balance Out click เข้ามาฟังได้เลยครับเรื่องภัยพิบัติครับ ใครสนใจก็เข้ามาฟังได้เลยนะครับ เข้ามาในเวปเเล้วจะดังขึ้นมาเองเลยครับ อนุโมทนาครับ

www.palungjit.com

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 8:54:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 12  
 
เข้ามาอ่านครับ อิอิ

   shedevill      19 ธ.ค. 53   เวลา 10:48:00    IP = 124.122.4.168
 


  คำตอบที่ 13  
 
ขอสงสัยนิดนึงนะครับ
ทำทาน แล้วจะรวยเหรอครับ
ทำทานมาก ยิ่งรวยมากเหรอครับ


   loveforward      19 ธ.ค. 53   เวลา 10:54:00    IP = 118.172.240.41
 


  คำตอบที่ 14  
 
ถึงคุณ loveforward มันขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างครับ ขึ้นอยู่กับศรัทธาของเราด้วยครับ อยากให้คุณ loveforward ลองอ่านกระทู้นี้เเล้วพิจารณาดีๆครับ ผู้ที่ถ่ายทอดออกมา เขาบอกไว้หมดเเล้วครับ จริงๆ การทําบุญทําเพื่อให้เราละกิเลส เป็นผู้ให้ครับ เเต่ให้เเล้วยังไงจะได้กลับมามากกว่าเดิมอีกเเล้วครับเพียงเเต่อย่าไปยึดติดครับ การให้ ยังไงย่อมดีกว่าการเป็นผู้รับฝ่ายเดียวครับ อนุโมทนาครับ

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 11:01:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 15  
 
ขอยกตัวอย่างให้คุณ loveforward ดูง่ายๆเเบบชัดเจนเเล้วกันครับ คุณ loveforward เคยสังเกตไหม เมื่อใดก็ตามที่เราให้ของกับผู้อื่นบ่อยๆ คนอื่นจะชอบเรา เเล้วถ้ามีโอกาส เขาจะให้เราตอบเเทน หรือถ้ามีอะไรดีๆ เขาจะนํามาเเบ่งปันเราเเบบเราไม่ต้องร้องขอ ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่เคยให้ใครเลย มีเเต่จ้องจะรับฝ่ายเดียวจนถึงขั้นงกหรือตระหนึ่ คนรอบข้างเราจะค่อยๆหายจากเราไปเรื่อยๆ เเละจะไม่มีใครอยากคบกับเราอีก อันนี้ครับ สัจธรรมที่เห็นได้อย่างชัดเจนครับ อนุโมทนาครับ

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 11:10:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 16  
 
ด้วยเหตุที่มนุษย์ทำทาน เพื่อรู้จักละวาง และแบ่งปันเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง
ถ้าทำทานหวังรวยก็ไม่พ้นการขวนขวายหาอะไรมาแบกบนบ่าเพิ่ม
เท่ากับทำเพื่อวัตถุธรรม ไม่ใช่ทำเพื่อนามธรรม

   อภิชาต      19 ธ.ค. 53   เวลา 11:21:00    IP = 202.28.33.253
 


  คำตอบที่ 17  
 
หากคุณ loveforward สนใจในเรื่องบุญเเละบาป เข้ามาอ่านหน้านี้ได้ครับ ใช้ internet explorer เข้าไปนะครับถึงจะอ่านได้ เข้าไปเเล้วมองซ้ายมือ อ่านบทที่ 7 ได้เลยครับ เวปนี้สอนทุกอย่างเกียวกับปริยัติธรรม เเก่นหลักของพระพุทธศาสนาเเล้วครับ

http://www.buddhism-online.org/Index1.htm

เเละที่คุณ อภิชาต พูดออกมาก็ถูกต้องหมดเเล้วครับ อนุโมทนาครับ

   rockonyou      19 ธ.ค. 53   เวลา 11:27:00    IP = 24.90.219.121
 


  คำตอบที่ 18  
 
ทำบุญทำทานอย่าไปหวังรวยครับ เราทำไปแล้วได้ความสุขกายสบายใจ นั่นแหละครับ เรารวยความสุขแล้ว ....^_^

   หรั่งนครสวรรค์      19 ธ.ค. 53   เวลา 11:40:00    IP = 223.206.165.171
 


  คำตอบที่ 19  
 
ผมเปลี่ยนแนวการทำบุญไปพอสมควร
มาทำบุญให้คนเป็น และ สิ่งที่เป็นรูปธรรมอันจับต้องได้ที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้


   สมาชิกแบบพิเศษ      Ax7      19 ธ.ค. 53   เวลา 14:14:00    IP = 58.9.180.123
สมาชิกแบบพิเศษ  
 


  คำตอบที่ 20  
 
อ่านอันนี้ต่อได้ครับคุณ loveforward อนุโมทนาครับ

ขอแยกแยะ บุญที่ทำให้รวย เป็นข้อๆ ดังนี้ (ดังตฤณ)

ส่วนกรรมหลักๆ ที่ทำให้ ‘ร่ำรวยมาก’ ได้แก่

๑) ความมีนิสัยใจคอเผื่อแผ่ คือ เอาแต่คิดให้ ผูกใจอยู่กับการให้ เคยชินกับการเป็นผู้ให้ ขนาดไม่มีให้ก็ขวนขวายกระวนกระวายอยากหามาช่วยเหลือคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ตลอดชีวิตมีแต่ใจอยากเจือจาน กลัวแต่ว่าคนอื่นจะมีไม่พอ กระทั่งลืมๆว่าตัวเองจะมีพอไหม ผลแห่งการใจดีเกินธรรมดา คือการเป็นผู้มีทรัพย์มากเกินกว่าชาวโลกทั่วไปเขา

๒) การละอายต่อบาปอย่างยิ่งยวด คือขนาดยอมอดตายดีกว่าคิดคดโกง ผู้ไม่คิดเพ่งเล็งเอาทรัพย์ผู้อื่นโดยมิชอบ ย่อมรับผลเป็นความสวัสดีแห่งทรัพย์ แม้ความตระหนี่ในอดีตอาจก่อให้เกิดทรัพย์เพียงน้อย ทว่าทรัพย์นั้นก็จะอยู่ทน ไม่วิบัติไปด้วยภัยธรรมชาติหรือภัยจากมือโจร

นอก จากนี้ ยังมีกรรมปลีกย่อยที่ทำให้ร่ำรวยได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ชี้ช่องคนอื่นรู้จักทำมาหากิน ช่วยให้เขาเป็นผู้ฉลาดในธุรกิจ กับทั้งมีใจใหญ่คิดเผื่อแผ่กลยุทธ์ให้กับคนทั้งประเทศ หรือทั้งโลก หากการเผื่อแผ่ของเขาเป็นไปโดยบริสุทธิ์และปรารถนาให้คนทั้งแผ่นดินอยู่ดี กินดี มีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น บุญที่ทำนี้ก็มีสิทธิ์นำให้ไปเกิดในถิ่นฐานอุดมสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยแม้เกิดในถิ่นฐานแห้งแล้งด้วยบาปบางประการ เขาก็จะมีกินมีใช้เหนือกว่าคนที่อยู่แวดล้อมทั้งหมดตั้งแต่เกิด กับทั้งฉลาดในการหา ฉลาดในการเก็บ และฉลาดในการใช้เป็นอย่างยิ่ง


ปล. ยังไม่จบนะครับ ผมโพสเเล้ว ทางเวปบอกว่ามีคําไม่สุภาพอยู่ ผมไม่รุ้ว่าคําไหน ใครที่อยากอ่านต่อให้จบ เชิญอ่านต่อได้ใน link ข้างล่างเเล้วกันครับ อนุโมทนาครับ

Credit : ดังตฤน

ที่มา..[url=http://club.hunsa.com/tumbun/story_detail/1/12/4767]

http://board.palungjit.com/f8/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B8%B0-%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%86-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%A4%E0%B8%93-270980.html

   rockonyou      20 ธ.ค. 53   เวลา 2:48:00    IP = 24.90.219.121
 
 

Bigtone.in.th Online Music Store

Yamaha



ตั้งกระทู้ Login ก่อน Click ที่นี่
ผู้ตอบ :
รูปภาพ:  ( ไม่เกิน 150 K )
ข้อความ :
 

any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket