Music News :
ประจำวันที่ 16 กันยายน 2547 Switchfoot,, Letter Kills, Saliva Katy Ross, Lara Fabian, Miles Davis, Papa Roach, Metallica, Bill Evans, Oscar Pete 15 ต.ค. 47
ได้รับความเอื้อเฟื้อแผ่น
CD จาก Universal Music, Warner Music, EMI, Sony BMG, Platinum, United Home Entertainment,Virtuoso, Smallroom, S.stack กีตาร์ไทยขอขอบพระคุณอย่างสูง
Artist : Letter Kills Album : The Bridge Label : Universal Music Style : Rock วงร็อกรุ่นใหม่ที่ออกมาป่าวประกาศไว้ว่า พวกเขามี Hoobastank เป็นต้นแบบ และอัลบัมชุดนี้เขาก็ทำได้ออกมาใกล้เคียง Hoobastank อยู่พอสมควร แต่จะแตกต่างก็ตรงที่ ซาวด์ที่ออกมาจะดุดันกว่าและหยาบกว่า ในส่วนของเพลงนั้นผมว่ามันมีการผสมความเป็นพังก์เข้าไปอยู่ด้วยบ้าง Lights Out เปิดฉากมาด้วยความหนักแน่น Don't Believe วิะการเล่นและเมโลดีร้องออกจะ ใกล้เคียงกับ Hoobastank อยู่เหมือนกัน What Ever Its Take พวกเขาเรียบเรียงเพลงนี้ออกมาได้เท่ห์พอสมควร Brad New Man เพลงนี้เน้นไปที่ส่วนของริทึ่มมาโดยเฉพาะครับ Clock Is Down เพลงนี้มาแบบ เฮวี่ครับ ถ้าให้Yngwie มาโวโล่เพิ่มเติมเข้าไป เพลงนี้จะกลายเป็นเพลงของ Yngwie ทันทีครับ Times Marches On เพลงสไตล์nu metal ที่ยุคสมัยนี้นิยมทำกัน Carry You เพลงนี้จังหวะมันส์ครับ เมโลดีและสัดส่วนของเพลงนี้ถือว่าลงตัวครับ Hold My Heart (Part Two) ฟังหนักกันมานาน มันก็ต้องผ่อนด้วยเพลงช้าเพลงนี้ครับ เป็นเพลงมีเสียงกีต้าร์เล่นปิ๊กกิ้ง เป็นแบ็คกับจังหวะของกลองที่ตีไปเรื่อยๆ
Artist : Saliva Album : Survival Of The Sickest Label : Universal Music Style : Rock / Hard Rock วงร็อกรุ่นใหม่ไฟแรงห้าชีวิตอีกหนึ่งวงที่ วงการเพลงร็อกต้องฝากความหวังไว้ที่เขาอีกวงหนึ่งก็ว่าได้ เพลงของพวกเขาจะออกไปทางพวก hard rock (แต่ก็หนักพอตัว) ที่นับว่ายุคนี้หาฟังยากพอสมควร และดูเหมือนว่าพวกเขาจะพยายามฉีกแนวทางออกไปจากพวกเพลงที่มีอยู่ในยุคนี้ อัลบัมนี้ไม่มีพวกร่ายแร็พให้คุณได้ฟังกันอย่างแน่นอนครับ นอกจากริฟและเสียงแตกและกีต้าร์โซโล่ Rock & Roll Revolution เปิดมาเพลงแรกก็ซะใจแล้วครับ ผมฟังแล้วมีความรู้สึกว่าริฟบางท่อนบวกกับเสียงร้องของ Joseyในบางช่วงทำเอาผมนึกไปถึง Metallica แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่ลงตัวอีกเพลง Bait & Switch เป็นฮาร์ทร็อกเจ๋งๆ One Night Only มีกลิ่นจางๆของพังค์เข้าไปผสมอยู่ Survival Of The Sickest อินโทรเริ่มต้นของเพลงผมนึถึง คุณ Tom แห่ง Rage Against The Machine ขึ้นมาทันทีครับ ช่วงท่อนก่อนเข้าโซโล่แบบนี้หาฟังยากจริงๆในยุคนี้ No Regrets Vol 2 เพลงช้าในไสไตล์ hardrock เพลงนี้ผมรู้สึกคุ้นๆเหมือนกับได้ฟังเพลงนี้จากซาวด์แทร็คเรื่องไหนมาก่อนหรือเปล่า แต่ก็เท่ห์ดีครับ Two Step Back ออกมาเป็น โมเดิร์นร็อกนิดๆ กะมาขายท่อนฮุคให้โดดให้โยกโดยเฉพาะ Open Eyes เพลงช้าอีกเพลง มาแบบเท่ห์ๆกันเลยครับงานนี้ กับพวกชอบยกมือขวา F*** All Y'All จังหวะหนักหนักหน่วงดีครับ อาจออกไปทาง ฮาร์ดคอร์ก็ว่าจะได้ I Want You เพลงจังหวะกลางๆแต่ก็พอให้โยกกันได้ Carry On เพลงนี้มีพลังเท่าไหร่ใส่ให้หมดครับ มาแบบฮาร์ดคอร์เหมือนกับ F*** All Y'All แต่จะหนักกว่าหน่อย Razor' Edge เป็นเพลงช้าครับ ที่ส่วนของดนตรีและเมโลดีออกเป็นคันทรี่นิดๆ แต่ยังมีความสะใจให้ฟังกันอยู่ครับ ขึ้นต้นมาด้วยกีต้าร์โปร่งกับร้อง แล้วค่อยอัดกันเต็มที่ No Hard Feeling เพลงนี้นึกภาพได้เลยครับว่ามาแบบ Rage Against The Machine และเพลงต่อไปที่เป็น hiden track ถึงจะเป็นเพลงแถมตอนจบแต่ก็ไม่คอร็อกต้องผิดหวังกับเพลงที่ริทึ่มมันส์ๆ สำหรับผมแล้วผมว่าพวกเขาน่าจะมาถูกจังหวะพอดิบพอดีกับอัลบัมชุดนี้ในยามที่เรากำลังขาดแคลนวงดนตรีที่มีกีต้าร์ 2 คนสำหรับยุคฮาร์คคอร์คลองโลก ที่คนหนึ่งเล่นริทึ่มและอีกคนเล่นโซโล่ ถึงแม้ว่าเพลงของพวกเขาบางเพลงยังมีส่วนผสมของ ฮาร์ดคอร์อยู่บ้างแต่เปอร์เซนต์ของความเป็นฮาร์ร็อกมันก็ยังคงมากกว่าอยู่ดีครับ
Artist : L'Arc - En - Ciel Single : Jiyueno Shoutai Label : Sony Music BEC Tero Style : J - Rock จัดว่าเป็นวงร้อกจากญี่ปุ่นอีกวงที่ทำเพลงออกมามีเมโลดีติดหูที่เดียว และนับตั้งแต่อัลบัม Smile ออกมายังไม่สร่างตลาดเพลง j rock ซักเท่าไหร่ ก็รีบทำเพลงใหม่ออกมาเอาใจแฟนเพลงอย่างต่อเนื่องกับเพลง Jiyueno Shoutai และครั้งนี้กับซิงเกิ้ลของพวกเขา ที่มีเพลงให้ฟัง 4 เพลง เป็นเพลงเร็วหมดครับนั้น คือเพลง Jiyueno Shoutai ในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบและเวอร์ชั่นที่ไม่มี Hyde ที่เป็นนักร้องนำของวง ร้อง (แต่ผมฟังยังไงมันก็ยังมีคนร้องอยู่ จะว่าเป็นคาราโอเกะหรือเปล่า ก็ไม่ใช่) และอีกเพลงก็คือ Milky Way และก็เป็นสองเวอร์ชั่นเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเพลงนี้น่าสนใจกว่าก็ตรงที่พวกเขา 4 คน ใช้ชื่อวงใหม่ ในนามว่า P'unk- En - Ciel สาเหตุที่ใช้เพราะว่า ในเพลงนี้เขาสลับตำแหน่งกันเล่นครับ นั้นคือ นักร้องนำไปเล่นกีต้าร์ มือเบสไป ร้องนำและเล่นกีต้าร์ มือกีต้าร์ไปตีกลอง และ มือกลองไปเล่นเบส ผมว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะอย่างน้อยมันก็สามารถสร้างความแปลกใหม่ ขึ้นมาได้ สำหรับเพลงทั้ง 4 ในซิงเกิ้ลนี้ผมว่า มันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับบรรดาแฟนพันธ์แท้ ที่อยากฟังเพลงใหม่และเพลงที่แถมมา และอีกแง่มุมหนึ่งที่ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคอเพลงที่อยากฟังเพลงและก็ไม่ต้องการที่จะเสียเงินแพงๆให้กับแผ่นที่ต้องสั่งกัน หรือใครที่ไม่ใช่แฟนเพลงแล้วอยากจะลองฟังก็ไม่เสียหายครับ
Artist : Katy Ross Album : Because I Can Label : Sony Music BEC Tero Style : Rock ไม่เป็นที่แปลกประหลาดใจเลยว่าเมื่อใดที่มีดาวดวงใหม่เกิดขึ้นในวงการดนตรี เขาหรือเธอคนนั้นจะต้องกลายเป็นเป้าสายตาของนักฟังเพลง และเธอคนนี้ก็เช่นกัน Katy Ross เธอมากับแนวดนตรีที่เรียกว่าร็อก อัลบัมชุดนี้เกิดจากความที่เธอมีศิลปินอย่าง Led Zeppelin , Janis Joplin หรือ Joni Michell เพลงแรกกับ Overdrive เพลงจังหวะแบบพังก์นิดๆ เบสเพลงนี้เล่นได้มันส์มากครับ I Like เพลงแบบร็อกที่หนักแน่น Watchin The Rain เริ่มต้นแบบแร็พที่เธอร้องเองแล้วค่อยใส่กันหนักตอนท่อนฮุค Enchanted เพลงช้าแบบเรื่อยร้องแบบหลอนๆนิด ค่อยๆสร้างอารมณ์ให้หนักขึ้นๆ Catch My Fall มาแบบกลิ่นพังก์โดดหน่อย Snowflakes บรรยากาศของเพลงนี้เหมือนร็อกแบบยุโรป ผมว่าเขาได้ฟิลหรือการเรียบเรียงเพลงแบบเพลง Creed ของ Radio Head นะครับ เพียงแต่ไม่ใส่อารมณ์เต็มที่อย่าง Creed เท่านั้นเอง Glow ร็อกแบบอัลเทอเนทีฟ ความรู้สึกของผมแล้ว ผมว่าเพลงนี้เท่ห์ดีครับ ใครที่เคยฟัง Luna Sea มาก่อนก็ลองนึกถึงดูซิครับ เพลงนี้ก็ใกล้เคียงกันครับ Teachin' Myself To Dream เพลงช้าที่เท่ห์อีกเพลงหนึ่ง โดยเฉพาะเมโลดีท่อนฮุค Vacation เพลงไสตล์พังก์อีกแล้วครับ Original Skin เพลงที่เอากลิ่นอายของคันทรี่นิดเข้ามาผสม เธอร้องคู่กับกีต้าร์โปร่งแต่นำเอาไสตล์คันทรี่เข้ามาใช้ Lemon ผมฟังเพลงนี้แล้วนึกไปถึงเพลงช้าในแบบของ Alanis Morissette แต่ก็ไม่ใช่ว่าเหมือนซะทีเดียว แค่แบบร้องกดดันๆหน่อย Because I Can เพลงช้าเนื่อยๆเรื่อยๆ เหมือนนั่งเธอแบบบ่นๆไปเรื่อยๆ มันก็คงจะเป็นเรื่องที่ปรกติอย่างมากที่ใครหลายๆคนต่างก็นำเธอไปเปรียบเทียบกับ ศิลปินรุ่นเดียวกันอย่าง Avril Lavigne แต่อย่างไรก็คงต้องให้คนฟังเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสินว่าคุณจะชอบใครมากกว่ากัน
Artist : Lara Fabian Album : A Wonderful Life Label : Sony Music BEC Tero Style : Pop ศิลปินสาวจากเบลเยี่ยมกับอัลบัมชุดใหม่ กับเพลงที่ร้องในภาษาอังกฤษ โดยธรรมดาแล้วเราจะคุ้นเคยกับชื่อเสียงของเธอจากการฟังเพลงประกอบภาพยนต์ ในหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น AI , Final Fantasy หรือเรื่องล่าสุด De - Lovely ที่เธอเองก็ร่วมแสดงด้วย ในส่วนของภาคดนตรีสำหรับชุดนี้ เธอก็ได้ยอดฝีมือหลายๆคนเข้ามาร่วมทำงานด้วย เช่น Desmond Child ผุ้ที่ร่วมงานกับ Aerosmith , Bon Jovi หรือ Eliot Kennedy ผุ้ที่ร่วมงานกับ Spices Giles และ Take That ตามความคิดของผมแล้วผมว่าทั้งสไตล์เพลงและวิธีการร้องของเธอเหมือนกับ Celin Dion อย่างยิ่งครับ No Big Deal เพลงแรกที่เปิดตัวได้อย่างอลังการไม่ว่าเสียงร้องหรือดนตรี เพลงนี้มีกลิ่นอายของสไตล์ดนตรีฝั่งยุโรปเข้ามาผสม I Am ในส่วนของดนตรีของเพลงนี้เพราะดีครับ เพลงจังหวะปานกลางที่ออกร็อคนิดๆแต่เสียงร้องทำให้เพลงลดความหนักลงมาเป็นป็อปร็อก ฟังโดยรวมแล้วนึกว่านั่งฟัง Celin Dion ร้องเลยครับ The Last Goodbye เพลงช้าที่ออกจะเหมือนพวกเพลงประกอบภาพยนต์ เพลงนี้เธอแสดงพลังทางการร้องได้ดีครับ I Guess I Love You เพลงนี้กลิ่นอายของความเป็นยุโรปลอยมาเลยครับ ทั้งไลด์ของเปียโนที่ขึ้นมาพร้อมกับเสียงร้องในท่อนแรกเหมือนพวกเพลงคลาสสิค