Music News :
ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2547 Passenger , Travis , Massive Attack , Cliff , Depeche Mode , Gisli , T – Rio , Baha Men 17 พ.ย. 47
ได้รับความเอื้อเฟื้อแผ่น
CD จาก Universal Music, Warner Music, EMI, Sony BMG, Platinum, United Home Entertainment,Virtuoso, Smallroom, S.stack กีตาร์ไทยขอขอบพระคุณอย่างสูง
Artist : Travis Album : Singles Style : Rock / Modern Rock Label : Sony Music BEC Tero
นับตั้งแต่วงร็อกจากฝั่งอเมริกาเริ่มถึงจุดซบเซา ก็ถึงเวลาที่ร็อกจากฝั่งอังกฤษจะเป็นผู้ยึดครองบัลลังค์นี้แทน และหนึ่งในบรรดาวงร็อกจากฝั่งอังกฤษที่บุกเข้าครองใจคนแทบจะทั่วโลกนั้นคือ Travis เสน่ห์อย่างหนึ่งของวงนี้คือการแต่งเมโลดีที่ฟังง่ายเพราะและติดหูเรียกว่าสามารถร้องตามได้อย่างง่าย และครั้งนี้เขาก็ได้รวบรวมบทเพลงที่ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลฮิตๆและขึ้นชาร์ตต่างๆ จากทุกอัลบัมเพื่อรวมเข้าไว้ถึง 18 เพลง ซึ่งในเพลงเหล่านี้พวกเขาตัดสินใจเพิ่มเพลงเข้าไปใหม่ถึง 3 เพลงตามแบบฉบับอัลบัมรวมฮิตครับ นั้นคือเพลง Walking In The Sun , Coming Around และ The Distance นับได้ว่าเป็นการวางแผนการตลาดได้อย่างยอดเยี่ยม การรวมเพลงครั้งนี้เพลงที่ฮิตๆอย่าง Sing (เพลงนี้ปฎิเสธไม่ได้อย่างแน่นอนครับว่าโค*ตเพราะและติดหูครับ ) หรือเพลง Driftwood หรือเพลงเท่ห์ๆอย่าง Writing To Reach You หรือ Why Does It Always Rain On Me เป็นต้น การรวมเพลงครั้งนี้ถือว่าเป็นผลประโยชน์ต่อแฟนเพลงที่ชอบเพลงฮิตๆได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ส่วนตัวผมแล้วจุที่ชอบมากเลยคือการได้ฟังเพลงดีๆได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกรอไปข้างหน้าหรือกรอกลับมาเพื่อหาเพลงเพราะหรือต้องเปลี่ยนแผ่นเลย เพราะมันเป็นความเพราะอย่างต่อเนื่องครับ
Artist : Massive Attack Album : Original Soundtrack Danny The Dog Style : //////// Label : EMI
ช่วงหลังๆมานี่น้อยครั้งมากเลยที่เราจะได้เห็นอัลบัมประเภทเพลงประกอบภาพยนต์ที่เหมาแต่งโดยศิลปินวงเดียวทั้งอัลบัม และครั้งนี้เราก็ได้ฟังแล้วครับ ข้อดีของอัลบัมแบบนี้ ก็คือเราจะได้ฟังเพลงที่เป็นคอนเซปต์อย่างต่อเนื่องเพราะการที่เหมาทำวงเดียว ความคิดของพวกเขากับการทำเพลงมันจะต่อเนื่องกัน และอีกอย่างผุ้กำกับหนังเรื่องตัดสินใจให้ Massive Attack เป็นคนทำโดยเฉพาะเจาะจง และเพลงในชุดนี้หลายๆเพลงจะออกมาหลอนๆ เคว้งๆหน่อยและเกือบจะแทบทุกเพลงอาจจะเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ที่พวกเขาเลือกที่จะให้มีซาวด์แบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาผสม เพลงในชุดนี้เป็นเพลงบรรเลงครับทั้งหมดครับ หลายเพลงในชุดนี้ทำได้เพราะที่เดียวครับ อย่างเช่นเพลง Sam เป็นเพลงที่ฟังแล้วเหงามากครับแม้จะใช้เมโลดีเพียงไม่กี่ตัวโน็ตแต่ทำให้เพลงมีเสน่ห์ครับ และเพลงที่ทำมาในรูปแบบนี้นี้กับชุดนี้ก็มีให้ฟังอยู่เยอะเหมือน ในส่วนของเพลงเร็วนั้นเราจะได้ยินซาวด์ที่เป็นเคื่องดนตรีสังเคราะห์อยู่เยอะมากและเพลงเร็วนั้นจะออกไปทางอินดัสเตรียล ถึงแม้ไม่หนักขนาด NIN แต่ก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน โดยที่ยึดเอาฟิลรวมทั้งหมดขึ้นอยู่กับอารมณ์หลอนๆลอยๆ เคว้งและเหงา สรุปแล้วงานชุดนี้น่าจะเหมาะกับคนที่อยากฟังอะไรที่เป็นคอนเซปต์และงานแปลกๆใหม่ให้กับชีวิต แต่หากคนที่ไม่ชอบจริงก็อาจจะเกลียดงานชุดนี้ไปเลยก็ได้
Artist : Cliff Richard Album : Miss You Night The Ballad Collection Styles : Easy Listening Label : EMI
Cliff Richard ชื่อนี้กับคนไทยนั้นรู้จักกันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรดาวัย 40 – 50 ขึ้นไปหรือรุ่นใหญ่ทั้งหลาย เพราะยุคสมัยหนึ่งนั้นเขาเหล่านั้นต่างก็พากันชื่นชอบบุคคลผู้นี้อย่างแรง เพลงของ Cliff ในชุดนี้เป็นการรวมงานเพลงช้าๆไว้ถึง 40 เพลงในซีดี 2 แผ่น ทุกเพลงบอกได้เลยครับ หลับสบายแน่ครับ เพลงช้าๆบวกกับเมโลดีที่ไม่ซับซ้อนและเสียงร้องนุ่มๆ มันช่างเข้ากันได้ดี และยิ่งผมฟัง Cliff มาเท่าไหร่มันทำให้ผมนึกถึงนักร้องนักดนตรีรุ่นใหญ่ท่านหนึ่ง ที่ร้องเพลงของ Cliff ได้เพราะไม่แพ้ต้นฉบับเลยที่เดียว นั้นคือ คุณวิชัย ปุณญะยันต์ หรือที่เรารู้กันว่าเขาเป็นนักร้องนำแห่งวงอมตะอย่าง Pink Panter นั้นเองครับ กลับมาที่งานกันต่อครับ อย่างที่บอกไปนะครับว่าเพลงในชุดนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยไม่ว่าจะคอร์ดที่ใช้เพียง 4 – 5 คอร์ดหรือการเล่นโซโล่ที่พิสดาล นอกจะมีแค่เสียงร้องนุ่มๆและเสียงกีต้าร์เชยๆ แต่สิ่งเหล่านี้แหละครับคือสิ่งที่เป็นเสน่ห์ของ Cliff อย่างรุนแรง สำหรับเพลงในชุดนี้กับคนรุ่นใหม่ที่พอจะเคยได้ยินกันมาบ้างก็ซักประมาณ 3 ปีที่แล้วเห็นจะได้ กับเพลง Somewhere Over The Rainbow / What A Wonderful World ซึ่งเป็นเพลงเก่าทั้งคู่ แต่ Cliff นำมันมาผสมผสานกันเป็นเพลงเดียวทำดนตรีใหม่และทำได้อย่างไพเราะทีเดียวครับ หรือเพลง Theme For A Dream ที่เป็นเพลงที่มีเสียงประสานน่ารักๆ The Yong Once เพลงดังที่ยุคหนึ่งวงดนตรีในบ้านเราหลายๆวงนิยมเล่นกัน The Minute You’re Gone เพลงจังหวะช้าๆเมโลดีเหงาๆ เพลงนี้มันเหมือนกับเพลงไทยเพลงใดเพลงหนึ่งเหลือเกินครับ และก็ The They I Met Marie นี่ก็เป็นอีกเพลงที่เหมือนเช่นกัน แบบเพลงช่วงประมาณยุคคุณสุชาติ ชวางกูลครับ Up In The World เพราะมากครับเหมือนเพลงในเทพนิยายเลยครับ ความจริงแล้วหากจะบอกกล่าวกันทุกเพลงคงท่าจะไม่หมดแน่เพราะมีเยอะเหลือเกิน แต่ผมกล้าบอกเลยครับว่าสำหรับแฟนเพลงของเขาคุ้มแน่นอนครับ เกือบลืมบอกครับว่าทุกเพลงเป็นการนำมารีมาสเตอร์ใหม่ให้เสียงคมชัดกว่าเดิม และมีเนื้อเพลงแถมมาให้ด้วยครับแม้จะตกหล่นไปบ้างเล็กน้อยก็ตามทีครับ แต่ก็โอเคเลยครับ ไม่ว่ารุ่นใหญ่รุ่นเล็กถ้าอยากฟังซะอย่าง เรื่องอายุไม่เป็นอุปสรรคครับ
Artist : Depeche Mode Album : Remix 81 – 04 Style : Electronica Label : EMI
จัดว่าเป็นอีกหนึ่งวงที่ยึดมั่นในแนวดนตรีนี้มายาวนานถึง 24 ปี และก็เป็นวงที่อยู่แถวหน้าของดนตรีแนว อิเล็กทรอนิกาอย่างแน่นอน และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขารวบรวมงานเพลงฮิตที่ได้ทำเอาไว้ในรูปแบบเวอร์ชั่นรีมิกซ์ ซึ่งรวมเอาไว้ทั้งสิ้น 24 เพลงในซีดีสองแผ่นคู่ ส่วนศิลปินที่มาร่วมบรรเลงเพลงรีมิกซ์ที่มีชื่อเสียงนั้นก็มีอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว เช่นเพลง Enjoy The Silence ที่มิกซ์โดยมิกเซอ์ระดับชั้นครูอย่าง Timo Mass และเพลง Pain Killer ที่มิกซ์โดย DJ Shadow หากใครเคยฟังงานของ DJ Shadow มาก่อนรับประกันได้เลยครับว่าเพลงนี้เขาทำออกมาได้เจ๋งไม่แพ้กันแน่ World In My Eyes มิกซ์โดย John Marsh เพลงนี้ทำออกมาได้เท่ห์เลยครับ หรือเพลง Homeที่มิกซ์โดย Air วงดนตรีที่ขึ้นชื่ออย่างยิ่งกับแถบยุโรปครั้งนี้ก็มาร่วมมิกซ์ด้วย และมีอีกคนหนึ่งทีผมอ่านดูจากรายชื่อจากรายละเอียดที่แนบมาแล้วสงสัยอย่างยิ่งนั้นคือ Mike Shinoda แห่ง Linkin Park ที่มาร่วมในอัลบัมชุดนี้ด้วย แต่รายชื่อในอัลบัมผมกลับหาไม่เจอจริงๆครับ เพราะอยากฟังมากครับท่าทางจะมันส์ แต่ยังไงซะงานดนตรีของวงนี้คงต้องบอกว่าเป็นงานที่ทำขึ้นมาเพื่อความคุ้มค่าโดยเฉพาะผู้ที่ชื่นและเป็นแฟนของวงหรือพวกที่ชื่นชอบดนตรีแนว อิเล็กทรอนิการอย่างจริงจัง แต่สำหรับขาจรอาจจะฟังได้เป็นบางเพลงครับ
Artist : Gisli Album : How About That Style : Alternative Label : EMI
ศิลปินหนุ่มหน้าใหม่ชาวไอซ์แลนด์ที่ขณะนี้กำลังฮอตอยู่พอตัวเหมือนกันในแถบยุโรป สไตล์เพลงของเขาหากจะยึดใครซักคนเป็นแบบอย่างสำหรับให้คนฟังพอที่จะนึกออกกับเขาบ้างก็คงจะหนีไม่พ้นพ่อหนุ่ม Beck ของเราอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า Gisli ยังไม่ทำแบบเครื่องสังเคราะห์มาใช้มากมายอย่าง Beck แต่ถ้าถามว่าในอนาตคหล่ะ? ไม่แน่ครับ เราอาจจะได้เห็น Beck คนที่สองก็เป็นได้ Gisli ได้เคยบอกว่าตัวเขาได้รับอิทธิพลมาจากวงอย่าง Iron Maiden จนถึงศิลปินป็อปอย่าง Justin Timberlake หากจำแนกแนวเพลงที่มีอยู่ในชุดนี้เราจะเห็นเลยว่ามันผสมกันเยอะมากตั้งแต่ ป็อป , พั้งก์ ในเพลง Straight To Hell อะคูสติกแบบคันทรี่อย่าง Worries หรือ You & Me ฮิบฮอบในเพลง Go Get Em Tiger อิเล็กทรอนิกาอย่างเพลง I Don’t Fight เป็นต้น ก็นับว่าเป็นศิลปินแบบคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองอีกคน หากมองข้าม Beck ไป ผมก็ว่าเพลงของ Gisli ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว
Artist : T – Rio Album : Choopeta Style : Pop Label : BMG
