ได้รับความเอื้อเฟื้อแผ่น
CD จาก Universal Music, Warner Music, EMI, Sony BMG, Platinum, United Home Entertainment,Virtuoso, Smallroom, S.stack กีตาร์ไทยขอขอบพระคุณอย่างสูง
Artist : Witchery Album : Don’t Fear The Reaper Style : Black Metal Label : Platinum
อีกหนึ่งผลงานหนักๆจากสวีเดนกับวงดนตรี 5 ชีวิตที่ยังคงความสุดๆในแนวทางของตน ริฟกีต้าร์ที่พยายามกดโสตประสาตด้วยเสียงที่จูนให้ต่ำพร้อมเสียงร้องที่ร้องในลำคอราวกับท่องบทสวดให้ซาตาน Plague Rider และ Dame In Hell คือ Metallica สไตล์ ริฟที่หนักแน่นพร้อมกลองที่หวดสองกระเดื่องยกเว้นร้องที่ยังคงไว้ในแบบของวง The Wait Of The Pyramids เพลงบรรเลงในจังหวะกลาง กีต้าร์โชว์โซโล่เต็มที่ ต่อเข้าเพลงImmortal Death เป็นเดธเมตัลที่อัดไม่ยั้ง Cannon Fodder สปีดเมตัลปิดท้ายอัลบั้ม สับกันกระจาย กีต้าร์ในเพลงนี้โชว์ของเต็มตัว ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างจะชัดเจนในความเจ๋งของวงคือซาวด์และสไตล์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเดธเมตัลหรือแทรชรวมไปถึงสปีดเมตัล งานไม่ต้องคิดให้ซับซ้อนแต่ฟังแล้วใช่ Witchery เป็นวงที่น่าจะทำให้คนที่อยากฟังสไตล์เหล่านี้หลงใหลได้อย่างไม่ยากเย็น
Artist : Bal Sagoth Album : The Chthonic Chronicles Style : Black Metal Label : Platinum
วงแบล็คเมตัลจากเมืองผู้ดีประเทศอังกฤษอันเป็นอีกหนึ่งถิ่นกำเนิดแห่งดนตรีสไตล์นี้ แม้ Bal Sagoth จะเป็นวงสไตล์ แบล็คเมตัลแต่เขาก็ทำให้ตัวเองแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ด้วยการนำสไตล์เมโลดิกเข้ามาเสริมเพื่อความสวยงามมากขึ้นแต่ยังมีความกร้าวในตัว ความเปืนคลาสสิกช่วยให้เพลงไหลลื่นอย่างสวนงามขณะเดียวกันความหนักแน่นในแบบแบล็คเมตัลก็กระชากความมันส์
แม้ว่าสมาชิกวงจะมีการสลับสับเปลี่ยนอยู่เป็นเสมอ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะบั่นทอนสไตล์เพลงและคุณภาพให้ลดลงเลแม้แต่น้อย กลับยิ่งทำให้พวกเขาต้องทำงานให้ดียิ่งขึ้น การที่ย้ายมาอยู่กับสังกัดอย่าง Nuclear Blast เป็นเครื่องการันตีถึงผลงานได้เป็นอย่างดี งานเพลงชุดนี้จะเป็นการย้อนพาคนฟังกลับไปสู่โลกแห่งอารยธรรมโบราณและเรื่องลึกลับต่างๆในอดีต โดยผ่านท่วงทำนองคลาสสิกในแบบฉบับของยุโรป ทั้ง 12 เพลงเปรียบเสมือนเรื่องราวที่ร้อยเรียงกันมาเป็นอย่างดี และเพื่อเข้าใจตัวเพลงให้มากขึ้นพวกเขามีแผ่นที่ของ โลกโบราณ (The Ancient World) มาให้ดูกัน และแม้ว่า The Candle Of Filth จะเป็นวงที่สร้างหน้าตาให้กับแบล็คเมตัลจากอังกฤษแต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า Bal Sagoth จะน้อยหน้าและด้อยกว่าแต่ประการใด ยังเหมือนเป็นการเปิดฐานแฟนเพลงแนวเมโลดิกแบล็คเมตัลให้กับวงการอีกด้วย
Artist : George Benson Album : The Essential Style : Jazz Label : Sony BMG
มือกีต้าร์อีกหนึ่งท่านที่มักจะโดนลืมในเรื่องของฝีไม้ลายมือและทักษะในการอิมโพรไวส์ในแบบแจ็สโอลสคูล ด้วยสาเหตุเพียงแค่ว่าต้องทำงานตามใจต้นสังกัด ทำให้งานยุคหลังๆที่ออกมาจึงกลายเป็นงานแบบป็อปแจ็สหรือเป็นพวกคอนเท็มโพรารี่แจ็สซะเยอะ ทั้งที่แนวทางและการเล่นในความเป็นจริงของเขาเป็นพวกสเตรดอเฮดแจ็สอย่างสุดๆ แต่เพื่อปากท้องต้องยอมทำตามสังกัด งานในอัลบั้มชุดนี้ค่อนข้างจะเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งนั้นก็เพราะอย่างแรกเป็นงานรวมฮิตที่มีเพลงถึง 21 เพลงในซีดีสองแผ่น อย่างที่สองเป็นงานรวมเพลงที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคแรกเริ่มที่เขาเล่นเพลงแสตนด์ดาร์ดกับเหล่าตำนานคนแจ็สทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับ Miles Davis , Jack McDuff ,Wayne Shorter ,Ron Carter เป็นต้น