เพลงนี้ผมฟังแล้วขนลุกครับกับวิธีการร้องของเธอ Conquered ฟังเพลงนี้แล้วได้ฟิลแบบชื่อเพลงเลยครับ นึกถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ Review My Kisses เพลงช้าแบบบรรยากาศเหงาๆเคว้งๆ Unbreakable เพราะเลยครับเพลงนี้ ออกเท่ห์นิดๆ โดยเฉพาะเสียงของเปียโนตอนท่อนฮุคที่เล่นแบบค่อยๆอยู่ข้างหลังทำให้เพลงมีมิติขึ้นครับ Wonderful Life และ Intoxicated ฟังแล้วได้บรรยากาศแบบยุโรปที่ลอยๆหน่อย หรือเพลงแบบ เซลติก Silence จังหวะแบบร็อคครับ ท่อนฮุคหนักแน่นดีครับ Walk Awayเพลงช้าแบบเหงาๆ เพราะอีกแล้วครับ หากใครที่ชอบ Celin Dion เป็นทุนเดิมอยู่ หากจะหันมาลองฟังเธอคนนี้ก็จะชอบไม่แตกต่างกัน อาจจะมีบ้างตรงส่วนของเพลงที่ Lara Fabian จะฟังออกมาแล้วลอยๆกว่าก็เท่านั้นเองครับ
อัลบัมจากร้าน Jedi Artist : Miles Davis Album : Bitches Brew Label : Sony Muscc Style : Jazz / Fusion Jazz หลายคนคงอาาจจะเกิดความสงสัยขึ้นมากันบ้างหละครับว่าจุดเริ่มต้นของ แนวเพลง Fusion Jazz เกิดขึ้นมาตอนไหนและจากไหน ในตอนนี้คำตอบเหล่านั้นมีให้คุณอยู่อัลบัมชุดนี้แล้วครับ อัลบัมชุดนี้ถือว่าเป็นอัลบัมแห่งการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ดนตรี นักดนตรีหลายต่อหลายคนที่เคยเล่นในงานชุดนี้ หรือเคยเล่นมากับชายผู้นี้ ในปัจจุบันเขาเหล่านั้นกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่สำหรับวงการดนตรี jazz โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงแบบ Fusion Jazz และถึงแม้ว่าเจ้าของผลงานผู้ที่คิดค้นงานและซาวด์และแนวเพลงนี้ขึ้นมาจะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จของตัวเองแล้ว แต่ว่าชื่อเสียงและผลงานของเขาก็ยังคงอยู่เพื่อเป็นแนวทางให้คนรุ่นใหม่ๆได้ศึกษากัน อัลบัมชุดนี้ Miles Davis ออกมาที่เดียวเป็น 2 แผ่นคุ่ และเพลงในชุดนี้ก็เล่นกันแบบซัดเต็มเหนี่ยว อิมโพรไวส์กันแบบไม่เลิกไม่รา ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือเพลงในแผ่นแรกมี 2 เพลงแต่ตกความยาวเพลงละ 20 นาที ขึ้นครับ ส่วนอีกแผ่นมี 5 เพลงแต่ละเพลงมีความยาวเฉลี่ย 10 นาทีขึ้นครับ อาจจะดูไม่แปลกอะไรสำหรับในยุคนี้ แต่ลองนึกถึงสมัยโน้นซิครับที่ออกมา มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากครับ มันก็เลยส่งผลให้คนฟังเพลงยุคนั้นออกมาต่อต้านอัลบัมชุดนี้ แต่เมื่อวันเวลาผ่านมาของดีมันก็ยังเป็นของดีอยู่วันยังค่ำนั้นแหละครับ Pharaoh's Dance ซาวด์ออกมาหลอนๆ แล้วค่อยๆสร้างอารมณ์ให้ตึงเครียดและกดดันด้วยซาวด์ของอีเล็คทริคเปียโน ที่เล่นโดย Chick Corea และ Joe Zawinul แล้วซาวด์ของเครื่องเป่าและกีต้าร์ของ John McLaughlin ค่อยๆเล่นเข้ามาเรื่อยๆ Bitches Brew จังหวะริทึ่มพื้นฐานของเพลงนี้ออกมาเป็นร็อก แล้วใช้วิธีเดียวกันครับโดยใช้ อิเล็กทรอนิกเปียโนเป็นตัวเล่นฮาร์โมนี่ใส่เท็นชั่นเยอะๆให้ฟังแล้วเครียด แล้วสังเกตดูนะครับว่าคนเล่นอิเล็กทรอนิกเปียโนคอยเล่นหยอกล้อมากับไลด์ของเครื่องเป่า Spanish Key เพลงนี้ออกมาเป็นฟังก์นิดๆ John Mclaughlin เพลงที่ Miles แต่งให้กับ John Mclaughlin ที่เล่นในตำแหน่งกีต้าร์ เพลงนี้ออกกลิ่นอายของความเป็นบลูส์ Miles Run Voodoo Down เพลงนี้นำเอาจังหวะแบบละตินเข้ามาเล่น Sanctuary เป็นเพลงบัลลาดแบบ fusion ที่ยังไม่ทิ้งความเป็นแสตนดาร์ด Feio อาจจะเรียกเพลงนี้ว่าเป็นพวกแนวทดลองหรือแนวอวังการ์ดในยุคแรกๆก็ว่าได้ อัลบัมชุดนี้เคยส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อมือกีต้าร์หลายๆคนมาแล้วหนึ่งในนั้นก้คือ Steve Vai หละครับ หากจะศึกษาแนวทางการเล่นหรือวิธีคิดของพวก Jazz หรือใครที่ชอบพวก fuison โหดๆหน่อยก็ลองชุดนี้สิครับเพราะอย่างน้อยๆคุณก็จะได้ฟังต้นฉบับหรือต้นกำเนิดแห่ง fusion jazz อย่างแท้จริง
Artist : Papa Roach Album : Getting Away With Murder Label : Universal Music Style : Rock / Nu Metal การกลับมาครั้งของวงรุ่นใหม่ชั้นแนวหน้าอีกหนึ่งวง ครั้งนี้เขายังคงความมันส์และความสะใจได้อย่างคงเส้นคงวา ได้อย่างไม่ผิดหวัง เพลงแรกมาด้วย Blood เพลงนี้ในช่วงท่อนฮุคอัดกันได้อย่างเต็มที่กับเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ทางคอร์ดเพลงเป็นทางคอร์ดวน แล้วลองสังเกตุดีๆนะครับว่าเป็นทางคอร์ดที่เจ๋งมาก เพราะมันได้รวมเอาไว้ทั้งความตึงเครียดแล้วค่อยผ่อนคลายในท่อนสุดท้าย Not Listen เพลงจังหวะโยกที่น่าจะทำไว้สำหรับตอนเล่นคอนเสริตโดยเฉพาะแน่นอน Stop Looking Start Seeing เพลงนี้มีความเป็นฮาร์ดร็อคมันส์ๆเข้าไปผสมอยู่ด้วย Take Me เพลงนี้มีความรู้สึกว่าทำออกมาได้คล้ายกับ Linking Park อยู่พอสมควร Getting Away With Murder ในภาคของดนตรีและเสียงร้องที่ร้องออกมาแบบเค้นๆได้สร้างความหนักได้พอตัว และยังมีความเป็นป็อปอยู่ในตัวด้วย Be Free เพลงฮาดร็อกกับจังหวะโจ๊ะๆ Done With Me เพลงนี้มีความเป็นป็อปเข้าไปผสมอยู่เยอะเลยครับ Scars เพลงช้าที่ทำออกมาให้ขาโจ๋ได้โยกกันได้อยู่ Sometimes ขึ้นต้นช้าๆด้วยเสียงของกีต้าร์อะคูสติกกับเสียงร้องและหักมุมให้หนักในท่อนต่อมา Blanket Of Fear ริฟและโครงสร้างของเพลงนี้มันส์เลยครับ Jacoby แหกปากได้อย่างสะใจจริงๆ Tyranny Of Normality อินโทรขึ้นมาอย่างกับเพลง thrash แต่พอเข้าเพลงแล้ว ตัวเมโลดีและวิธีการร้องเป็นตัวเปลี่ยนแปลงทำให้เพลงดูเบาลงมา Do Or Die เพลงนี้ทำอออกมาได้เท่ห์จริงในส่วนของโครงสร้างเพลง จังหวะไม่ได้เร็วอะไรมากแต่ทำมาให้โดดกันแน่ ในส่วนของภาคดนตรีแล้วผมว่า การบันทึกเสียงของเอฟเฟคกีต้าร์อัดได้อย่างมันส์สะใจคนฟังเพลงแนวนี้ ภาคของดนตรีถือว่าเข้มข้นอยู่พอตัว เพลงในชุดนี้ผมว่ามันมีส่วนผสมของฮาร์ดร็อกเข้ามาอยู่เยอะเหมือนกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาทำมันให้ดิบขึ้นและทำให้เป็นกรู๊ฟขึ้นแบบฮาร์ดคอร์ ก็เป็นการผสมที่ลงตัวได้อยู่
Artist : Metallica Album : Some Kind Of Monster Label : Universal Music Style : Rock / Thrash การกลับมาในครั้งนี้ พวกเขามาในแบบอัลบัม E.P มีทั้งหมด 8 เพลง ที่ใช้เพื่อเป็นเพลงประกอบภาพยนต์ที่กึ่งๆสารคดีของพวกเขาที่กำลังจะออกมาให้เราได้ชมกันนั้นเอง น่าจะเป็นเร็วๆนี้ ในครั้งนี้พวกเขานำเพลงมาจากอัลบัมต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะคัดมาจากอัลบัมสมัยที่รุ่งสุดขีดของแนวแทรช พวกเขาเล่นกันไม่ยัง รับรองได้เลยครับ ถึงความหนักหน่วง และ 6 เพลงในชุดนี้จะเป็นเวอร์ชั่นแสดงสดซึ่งพวกเขาบันทึกไว้จากการเล่นใน ปารีส และชื่อของหนังเรื่องนี้ก็ใช้ชื่อว่า Some Kind Of Monster ซึ่งเป็นชื่อเพลงจากอัลบัม ST.Anger นั้นเอง Some Kind Of Monster เพลงแรกที่เราได้เจอกัน ผมว่าหลายๆคนที่เคยฟังเพลงจาก ชุด ST.Anger คงจะบ่นเป็นเสียงเดียวกันอย่างแน่นอนหละ อย่างน้อยๆก็ผมคนหนึ่งและครับที่บ่น ว่าอัลบัมชุดนี้ทำไมซาวด์มันไม่ใช่มาตรฐานที่ Metallica เคยทำเอาไว้แม้แต่น้อย โดยเฉพาะเสียงกลอง และเป็นเพลงเดียวครับที่ไม่ใช่เพลงที่มาจากการบันทึกการแสดงสด แต่ไม่ต้องห่วงเลยครับครั้งนี้ Metallica ขอแก้ตัวโดยการนำ เพลง Some Kind Of Monster มาปรับปรุงและEdit ใหม่อีกครั้ง ซึ่งแจ๋วกว่าเดิมเยอะครับ และกลับมาเป็น Metallica คนเดิมอีกครั้งแล้วครับ The Four Horse Man ,Motor Breath และ Hit The Lights จากอัลบัม Kill 'Em All และเพลง Damage Inc. และ Leper Messiah มาจากอัลบัมชุด Master Of Puppet และก็เพลง Ride The Lightning มาจากอัลบัมที่มีชื่อชุดเดียวกัน นั้นคือ Ride The Lightning และที่สำคัญถ้าคุณซื้อเป็นแผ่น มีของแถมพิเศษให้ดูกันด้วยครับ เป็นภาพที่ตัดจากหนังมาให้ดูกันครับ จะว่าไปแล้วใครที่อยากฟังเพลงหนักกะโหลก และคิดถึงพวกเขาก็คงหายกันไปบ้างหละครับกับชุดนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเพลงใหม่มาให้ฟัง แต่ Metallica ก็ยังแก้ตัวใหม่โดยการนำเพลงที่บันเสียงกันอย่างที่พวกเขาเคยเป็น มาให้ฟังกันครับ สำหรับใครที่ยังไม่เคยฟัง Metallica มาก่อนหรือเคยฟังแค่ชุดที่เรียกกันว่า ปกดำ หรือ งูสปริงล่ะก็ น่าจะลองมาฟังชุดนี้นะครับแล้วบางที่จะลืมชุดนั้นหรืออาจจะบอกว่าหนักกว่าเลยก็ได้ครับ
Artist : Bill Evans Album : Bill Evans For Lovers Label : Universal Music Style : Jazz งานอัลบัมชุดนี้เป็นซี่รี่ที่ต่อเนื่องมาจากอัลบัมตระกูล for lovers ทั้งหลายที่ออกมาไม่ว่าจะเป็น Billie Holiday For Lovers , Sarah Vaughan For Lovers , Stan Gatz For Lovers และอีกหลายอัลบัมต่อหลายอัลบัมที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และครั้งนี้ก็เป็นทีของมือเปียโนระดับตำนานอีกคนที่เป็นหนึ่งในลูกทีมของ Miles Davis อย่าง Bill Evans อัลบัมในซี่รี่เหล่านี้ ผมอยากจะบอกว่าถ้าสามารถซื้อหามาเก็บไว้ครอบครองในชั้นวางเทปหรือซีดีของคุณได้ จงเก็บมันให้ครบเถอะครับ เพราะอย่างน้อยๆเพลงประเภทนี้มันมีคุณค่าทางการศึกษาทางการดนตรีของคุณได้อย่างแน่นอน งานในซี่รี่เหล่านี้ทุกชุดจะมีคอนเซปเดียวกันหมดครับนั้นคือเป็นการรวบรวมงานเพลงที่เป็นเพลงที่เรียกว่า Ballad เข้าไว้ด้วยกัน และข้อดีที่คุณจะได้ฟังจากงานเหล่านี้ก็คือ คุณจะได้ฟังงานเพลงในแต่ละยุคสมัยของเขา เพราะว่าเหล่าบรรดานักดนตรีแจ็สทั้งหลายมักจะเปลี่ยนทีมเล่นอยู่เป็นประจำ ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาคือความหลากหลายในการเล่น กลับมาพูดถึงอัลบัมชุดนี้ดีกว่าครับ งานในชุดนี้มีทั้งหมด 11 เพลง และก็จะมีงานในแต่ละยุคสมัยของ Bill Evans ซึ่งในปกจะมีรายละเอียดบอกเอาไว้อยู่แล้ว เพลงแต่ละเพลงที่นำมารวมเอาไว้ต่างก็เป็นเพลงที่นักดนตรีแจ็สต่างก็ชอบนำมาเล่นอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เพลงในชุดนี้อย่าง เพลง For Heaven's Sake ,Lover Man ,My Foolish Heart เป็นต้น โดยธรรมดาแล้วแนวทางการเล่นของ Bill Evans จะเป็นการเล่นแบบไม่เร็วอยู่แล้ว ดังนั้นวิธีการเล่นของเขาจะออกมาเป็นเมโลดีซะส่วนใหญ่ เหมือนว่าตัวโน็ตแต่ละตัวที่เขาเล่น มันจะค่อยๆออกมาโดยที่เขาได้ยินและรับรู้ถึงสิ่งข้างหน้าว่าเขาจะเล่นออกมาอย่างไร และเขาก็เป็นมือเปียโนที่เล่นออกมาเน้นหนักเบาได้ไพเราะอีกคน ลองสังเกตุดูนะครับเวลาที่เขาเล่นคอร์ดเพื่อรองรับคนที่เล่นโซโล่ เขาจะเล่นเหมือนกับคอยที่จะดึงให้คนเล่นโซโล่เด่นขึ้นมา และเขาจะค่อยๆบรรจงกดไปที่ลิ่มเปียโน ดังนั้น ตัวโน็ตที่ออกมาจึงฟังดูมีความนุ่มอย่างมาก บางทีเราอาจจะให้คำจำกัดความแก่เขาว่า Less Is More คนต่อไปนับจาก Miles Davis เลยก็ได้
Artist : Oscar Peterson Album : Oscar Peterson For Lovers Label : Universal Music Style : Jazz เช่นกันครับกับอัลบัมชุดนี้เป็นซี่รี่ย์ชุดเดียวกันกับ Bill Evans และทั้งคู่ก็เป็นมือเปียโนเหมือนกันแต่จะแตกต่างกันก็ตรงที่ Oscar Peterson จะเป็นมือเปียโนที่เล่นออกมาบู๊กว่า Bill Evans แต่สำหรับชุดนี้แล่วเขาได้ลดความมันส์ลงมาเล่นแบบบัลลาดหวานๆ งานชุดนี้ถือว่า Oscar Peterson เล่นได้อย่างไพเราะอย่างมาก หลายต่อหลายเพลงในชุดนี้ได้ถูกรวบรวมมาเพื่อคนที่ชื่นชอบเพลง jazz บัลลาดอย่างแท้จริง เพลงส่วนใหญ่ที่จะได้ฟังจากชุดนี้จะเป็นเพลงที่ Oscar Peterson เล่นเป็น trio ซะเยอะ และมีเพลงร้องเพิ่มเข้ามาอีกสองเพลงนั้นคือ I've got a crush on you เพลงนี้หนาที่การร้องเป็นของ Bill Henderson และอีกเพลงที่ Oscar Peterson รับหน้าที่ร้องเองนั้นคือ Sweet Lorraine เพลงบัลเลงหลายเพลงในชุดนี้ Oscar Peterson จะเล่นโดยที่เน้นในสัดส่วนของเมโลดีสำหรับการอิมโพรไวส์ ซึ่งจะแตกต่างกันอย่างยิ่งกับเวลาที่เขาเล่นแบบบู๊ล้างผลาญ เพลงที่สังเกตุได้ง่ายๆนะครับก็มี My one and only Love , The man I love และอีกหลายต่อหลายเพลง มีอีกเพลงที่ผมอยากให้ฟังกันมากครับนั้นคือ The Didn't Believe เพลงนี้ผมอยากให้ฟัง Clark Terry เป่า Flugelhorn อยากมาก เพราะว่าเขาเป่าได้แบบว่า โค*ตเพราะเลยครับ อัลบัมชุดนี้ถ้าจะซื้อเอาไว้ก็คงจะไม่มีอะไรเสียหายอย่างแน่นอนครับ
Artist : Al Jarreau Album : Accentuate The Positive Label : Universal Music Style : Jazz โดยทั่วไปแล้วเราจะเห็นชายคนนี้ร้องแต่แนวคอนเท็มโพรารี่ แจ็ส มาโดยตลอดและครั้งนี้ถือว่าแปลกที่เดียว ที่เขาหันมาร้องแสตนดาร์ด โดยที่เขาได้นำเพลงแสตนดาร์ดที่เป็นที่นิยมและรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วมาร้อง ส่วนตัวผมแล้ว ผมรู้สึกว่าเสียงร้องของเขามันยังไม่ค่อยเหมาะกับแนวนี้ซักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเสียงทียังไม่มีความใหญ่หนาและทุ้ม และเสียงของ Al Jarreau เองก็เล็กแต่เหมาะกับแนว คอนเท็มโพรารี่ แจ็ส ที่มีเมโลดีป็อปๆอย่างที่เขาเคยร้องได้อย่างลงตัว ความน่าสนใจอีกจุดหนึ่งที่มีอยู่ซึ่งบางครั้งเราอาจจะมองข้ามตรงจุดนี้ไปนั้นคือ นักคนตรีที่เล่นแบ็คอัพ และนักดนตรีที่เล่นในชุดนี้ก็เป็นคนคุ้นเคยทั้งนั้นสำหรับวงการแจ็ส ยกตัวอย่างง่ายๆกับภาคริทึ่มเซ็กชั่นแล้วกันครับ ตำแหน่งเสก็เป็นหน้าที่ของ Christian McBride และกลองก็เป็นของ Peter Erskin สำหรับมือกลองคนนี้บ้านเรารู้จักกันเป็นอย่างดีครับ เพลงแรกของชุด Cold Duck เป็นกู๊ฟมาเลยครับ ออกฟิวชั่นบวกฟังก์ๆนิดๆ The Nearness Of You เพลงบัลลาดสุดเพราะอีกหนึ่งเพลง พี่เขาพยายามเอื้อนเสียงสุดฤทธิ์ ผมอยากให้ลองไปฟังเวอร์ชั่นที่ James Taylor เคยร้องเอาไว้มากกว่าแล้วจะรู้ครับว่าคำว่า โครตเพราะมันเป็นยังไง I'm Beginning To See The Light เพลงสวิงจังหวะมีเดียม เพลงนี้เป็นเพลงเก่าของ Duke Ellington เพลงต่อมา My Foolish Heart เพลงนี้ถ้าใครเคยฟังเวอร์ที่ Bill Evans เล่นเอาไว้ ต้องบอกอย่างแน่นอนว่าเพราะครับ ครั้งนี้นำมาทำใหม่ออกบอสซ่าโนว่านิดๆ Midnight Sun เพลงช้าๆอีกเพลง Ac-cen-tchu-ate The Positive เพลงจังหวะโจ๊ะๆ Betty Bebop's Song เพลงช้าวนมาให้ฟังกันอีกแล้วครับ Waltz For Debby เพลงเก่าของ Bill Evans เป็นเพลงบัลลาดครับ Groovin' High เดิมที่เพลงนี้จัดว่าเป็นเพลงบีบ็อบที่มันส์มากอีกหนึ่งเพลง ของ Dizzy Gillespie ครั้งนี้นำมาเล่นใหม่ออกกลิ่นฟังก์นิดๆ อินโทรมาด้วยเสียงสแคชซิงกิ้งกวนๆมันๆ และจะมีให้ฟังกันอยู่ตลอดครับ เรียกว่าเพลงนี้โชว์ความสามารถของ Al Jarreau อย่างเต็มที่ Lotus และ Scootcha Booty เป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ Lotus จะเป็นเพลงช้าแบบบอสซ่าโนว่า ส่วน Scootcha Booty เป็นเพลงเร็วมันส์ๆ สำหรับใครที่เคยฟังเขาร้องที่ผ่านๆมาแล้วติดอกติดใจยังไงซะก็ลองฟังอีกหนึ่งแนวทางที่เขาเปลี่ยนมาร้องแบบนี้บ้างก็ได้นะครับ
Artist :Various Artist Album : Relaxation Label : BMG Style : ////// ขึ้นต้นมาด้วยคำว่า Relaxation นั้นก็หมายถึงว่าเพลงในชุดนี้ต้องมีซาวด์ที่เราๆได้ฟังแล้วต้องรู้สึกผ่อนคลายแน่นอนครับ และโดยเฉพาะเป็นเพลงที่มาจากสังกัดอย่าง WindHam Hill แล้วละก็ เพลงต้องออกมาดีแน่นอนครับ โดยธรรมดาแล้วสังกัด WindHam Hill จะออกมีงานประเภท Classic , New Age และ Jazzออกมาให้ฟังกัน และครั้งนี้ก็เป็นงานที่อาจเรียกได้ว่า เป็นงานที่ต่อเนื่องมาจากซีรี่ย์อย่าง The Celtic Circle 1 , 2 และ Sound Of Wood Steel 1 ,2 หรือ 3 เป็นต้น งานชุดนี้รวมเพลงประเภทบรรเลง บางเพลงก็จะออกไปทาง New Age หรือบางเพลงจะออกไปทาง jazz นิดๆ แต่ละเพลงเป็นเพลงบรรเลงช้าๆ ตามคอนเซปของอัลบัมครับ One A Memory เป็นเพลงของเจ้าพ่อ New Age อย่าง Yanni เพลงนี้ ไลด์เมโลดีเพราะที่เดียว แม้ว่าจะใช้เครื่องดนตรีเพียงแค่สองชิ้นก็ตาม โดยมีไลด์ของเปียโนเป็นหลัก Big Thing In The Sky เพลงนี้มาแบบเพลงซาวด์แทร็ค โดยใช้กีต้าร์เล่นแบบ คอร์ดเมโลดี Rain Song เพลงบรรเลงเปียโนจากปลายนิ้วของ George Winston ฟังแล้วรู้สึกสดชื่นเหมือนชื่อเพลงครับ โดยธรรมดาแล้วใครที่เคยฟังงานของ George Winston คงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วเพราะเขาจะถนัดในการเล่นบรรเลงเปียโนเพียงคนเดียวแทบทุกชุด Glass Green ของ Tim Story เป็นเพลงบรรเลงด้วยเสียงซินดิไซเซอร์ ฟังแล้วได้บรรยากาศแบบอวกาศๆ เหมือนเราอยู่นอกโลก Bayangume เพลงนี้เหมือนกันกับเพลง Glass Green ช่างต่อกันได้อย่างเหมาะสมจริงๆNo Wonder They Sing เพลงบรรเลงด้วยเปียโนอีกเพลงที่ฟังแล้วเหงาๆในช่วงขึ้นต้น พอช่วงกลางเพลงเริ่มเร่งจังหวะขึ้นอีกนิด Majestica อินโทรขึ้นมา ผมนึกว่าเป็นเพลงประกอบภาพยนต์ประเภท King Arthur หรืออย่างเพลงขึ้นต้นอย่างง่ายๆที่จะอธิบายได้ก็คือ เพลงสุริโยไทย ของเรานี่เอง แต่พอเข้าตัวเพลงแล้วไม่ใช่เลยครับ เมโลดีจะออกมาป็อปๆหน่อย Espana เพลงบรรเลงแบบอวกาศอีกแล้วครับ Wind In The Trees ขึ้นต้นมาด้วยเสียงของ rain stick แล้วเข้าตัวเพลงจะมีเสียงของ flute และเสียงของคีย์บอร์ดเข้ามาผสม จะเป็นอย่างนี้ตลอดทั้งเพลง On The Edge เพลงบรรเลงเปียโนจากปลายนิ้วของ Jim Brickman สำหรับชื่อของเขากับคนไทยแล้ว ถือว่าดังทีเดียว (ไม่อย่างนั้นจะมาเปิดคอนเสริตเก็บค่าบัตรใบละหลายพันได้อย่างไร ??? ) เขาจะเล่นในไสตล์เพลง contemporary jazz แต่แบบหวานๆ ช้าๆ ฟังได้เรื่อยๆครับ Closer Still ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกชอบเพลงนี้ที่สุดแล้ว สำหรับอัลบัมชุดนี้ มันลงตัวทุกอย่าง เพลงนี้เหมาะอย่างมากสำหรับการนำไปเป็นเพลงประกอบภาพยนต์ เป็นเพลงที่เหงาๆที่มีความเพราะอยู่ในตัว เพลงสุดท้ายกับ งานของมือ trumpet แนว contemporary jazz อย่าง Mark Isham กับเพลง Tibet Part ll เพลงนี้เราจะได้ยินเสียง trumpet จากเขาน้อยมาก ผมว่าเขาวางเพลงนี้เป็นเพลงปิดฉากอัลบัมได้เหมาะสมจริงๆ สิ่งที่เราจะได้ยินจากเพลงนี้เป็นหลักๆก็คือเสียง ของกีต้าร์โปร่งที่เล่นแบบ picking ไปเรื่อยๆโดยที่มีเสียงของคีย์บอร์ดเล่นคลอๆอยู่ข้างหลัง แล้วเสียงของ ทัมเป็ตก็ค่อยๆเข้ามาเป็นช่วงๆ ยังไงอัลบัมชุดนี้ก็จัดว่าเป็นอัลบัมที่ใช้ฟังเพื่อผ่อนคลายตามชื่อของมัน ผมว่าอัลบัมชุดนี้เหมาสำหรับร้านอาหารที่เปิดคลอๆไปในยามที่คนกำลังนั่งทานข้าว หรือเพลงที่เปิดก่อนนอน (รับรองหลับแน่ๆ) หรือเพลงจำพวกที่เปิดไปแล้วทำงานอย่างอื่นไปด้วย อัลบัมชุดนี้ยังมีซีรี่อื่นที่ออกมาพร้อมกันด้วย เช่น Spa Sound , Lullaby เป็นต้น
Artist : R.Kelly Album : Happy People / U Saved Me Label : BMG Style : R & B สำหรับชื่อเสียงของชายผิวหมึกคนนี้กับบ้านเราถือว่าดังพอตัวเลย อย่างน้อยๆผมว่าทุกคนจะต้องรู้จักหรือเคยฟังเพลง I Believe I Can Fly กันมาบ้างแหละครับ และการกลับมาครั้งนี้ของ R.Kelly กับอัลบัมที่ออกมาที่เดียวถึง 2 ชุด พร้อมกัน และที่สำคัญสำหรับเมืองไทยครับ ไอ้สองแผ่นเนี้ยะเราสามารถซื้อได้ในราคาเพียงแผ่นเดียว อัลบัมชุดนี้เขาได้วางคอนเซปต์เอาไว้ว่า ชุดที่มีชื่อว่า Happy People จะเป็นเพลงเร็วหน่อย ส่วนชุด U Save Me จะเป็นเพลงช้าๆอย่างที่เราเคยฟังจากเพลง I Believe I Can Fly ที่นี้เราจะมาพูดถึงเพลงชุด Happy People กันก่อนนะครับ งานในชุด Happy People จะออกมาในโทนเดียวกันหมดจังหวะจะเนิบๆ แนวเพลงจะออกมาทาง R & B , Disco และ Soul อาจจะมีฟังก์นิดๆ สิ่งที่เจ๋งของชุดนี้ก็คือทุกเพลงเขาจะนำมาต่อๆกัน ให้เหมือนกับว่ามันเป็นเพลงเดียวกันทั้งชุด ลองนึกถึงตามคลับดูนะครับ ว่าจะมีดีเจคนหนึ่งคอยเปิดแผ่นให้คนเต้นกัน โดยที่ตัวเพลงจะต้องต่อเนื่องกันตลอดเวลา Weather Man ดนตรีของเพลงนี้จะออกไปทาง fusion jazz แต่ในส่วนของร้องจะออกไปทางอาร์แอนด์บี เพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่เยียมอีกหนึ่งเพลง ถึงแม้ว่าจะสั้นเพียง 2 นาทีนิดๆ ต่อด้วยเพลง Red Carpet เพลงนี้เป็น อาร์แอนบีมาเลยครับ Love Signals และ Love Street ทั้งคู่เป็นเพลงโซล ผสม ดิสโก้ จังหวะเนิบๆ ถ้าฟังแบบผ่านๆอาจจะนึกว่าเป็นเพลงเดียวกัน ต่อด้วย Ladies' Night (Treat Her Like Heaven) อาจจะคล้าย สองเพลงก่อนหน้านี้ไปซักหน่อยแต่ เพลงนี้จะออกไปทางฟังก์นิดๆ If ขึ้นต้นด้วยเสียงพูด เพลงนี้มาเป็น โซลเต็มที่ครับ เพราะดีครับ The Greatest On Earth เช่นเดียวกันครับ ขึ้นต้นด้วยเสียงพูด แต่พอเขาเพลงแล้วเป็นเพลช้า น้ำเสียงออดอ้อนเต็มที่ It's Your Birthday จังหวะเป็นเร็กเก้ครับ ต่อด้วยเพลง Steppin' Into Heaven และ If I Could Make The World Dance และ Happy People เพลงจังหวะโซลๆ ฟังแล้วนึกถึงเพลงของ Marvin Gaye ครับ สามเพลงนี้มีความใกล้เคียงกันอย่างมาก แต่ ที่ดูน่าจะเป็นเพลงที่ลงตัวที่สุดก็คงจะเป็น Happy People ถึงเพลงจะมีความยาว 7 นาทีก็ตาม และในส่วนของชุด U Saved Me เป็นเพลง อาร์แอนด์บี ช้าๆ หวานๆ เสียงร้องจะออกมาออดอ้อน เริ่มต้นด้วยเพลง 3 Way Phone Call เพลงนี้จะมีไลด์ร้องอยู่สองไลด์ (เหมือนพูดคุยกันอยู่แค่สองคน มากว่าร้อง) U Saved Me ,Prayer Change , How Did You Manage ,I Surrender ฟังแล้วใกล้เคียงกันมาก จะมารู้สึกถึงความแตกต่างก็ตรง อินโทรที่ขึ้นมาด้วยเสียง Piano ในเพลง When I Think About You แต่พอเข้าร้องก็ยังไม่ค่อยแตกต่างซักเท่าไหร่ Diary Of Me เพลงช้าหวานซึ้งอีกเพลงผมฟังเพลงนี้แล้ว นึกถึง Baby Face โดยทันทีครับ Spirit เพลงนี้ใครที่ฟังเคยเพลงของวง บอยแบนด์มาก่อนคงต้องบอกเลยว่า นั้นแหละครับใช่เลย Leap Of Faith เพลงนี้ในช่วงแรกๆยังไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจครับ แต่พอเข้าช่วงนาทีที่สาม ตอนที่มีเสียงมาร้องประสาน นั่นแหละครับที่ทำให้เพลงดูไพเราะขึ้นและดูมีพลังอย่างยิ่ง Peace เพลงนี้ฟังแล้วนึกถึงเพลงของหมู่บ้าน ตามเผ่าที่อยู่ในป่า สำหรับอัลบัมชุดนี้ถ้าโดยส่วนตัวแล้วในทางการตลาด ผมว่าคุ้มเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้บริโภค และในแง่ของคนฟังเพลงต้องแยกออกมาเป็นสองเรื่องคือ ใครที่ชอบเพลงที่ออกมาทางเต้นรำที่ไม่ค่อยจะเป็นอาร์แอนบีที่ชอบโชว์พลังเสียง ก็คงจะชอบอัลบัม Happy People ที่ฟังได้เรื่อยๆ และถ้าใครที่ชอบเพลงช้าๆหวานๆ เสียงร้องอ้อนๆแบบยกชุด ก็ต้องไปฟังชุด U Saved Me สรุปแล้วใครชอบชุดไหนถ้าซื้อไปแล้วก็ถือว่าอีกชุดเป็นโบนัสพิเศษให้ละกันครับ
Artist : Ashlee Simpson Album : AutoBiography Label : Universal Music Style : Pop Rock สาวน้อยวัย 19 ปีที่ก้าวจากโลกของดาราทีวีเข้ามาสู่การเป็นนักร้อง หรือง่ายๆอย่างที่เราเรียกกันว่า "เด็กปั้น" ครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าปกผมนึกทาทาขึ้นมาเลยทันที ว่าแนวเพลงคงจะออกแนวเต้นๆหน่อย แต่ไมใช่ครับแนวทางของสไตล์เพลงของเธอออกไปทางป็อปร็อกที่ออกกจะร็อกซะมากกว่าและมีความเป็นพังก์เข้ามาผสมอยู่ อละเช่นกันเราก็อดไม่ได้เลยที่จะเอาเธอไปเปรียบเทียบกับ Avril Lavigne อย่างว่าแหละครับเมือมีคนออกมาก่อนแล้วเกิดประสบความสำเร็จ มันก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดการเปรียบเทียบเมื่อมีใครซักคนเดินตามมาในทิศทางเดียวกัน Autobiography เพลงเร็วเปิดตัวออกไปทางร็อกแบบพังก์ๆผสม จะว่าไปตัวเมโลดีก็ติดหูเหมือนกันสำหรับเพลงนี้ Pieces Of Me เพลงช้าแบบวัยโจ๋น่าจะโดนใจ Shadow เพลงช้าแรงๆอีกเพลง เพลงนี้ช่วงอินโทรและเมโลดีบางท่อนทำเอาผมนึกไปถึงเพลง Beautiful ของ Christina Aguilera อย่างแรง La LA มาแบบพังก์ เตรียมกระโดดเลยครับ Love Make The World Go Round ขึ้นต้นช้าๆแล้วค่อยไปเร่งช่วงฮุคแบบโมเดิร์นร็อก Better Off เพลงนี้จังหวะก็ยังไม่ค่อยแตกต่างจากเพลงก่อนหน้านี้ซักเท่าไหร่ ผมว่าหากใครที่เคยฟัง Alanis Morissette มาก่อนแล้วมาฟังดนตรีจากเพลงนี้รับรองต้องบอกครับว่าเหมือนกันอย่างแน่นอนครับ Love For Me เพลงเร็วจังหวะจิกโก๋นิดๆ Surrender เพลงป็อปร็อกจังหวะปานกลาง Unreachable เพลงช้าเพลงนี้จะว่าไปแล้วถือว่าเป็นเพลงที่แปลกและสร้างความแตกต่างให้กับอัลบัมชุดนี้อย่างมาก เพราะว่าในส่วนของเครื่องดนตรีมีการนำเปียโนมาเล่นด้วย เลยทำให้เพลงฟังดูเบาลงและมีมิติขึ้นมาอย่างมาก Nothing New มาแบบ Alanis Morissette อีกแล้วครับแบบว่าถอดแบบมาอย่าง100% หาฟังได้จากเพลง All I Really Want จากอัลบัม Jagged Little Pill ครับ Give It Or Away เพลงจังหวะร็อกบัลลาดเค้นๆและเน้นไปที่จังหวะของกลอง คนที่ฟังเพลงร็อกมาก่อนจะต้องคุ้นเคยกับจังหวะอย่างนี้เป็นอย่างดีครับ Undiscovered เพลงที่เรียกว่าเบาที่สุดของอัลบัมก็ว่าได้ เป็นเพลงช้าสไตล์ร็อก โดยที่ลดบทบาทของกีต้าร์เสียงแตกลงแล้วไปเพิ่มความสำคัญให้กับเสียงคีย์บอร์ดที่เป็นตัวคุมสำหรับเพลงนี้ Harder Everyday บอกตามตรงครับว่าเพลงนี้มันไม่ค่อยลงตัวซักเท่าไหร่ในช่วงที่จะเปลี่ยนมาเป็นท่อนฮุค เพราะเพลงนี้มีการนำเาจังหวะแบบเร็กเก้มาใช้ในช่วงเมโลดีบ่นๆตอนเริ่มต้นแล้วก็ค่อยแรงในท่อนฮุค แล้วอีกท่อนนึงก็คือท่อนแยกมันเหมือนกับการเอาเพลง 2-3 เพลงมาทำให้ต่อกัน แต่ถ้าจะฟังเพื่อความแปลก มันก็มีมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าน่าเกลียดอะไรขนาดนั้น สำหรับตัวเพลงแล้วก็เหมือนกับศิลปินวัยทีนที่มีอยู่ทั่วๆไป ก็ไม่ได้แตกต่างกว่าตรงไหน นั้นก็เป็นเพราะผลพวกจากการตลาดและมันก็ยังเป็นชุดแรกของเธอซะด้วย แต่ตรงจุดหนึ่งที่ผมเห็นก็คือว่าเขากล้าที่จะทำเพลงและภาพลักษณ์ของเธอให้ออกมาแบบสาวร็อก และมันก็พอจะไปกันอยู่บ้าง แถมท้ายอีกนิดครับว่า ใครที่สนใจเธอ สามารถติดตามชมเธอในรายการ The Ashlee Simpson Show ได้ทาง MTV Thailand ที่ UBC ช่อง 49 ครับ
Artist : Bjork Album : Medulla Label : Universal Music Style : Electronica ใครที่เคยฟังเพลงเธอมาก่อนคงจะรู้ดีว่าเธอชอบทดลองงาน โดยเฉพาะในทางของพวกดนตรีอิเล็กโทรนิกส์ และชุดนี้เธอกลับมาพร้อมกับซาวด์ที่โหดอยู่พอสมควรสำหรับคนที่พึ่งจะมาทำความรู้จักกับเธอในชุดนี้ การกลับมาในครั้งนี้เหมือนเธอมาพร้อมไสยศาสตร์และความลึกลับ ดูจากคอนเซปที่สื่อผ่านทางปกอัลบัมได้ครับ เพลงในชุดนี้โดยรวมแล้วทำเอาความรู้สึกตอนฟังขนลุกอยูพอสมควรครับ เพราะมันหลอน เหมือนกำลังนั่งฟังสดอยู่ยังไงยังงั้น และจะเป็นเช่นนี้แทบทุกเพลง เสียงที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอัลบัมชุดนี้นั้นก็คือเสียงของไลด์ที่ร้องประสานและเสียงที่คอยเข้ามาหลอนอยู่เป็นช่วงๆ เหมือนเพลงตามโบถส์ แต่บางเพลงก็ฟังแล้วออกมาดูยิ่งใหญ่และสร้างพลัง เพลงที่อยากจะให้ได้ฟังกันเลยนะครับ เพราะมันน่าสนใจมากๆ นั้นก็คือ Constallation ผมมีความรู้สึกว่าเพลงนี้ อย่างแรกคือฟังดูเหมือนเธอร้องเพลงนี้ออกมาจากใจลึกๆ แล้วก็เทคนิคในการบันทึกเสียงมันน่าสนใจมากครับ เช่นวิธีการแพนซ้ายขวาเป็นต้น Sonnet / Unrealities เพลงนี้อยากให้ฟังก็เพราะว่าเสียงประสานโดยเฉพาะ Triumph Of A Heart สมบูรณ์แบบมากครับกับเทคนิคแบบ บีทบ็อกซ์ นั่นคือการนำเสียงของคนมาทำเป็นเสียงของเคื่องดนตรีให้จังหวะและพวกลูป และผสมไปด้วยเสียงร้องต่างๆที่เพิ่มเติมเข้าไปเจ๋งมากครับ หากนึกไม่นอกนะครับลองไปหาฟังเพลง สรุปว่าบ้า ที่พี่เบิร์ดจากบ้านเราเคยร้องไว้ในอัลบัมงานซน เมื่อ 10กว่าปีที่แล้ว แต่เพลงนี้ทำได้เนียนกว่าครับ หากจะบอกว่างานชุดนี้เป็นงานที่ทำตามใจและทำเพื่อแฟนเพลงที่เกาะติด Bjork โดยเฉพาะก็คงไม่ผิดแปลกอะไรแต่ขาจรอย่างอีกหลายๆคนก็คงต้องทำความคุ้นเคยกับเธอซักนิด แล้วค่อยฟังเพราะแนวแบบเธอออกจะเป็นแบบว่า ถ้าไม่ชอบไปเลยก็คงจะเกลียดไปเลยหละครับ