พวกเธอเป็นสามพี่น้องฝาแฝดจากเมืองบราซิลเลีย ประเทศบราซิล ดังนั้นเพลงในชุดนี้จึงมีกลิ่นอายของบราซิลและละตินให้ได้ฟังกัน เพลงของเธอหากจะบอกกลุ่มเป้าหมายก็คงจะยกให้พวกขาเเดนส์ทั้งหลายที่ชอบจังหวัละตินคงจะถูกใจแน่นอน ส่วนคนที่ชอบเพลงป็อปสบายๆเมโลดีเพราะๆติดหูก็ฟังได้ครับ (Choopeta) Mamae Eu Quero ซิงเกิ้ลแรกที่เปิดตัว โดยเพลงนี้เป็นเพลงเก่า หรืออีกนัยหนึ่งคือเพลงพื้นบ้านของบราซิลที่เคยมีศิลปินท่านหนึ่งเคยร้องเอาไว้ในปี 1939 และครั้งน้พวกเธอนำมาร้องใหม่และทำดนตรีให้ทันสมัยขึ้นให้เป็นแด้นส์สนุกๆมีเครื่องเป่าผสม Lanca Perfume เพลงจังหวะกลางๆ แต่ท่อนฮุกติดหูดีครับการเรียบเรียงเพลงก็เจ๋งเลยครับ If You Leave Me Now เพลงป็อปเย็นๆที่ได้เด็กปั้นของ Micheal Jackson มาร่วมแจมนั้นคือวง T3 เพลง L’Historie E’Un Amour เพลงแบบละตินสบายๆ ยิ่งต่อด้วยเพลง Brazil Interlude ยิ่งเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงทรัมเป็ต To Indo และ Retourner LA Bas เพลงแบบบอสซาโนว่าเย็นๆ เพลงช้าในชุดนี้ทุกเพลงเป็นบอสซ่านุ่มๆและอาจจะออกไปทางละตินนิดๆ ซึ่งถูกใจคนไทยอย่างแน่นอน และส่วนของเพลงเร็วตามความคิดผมแล้วพวกเขาเลือกที่จะนำเอาสไตล์ละตินและบอสซ่าโนว่ามาผสมกับบีทของแด้นส์ได้อย่างฉลาด มันเลยออกมาแล้วต่างจากเพลงป็อปแดนส์ที่มีอยู่ทั่วๆไปในตลาดเพลง 17 เพลงในชุดนี้คงจะถูกใจคนฟังกันบ้างแหละครับแถมท้ายอีกนิด 2 เพลงสุดท้ายเป็นโบนัสแถมมาครับ มันเป็นเพลง (Choopeta) Mamae Eu Quero ในเวอร์ชั่นรีมิกซ์
Artist : Baha * Men Album :Holla ! Style : Hip Hop Label : EMI
หากย้อนไปซักราวเกือบ 2 ปีเห็นจะได้เราจะได้ยินเพลงประกอบภาพยนต์ที่ฟังแล้วสนุกปนกับความมันส์เพลงหนึ่งจากหนังเรื่อง Snow Dog นั้นคือ เพลง Who Let’s The Dogs Out เพลงนี้แหละครับที่วงนี้เป็นผู้ขับร้องเอาไว้ พวกเขาเป็นศิลปินที่มาจากประเทศหนึ่งที่เราๆท่านอาจจะแทบไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนก็ได้นั้นคือ ประเทศ “ บาฮามาส “ และใครเลยจะเชื่อบ้างหล่ะครับว่าวงนี้เขาก่อตั้งมากว่า 20 ปีแล้วครับและก็ได้สับเปลี่ยนสมาชิกมาอยู่เป็นระยะๆเรื่อยๆครับ ในส่วนเพลงของเขาแต่ละเพลงนั้นเป็นเพลงสนุกสนานที่อาจจะพกความกวนอยู่เต็มอัตรา หากจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยครับกับเพลง Holla ที่ถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง Garfield The Movie และอีกเพลงที่เจ๋งมันแพ้กันเลยก็คือเพลง 69 เพลงนี้มีจังหวะพื้นฐานของดนตรีเป็นพวกอินเดียโดยเฉพาะเครื่องเคาะหรือที่เรียกว่า เพอคัสชั่น ผสมกับสไตล์สเปนอยู่ไม่น้อยเลย Big Love เพลงออกไปทางเร็กเก้เล็กน้อย Tempted และ Jump เพลงนี้ฟังแล้วนึกถึงบรรยากาศแบบชายหาดริมทะเล เพลงโดยรวมของอัลบัมชุดนี้หากจะบอกถึงจุดเหมาะสมว่าควรใช้เปิดฟังที่ไหน ผมบอกได้เลยว่าต้องที่นี่เลยครับตามแถบชายหาดริมทะเล เพราะเพลงในชุดนี้เป็นเพลงสนุกสนานและอีกที่ก็คือตามงานปาร์ตี้ครับ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับช่วงเวลาที่อากาศร้อนเช่นนี้