ตัวงานถูกแบ่งภาคไว้อย่างชัดเจนในซีดีแผ่นหนึ่งจะเป็นงานเพลงของ George ในยุคแสตนด์ดาร์ดที่มีเพลง Willow Weep For Me , A Foggy Day , Sugar , So What เป็นต้น ส่วนในแผ่นสองจะเริ่มเป็นงานยุคคอนเท็มโพรารี่แจ็สร่วมไปถึงเพลงสไตล์บร็อดเวย์หรืองานที่ติดความเป็นฟิวชั่น เช่น Summertime , Breezin , On Broadway , This Masquerade , Take Five เป็นต้น เพียงแค่เพลงในซีดีแผ่นแรกก็เรียกว่าเกินคุ้มสำหรับคอแจ็สแล้วครับ หากอยากลองฟังสำเนียงแบบบ็อบมันส์ๆของ George น่าจะลองฟังชุดนี้ครับแล้วจะรู้ว่าเขาไม่ใช่มือกีต้าร์ในสายป็อปแจ็สอย่างที่หลายๆคนเข้าใจอย่างแน่นอน
Artist : Toots Thielemans Album : One More For The Road Style : Jazz Label : Universal Music
งานชุดนี้มีมิตรสหายมาร่วมแจมอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น Madeleine Peyroux , Jamie Cullum , Laura Fygi , Silje Nergaard และอีกหลายคน โดยใช้เพลงแสตนดาร์ดเก่าๆเป็นตัวนำเสนอเช่นเพลง Come Rain Or Come Shine , One For My Baby (and one more for the road) ,Stormy Weather , รวมไปถึงโบนัสแทร็คอย่าง Over The Rainbow อีกด้วย
Artist : Medeski Martin & Wood Album : Best Of Blue Note Years 1998 – 2005 Style : Experiment Music / Jazz Label : EMI
อีกหนึ่งกลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้าผู้ที่สร้างสรรไอเดียใหม่ๆในโลกดนตรีอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ด้วยความที่มีรากฐานของความเป็นแจ็สอย่างเหนี่ยวแน่นทำให้ง่ายต่อการปรับแต่งสไตล์ให้เกิดขึ้นใหม่ พวกเขาเลือกที่จะเดินใสายของวงดนตรีที่ทดลองงานมากกว่าที่จะเล่นแจ็สแบบโอล์สคูล เขาเลือกที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ด้วยจังหวะต่างๆอย่าง ฟั้งกี้ ,ฮิพฮอพ ,พั้งก์และอีกหลายสไตล์ที่เป็นกรู๊ฟเติมด้วยเสียงของแฮมมอนด์ออร์แกน ,ดับเบิ้ลเบสและกลองเข้าไปจนกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน มีอัลบั้มหนึ่งที่เป็นไซด์โปรเจคของ John Medeski มือออร์แกน ที่ไปเล่นกับ John Scofield จนทำให้ Scofield ติดอกติดใจในสไตล์เพลงแบบกรู๊ฟเป็นหนักหนา ถ้าเป็นไปได้ลองหาชุด A Go Go ฟังดูกันครับ และอัลบั้มชุดนี้เป็นการรวมงานจาก 5 ชุดของเขา คัดมา15 เพลงด้วยกัน งานชุดนี้เป็นบทสรุปที่ดีมากหากใครที่อยากจะก้าวเข้าสู่โลกดนตรีแห่งการทดลอง ด้วยจังหวะใหม่ๆพร้อมด้วยการอิมโพรไวส์ในทางของแจ็ส หากเพียงความชอบที่อยากฟังอะไรใหม่ๆ งานชุดนี้สามารถเติมเต็มความรู้สึกนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Artist : Pink Album : I’m Not Dead Style : Pop Rock Label : Sony BMG
สาวเปรี่ยวผู้เป็นแบบอย่างให้กับสาวๆวัยทีนทั้งหลายแหล่ กับอัลบั้มชุดใหม่ที่เธอกลับสู่ความเรียบง่ายในแบบป็อปร็อก,โมเดิร์นร็อกจนถึงอัลเทอเนทีพและพั้งก์ Long Way To Happy และ Who Knew โมเดิร์นร็อกจังหวะปานกลาง หนักแน่นและชวนโยกได้ดี ทั้งสองเพลงสามารถตัดเป็นซิงเกิ้ลได้ Pink ค่อนข้างเค้นอารมณ์ความเป็นร็อกได้อย่างดี Nobody Know เพลงช้าแบบอาร์แอนบีผสมโซล โชว์เสียงร้องได้อย่างดีเยี่ยม Dear Mr.President และ The One That Got Away อะคูสติกโฟล์คเบาๆ U + Ur Hand ออกเป็นฮาร์ดร็อกมันส์ๆ Leave Me Alone (I’m Lonely) ป็อปร็อกมันส์ๆ เมโลดีและดนตรีติดหู คอ่นข้างจะเป็นป็อปร็อกที่ร่วมสมัย สไตล์เพลงเช่นนี้เรามักจะพบในเพลงร็อกของญี่ปุ่น นอกจานี้ยังมีเพลงแถมมาให้อีกสองเพลง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Pink แตกต่างกับศิลปินอื่นๆนั้นก็คือการร้องเพลงที่แข็งแรงและเป็นเอกลักษณ์ หาก Pink มุ่งเข้าหาความเป็นร็อกมากกว่านี้ก็น่าจะประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน