ได้รับความเอื้อเฟื้อแผ่น
CD จาก Universal Music, Warner Music, EMI, Sony BMG, Platinum, United Home Entertainment,Virtuoso, Smallroom, S.stack กีตาร์ไทยขอขอบพระคุณอย่างสูง
Artist : Alanis Morissette Album : Jagged Little Pill Styles : Acoustic Label : Warner Music
อัลบัมชุดนี้ไม่ใช่อัลบัมชุดใหม่ของเธอแต่อย่างใด แต่เป็นอัลบัมที่นำเพลงชุดแรกของเธอ Jagged Little Pill มาทำใหม่ในเวอร์ชั่นอะคูสติกยกชุดและเป็นการเรียบเรียงดนตรีร่วมไปถึงการบันทึงเสียงใหม่หมด สาเหตุที่ทำอัลบัมชุดนี้ใหม่อีกครั้งก็เพราะเพื่อเป็นฉลองครบรอบสิบปีของอัลบัมชุดนี้ ซึ่งยอดขายของอัลบัมชุดนี้มียอดรวมกันทั้งสิ้น 29 ล้านแผ่นจากทั่วโลก แน่นอนครับตัวเลขขนาดนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยกับศิลปินคนหนึ่งที่ได้มาจากอัลบัมชุดแรก เดิมที่เดียวบทเพลงเหล่านี้เธอได้แต่งเมโลดีและคอร์ดที่มาลองรับได้อย่างยอดเยี่ยมและเป็นเอกลักษณ์ของ Alanis Morissette ได้อย่างชัดเจนและลงตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะนำบทเพลงเหล่านี้มาทำใหม่ในเวอร์ชั่นใหม่ๆจึงเป็นเรื่องง่ายในระดับหนึ่งและก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยากเกินไปสำหรับเธอเลย ดนตรีที่นำมาเรียบเรียงใหม่ต้องบอกเป็นเสียงเดียวเลยครับว่าเยี่ยมมาก All Really I Want ขึ้นมายังออกเป็นไซเคอเดอริกอยู่ ตัดทอนความมันส์แบบเต็มรูปแบบของแบนด์ไปเยอะแต่ทดแทนความมันส์เข้ามาด้วยซาวด์ที่ค่อยๆสร้างอารมณ์ขึ้นมา You Oughta Know เพลงนี้เปลี่ยนไปจากเดิมไปเยอะมากๆ เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลย เดิมเป็นเพลงที่ทำให้คนกระโดดรู้สึกมันส์ไปกับบทเพลงได้อย่างดีเยี่ยม มาครั้งนี้กลายเป็นเพลงลอยๆแต่เต็มไปด้วยลูกเล่นและความเท่ห์ของเพลงอะคูสติก Prefect เพลงนี้สมบูรณ์แบบเลยครับอย่างชื่อเพลง เดิมทีเป็นเพลงช้าที่เพราะมากๆอยู่แล้ว การที่มาทำเป็นเวอร์ชั่นอะคูสติกจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยครับ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบครับ Hand In My Pocket การเล่นปิ๊กกิ้งของเพลงนี้มีเสน่ห์อย่างแรง ส่วนหนึ่งก็มาจากคอร์ดที่วางไว้อย่างดีเยี่ยมอยู่แล้ว ในส่วนโซโล่ของฮาร์โมนิก้าร์ที่เป็นเอกลักษณ์ ดั้งเดิมของเพลงนี้ยังคงมีเหมือนเดิมครับ Forgiven เพลงช้าที่มาแบบลอยๆเคว้งๆและเพิ่มสำเนียงของกีต้าร์โซโล่ในแบบแขกๆเข้าไป You Learn เพลงอะคูสติกสบายๆ ไม่รีบไม่ร้อนอะไรมาก ยิ่งใส่ภาคดนตรีแบบสบายๆเข้าไปยิ่งสร้างความรื่นรมย์ให้กับหูได้อย่างดีครับ Ironic อินโทรขึ้นมาด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอยิ่งสร้างให้เกิดอาการขนลุก ตัวเพลงนั้นเป็นเพลงดังอยู่แล้วดังนั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เพราะอย่างแน่นอน สิ่งที่ Alanis Morissette ทำในอัลบัมชุดนี้อาจจะไม่ถึงขนาดกับเปลี่ยนทุกอย่างจนจำไม่ได้แต่เธอสามารถสร้างเสริมเติมแต่งส่วนที่ขาดหายไปให้กับเพลงของเธอในเวอร์ชั่นอะคูสติกได้เป็นอย่างดี และคำเดียวที่บอกได้คือเธอทำเพลงในอัลบัมนี้ได้สมบูรณ์แบบจริงๆครับ
Artist : Venom Album : The Seven Gates Of Hell (Sigles 1980 – 1985 ) Styles : Metal / Black Metal Label : Platinum
หากเอ่ยชื่อของวง Venom แล้วก็คงต้องบอกเลยว่า พวกเขาเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ที่สร้างแรงบัลดาลใจให้กับวงรุ่นต่อๆมาให้เกิดแนว Black Metal รวมไปถึง Thrash อย่างมากมายในฝั่งยุโรป และใครจะเชื่อว่าวงดนตรีอย่าง Venom จะเป็นวงที่มาจากเมือง New Castle ในประเทศอังกฤษนั่นเอง พวกเขาเป็นวงดนตรีที่เล่นกันเพียง 3 ชิ้นเท่านั้นเอง อาจจะมีหลายๆคนสงสัยว่าแล้วมันจะแน่นเหรอ บอกได้คำเดียวเลยครับว่าแน่นครับไม่มีรู้รั่วออกมมาเลยครับ ซัดกันแบบทั้งเร็วและแรงและหนักแน่น และอัลบัมชุดนี้ก่อนหน้านี้เคยรวมฮิตออกมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 1986 และนำมาปั้มขายใหม่ เพราะความแรงของวงนั่นเอง โดยที่เพลงเหล่านี้เป็นซิงเกิ้ลดังๆจาก 4 อัลบัมในยุคสมาชิกดั้งเดิมของพวกเขานั่นคือ Welcome To Hell ปี 81 , Black Metal ปี 82 , At War With Satan ปี 84 และ Possessed ปี 85 เพลงที่รวมมานั้นมีทั้งหมด 16 เพลงด้วยกัน และทุกเพลงที่เคยได้รวมเอาไว้ตั้งแต่ครั้งสมัยโน้น เหมือนกับปัจจุบันทุกอย่างจะมีความแตกต่างก็อยู่ตรงที่ การเรียงเพลงที่ไม่เหมือนเดิมเท่านั้น และอีกจุดที่สามารถดึงดูดแฟนเพลงของพวกเขาได้ดีก็คือมีการเพิ่มเพลงแบบโบนัสแทร็คเข้าไป เป็นเพลงที่เล่นตอนแสดงสด ซัดกันแบบเมดเล่ 3 เพลงรวด หากใครที่ชอบ Metallica ในยุคที่ยังเล่นแทรชอยู่ก็น่าจะชอบพวกเขาได้ไม่ยาก เพราะยังไงซะพวกเขาก็เป็นต้นแบบให้ Metallica เหมือนกันครับ และอีกอย่างก็เป็นบทเพลงที่หาฟังได้ยากยิ่งในบ้านเรา 1. In League With Satan 2. Live Like An Angel, Die Like A Devil 3. Blood Lust 4. In Nomine Satanas 5. Die Hard (12" version) 6. Acid Queen 7. Bursting Out 8. Warhead (12" version) 9. Lady Lust 10. Seven Gate Of Hell 11. Manitou (12" version) 12. Dead Of The Night 13. Woman 14. Nightmare (12" version) 15. Satanachist 16. F.O.A.D. Hell At Hammersmith EP 17. Witching Hour 18. Medley : Teacher's Pet/Poison/Teacher's Pet
Artist : Yourcodenameis : Milo Album : Ignoto Styles : Rock Label : Universal Music
เป็นยังไงบ้างครับเจอแค่เพียงชื่อวงเข้าไปรู้สึกเหมือนผมกันบ้างหรือเปล่าครับ แบบเกิดอาการงงขึ้นมาอย่างกะทันหัน ว่าชื่ออะไรเนี่ยะทำไมช่างยาวเช่นนี้ แต่ในส่วนของชื่อชุด Ignoto นั้นมาจาภาษาอิตาเลี่ยนครับแปลว่า ผมไม่รู้ นั่นเองครับ สิ่งแรกที่ผมรู้สึกได้จากอัลบัมชุดนี้คือ เริ่มต้นจากปกมันช่างดูน่าค้นหายังไงก็ไม่รู้ ทั้งภาพผู้ชายนั่งอยู่เหมือนกับคนโรคจิตที่ดูจะไม่ใส่ใจต่อสิ่งรอบข้างรวมถึงใครซักคนที่ใส่ชุดแดงเหมือนกับนอนตาย ที่ผมบอกว่าน่าสนใจก็คือมันไม่มีอะไรที่จะบอกได้เลยว่า เพลงของวงนี้ออกมาเป็นแนวไหน สิ่งที่ผมคาดเดาก็คือมันเหมือนกับงานเพลงทดลองครับ ถ้ายังนั้นเราลองมาดูกันครับ งานเพลงของเขาเป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่ผมติดเลยครับ งานเพลงและแนวคิดแหวกออไปจาวงทั่วไป พวกเขาเป็นวงที่ทำงานทดลองครับ และยิ่งได้เห็นชื่อของโปรดิวเซอร์ยิ่งชัดเจนเลยครับ การที่ได้ Flood มาร่วมทำงานในชุดนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเลยครับกับงานเพลงทดลอง เพราะตัวของ Flood นั้นเดิมที่ทำงานคู่กับ Nine Inch Nail ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าชอบทำอะไรแปลกๆโดยเฉพาะเรื่องของซาวด์ I Am Connecting Flight เพลงแรกที่ทำออกมาได้กระแทกหูคฟังได้ดีจริง ซาวด์โอเวอร์ไดร์แบบแตกอ้วนๆผสมกับเสียงร้องที่สำเนียงแปลกๆเหมือนบ่นร่วมไปถึงกลองและเบสและซาวด์ต่างๆที่ออกมากึ่งอินดัสเตรียล สร้างอารมณ์กดดันให้คนฟังได้ดีเยี่ยม Rapt.. Dept. ขึ้นมากึ่งๆฮาร์ดคอร์ ทุกอย่างมาแบบอินดัสเทรียลหลอนๆ Schteeve ริฟขึ้นมาด้วยเสียงที่จูนสายต่ำมากๆ มันดูอึดอัดๆเมื่อร้องขึ้นมาแบบลอยๆเหมือนกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ดนตรีกลับพยายามเล่นให้ออกมาหลอนและเครียด Fivefour อินดัสเทรียลดีๆนี่เองครับ แต่จังหวะเนิบๆ แต่สร้างความกดดันและเครียดได้อย่างดี ต่อด้วย Yesterday’ Head ที่เป็นอินดัสเทรียลที่แรงขึ้นมาอีกนิด 2 – Stone อยากให้ลองนึงถึงพวก Hoobastank หรือ Incusbus แล้วเติมความแรงของซาวด์เข้าไปให้หนักกว่าเดิม ทั้งมันส์ทั้งเท่ห์ครับ The General เพลงมันส์ๆอีกเพลงที่มาแบบน้องๆ Nine Inch Nail ครับ นักร้องแหกปากได้มันส์มาก Audition เพลงช้าแบบอินดัสเทรียลที่สร้างอารมณ์กดดันเป็นการปิดท้ายอัลบัม งานเพลงในชุดนี้หากใครที่เป็นคอเพลงงานทดลองรับรองได้ครับว่าน่าสนใจมาก ละอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจมากที่เป็นข้อมูลที่นอกเหนือจากการที่บอกว่าใครชื่ออะไรและเล่นตำแหน่งอะไร มันก็คือข้อมูลที่ได้บอกว่าอุปกรณ์ที่ใช้ของแต่ละคนมีอะไรบ้าง อ่านแล้วต้องบอกเลยครับว่าสุดยอดจริงๆ รายชื่ออุปกรณ์นั้นแต่ละคนยาวเป็นหางว่าวเลยครับ ยังไงก็ตามวงดนตรีวงนี้เป็นวงที่น่าสนใจอย่างแรงเลยครับทั้งไอเดียและการทำเพลงครับ
Artist : The All American Rejects Album : Move Along Styles : Rock Label : Universal Music
ต้องยอมรับเลยว่าวงที่มาแรงในตอนนี้ในอเมริกาก็คงหนีไม่พ้นวงที่ที่ว่า The All American Rejects นั่นเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้ง 4 เคยมีอัลบัมออกมให้ฟังกันแล้วถึงสองชุดด้วยกัน และครั้งนี้เขาก็กลับมาพร้อมกับวัตถุดิบใหม่ๆให้ฟังกันถึง 12 เพลงรวมโบนัสแทร็คอีกเพลง สไตล์เพลงของพวกเขาก็เป็นร็อกแบบไฮสคูล ที่ผสมเอาความเป็นป็อปเข้าไป Dirty Little Street เพลงออกเป็นพั้งค์ร็อกบวกอัลเทอร์เนทีพสนุกๆ Move Along น่าสนใจที่เดียวครับกับเพลงนี้ น่าจะเป็นเพลงฮิตอย่างแน่นอน เมโลดีติดหูเอามากๆ ท่อนฮุคทำได้เยี่ยม It End Tonight เพลงช้าที่เริ่มต้นด้วยเสียงเปียโนเหงาๆกับเสียงร้อง ก่อนที่จะรอเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆค่อยๆตามเข้ามา และเปลี่ยนมาใช้เสียงริทึ่มด้วยเสียงแตกด้วยพาวเวอร์คอร์ดและสาดเสียงยาวในท่อนฮุค การที่มีเสียงของคีย์บอร์ดทำให้เพลงนี้ดูดีขึ้นเยอะเลยครับ การเรียบเรียงท่อนของเพลงก็ทำได้เยี่ยม โดนแน่นอนครับ Night Drive ไอเดียเพลงนี้เยี่ยมมากครับ ยืมเอาจักตบมือของการเชียร์กีฬามาเป็นจังหวะของกลอง 11:11 PM เพลงเร็วเท่ห์ๆอีกเพลงที่พร้อมมันส์ตอนเล่นสดเลยคราบ Top Of The World เริ่มต้นอินโทรด้วยกีต้าร์ฟลามิงโก้ ก่อนจะเร่งจังหวะเร็วขึ้นมา Strait Jacket Feeling เพลงช้ากึ่งๆอะคูสติก เหงาๆเพลงนี้หากนำไปเล่นรับรองได้เรียกเสียงกรี้ดได้อย่างมหาศาลเลยครับ Can’t Take It เป็นเพลงที่แจ๋วมากๆครับ มีการใช้เสียงพวกเครื่องสายจากคีย์บอร์ดมาเล่นรองรับ เสียงร้อง และตามมาด้วยเปียโน หากทำให้เต็มที่ด้วยเครื่องดนตรีที่สมบูรณ์แบบจะเป็นเพลงโปรเกสซีพที่เยี่ยมมากๆครับ พวกเขาอาจจะไม่ใช่วงที่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก็สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงแนวเพลงที่แตกต่างไปจากวงในแนวๆนี้ได้อย่างดีเยี่ยมครับ
Artist : Obituary Album : Frozen In Time Styles : Metal / Death Metal Label : Sony BMG
Artist : Various Artist Album : Killer Queen A Tribute To Queen Styles : Rock Label : Sony BMG
คำว่า “ร็อกไม่มีวันตาย “ คงเป็นคำที่ใช้ได้อย่างถูกต้องอย่างแน่นอนครับ ดูได้จากอัลบัมชุดนี้ได้เลยครับว่างานเพลงร็อกชั้นยอดไม่มีวันตายไปจากโลกนี้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีอัลบัมที่สดุดีให้กับวงร็อกที่ขึ้นหิ้งเป็นวงระดับตำนานอย่าง Queen อย่างแน่นอน งานชุดนี้ได้ศิลปินรุ่นหลานมาร่วมสดุดีอย่างมากมาย โดยที่ศิลปินเหล่านี้ยังคงไว้ซึ่งความเป็น Queen อย่างเต็มที่ อาจจะมีบ้างในการที่ใส่ความเป็นตัวของศิลปินแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ตัวบทเพลงที่ต้นฉบับทำไว้บิดเบียวไปจากเดิมเลย ดังนั้นที่จะเปลี่ยนก็คงจะเป็นเรื่องของสำเนียงการร้องของศิลปินซะมากกว่า รายชื่อเพลงและศิลปินก็มีดังนี้ครับ Stone Cold Crazy – Eleven , Tie Your Mother Down – Shinedown , Bohemian Rhapsody – Constantine , Bohemian Rhapsody - Flaming Lips เพลงนี้ทั้งสองเวอร์ชั่นไม่ค่อยมีความแตกต่างกันซักเท่าไหร่,Who Wants To Live Forever - Breaking Benjamin , Crazy Little Thing Called Love - Josh Kelley , 39 - Ingram Hill , Sleepin' On The Sidewalk - Los Lobos , Killer Queen - Sum 41 , Good Old Fashioned Loverboy - Jason Mraz , Death On Two Legs – Rooney, Under Pressure - Joss Stone สาวเสียงดีที่ร้องเพลงนี้อย่างมีพลัง, We Are The Champions - Gavin DeGraw เขาร้องเพลงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ออกสำเนียงอาร์แอนด์บี , Play The Game - Jon Brion , Bicycle Race - Be Your Own Pet อัลบัมชุดนี้เป็นอัลบัมที่ให้บรรยากาศของความเป็น Queen เอาไว้ให้กับคนรุ่นหลังได้ฟังกัน อาจจะมีอยู่สองอย่างที่ต่างไปจากเดิมก็คือ ซาวด์ที่บันทึกใหม่แบบทันสมัยขึ้นและตัวนักร้องที่ไม่ใช้ Freddy อีกแล้วครับ
Artist : The Starting Line Album : Base On A True Story Styles : Rock Label : Universal Music
ครั้งแรกที่เห็นอัลบัมชุดนี้เกิดอาการงงอยู่เหมือนกันครับว่า นี่มันอัลบัมเพลงหรือว่าหนังหรือว่าจะเป็นซาวด์แทร็กกันเนี่ยะ เพราะคอนเซปต์ทั้งหมดมันเกี่ยวกับหนังเลยครับ นับตั้งแต่ชื่อวงและชื่อชุด หลังจากที่ค่อยๆเปิดกล่องดูแล้วเริ่มต้นฟังเพลง พวกเขาก็เป็นวงดนตรีในแนวพั้งค์นั้นเอง พวกเขาเป็นวงในสไตล์ที่ใกล้เคียงกับพวก New Found Glory หรือ Eve 6 , Brink 182 และพวกพั้งก์ทั้งหลาย การทำเพลงของพวกเขานั้นนับว่าเป็นเพลงที่ทำออกมาได้ดีทีเดียว คือสามารถทำออกมาได้ให้เป็นพาณิชย์ศิลป์ครับ พวกเขาสามารถทำงานเพลงให้ออกมาเป็นป็อปและพั้งค์ที่ผสมกันอย่างลงตัว เมโลดีในเพลงแต่ละเพลงใช้ได้เลยครับไม่ว่าจะเป็นเพลง The Inspires By $ , Bedroom Talk , Autography , The B-List ,The World และไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำเพลงเร็วซะหมดแต่ก็ยังมีเพลงช้าอีกด้วย เช่น Ready เพลงอะคูสติกในช่วงต้นที่ทำสัดส่วนของเพลงได้น่าสนใจที่เดียว หรือเพลงเท่ห์ๆอย่าง Photography เป็นต้น งานเพลงของพวกเขาไม่ถึงขนาดว่าเป็นเพลงที่ดียอดเยี่ยม แต่เป็นเพลงที่ฟังเอาสนุกๆแบบวงพั้งก์ไฮสคูล แต่ว่าเขาก็ทำได้ดีว่าวงพวกนั้นแน่ๆครับ
Artist : Miles Davis Album : The Very Best The Early Year Styles : Jazz Label : EMI
บอกตามตรงเลยครับว่าเมื่อได้เห็นอัลบัมชุดนี้รู้สึกถึงความโชคดีของคนฟังอย่างยิ่งที่จะได้มีโอกาสได้ฟังผลงานจากนักดนตรีแจ็สที่ทุกคนต่างยอมรับว่าเป็น Prince Of Jazz เพราะโดยทั่วไปแล้วส่วนใหญ่เราจะได้ยินผลงานจากเขาในยุคกลางและยุคปลายๆซะมากกว่า แต่งานในยุคแรกนั้นเรียกว่าหาฟังได้ยากมากๆ และครั้งนี้ถือว่าเป็นความโชคดีมากๆที่ทางต้นสังกัดใหญ่อย่าง Blue Note ได้รวบรวมงานเพลงของศิลปินแต่ละคนในค่ายออกมาเป็นซีรี่ย์ ส่วนของ Miles นั้นเป็นงานในยุคแรกของเขา หากใครที่ได้ฟังงานของ Miles มาบ้างจะเห็นว่าทุกครั้งที่เขาออกอัลบัมใหม่ๆนั้น เขามักจะมีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นทั้งการเล่นและการเขียนเพลง และยิ่งหากได้มาฟังงานในชุดนี้ประมาณช่วงที่ Miles เริ่มออกจากการเป็นลูกวงเพื่อมาเป็นนายวงเองนั้น จะเห็นถึงความพัฒนาอย่างที่ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันสมองและความคิดของคนๆหนึ่งจะสามารถเปลี่ยนโลกของเพลงแจ็สได้มากขนาดนี้ และผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ได้ฟังเพลงในแบบสวิงนุ่มๆที่ Miles อิมโพรไวส์ผ่านออกมาจากตัวโน็ตได้เยอะเช่นนี้ (ยุคหลังๆ Miles เน้นอิมโพรไวส์น้อยๆ และเลือกใช้เมโลดีเพราะๆ) รายชื่อเพลงของอัลบัมชุดนี้ก็มี Move ,Boplicity ,Deception , Chance It ,How Deep Is The Ocean , Dear Old Stockholm , Tempus Fugit , C.T.I , It Never Enter My Mind , Weirdo และ Something Else สิ่งหนึ่งที่กล้าบอกได้เลยครับว่า ตัวโน็ตทุกๆตัวและเพลงของไมล์ทุกเพลงและทุกยุคมีคุณค่าทางการศึกษาอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่มีคำกล่าวจากนักดนตรีหลายๆคนว่างานของ Miles นั้นยิ่งใหญ่อย่างมาก และหากอยากศึกษาประวัติศาสตร์ดนตรีแจ็สตั้งแต่สวิงยันไปจนถึงฟิวชั่นหรืออวังการ์ดรวมถึงฮิพฮอพคุณสามารถหาฟังได้จาก Miles Davis ครับ
Artist : Lou Rawls Album : The Very Best Styles : Jazz / Soul / Blues Label : EMI
แน่นอนครับนักร้องในสายแจ็สที่ทุกๆคนต่างให้การยอมรับว่าเป็นนักร้องที่ดีที่สุดและไม่มีทางปฎิเสธถึงคำกล่าวนี้ได้เลย เขาคนนั้นคือ Frank Sinatra และในส่วนของนักร้องในสายที่ออกเป็นเพลงร่วมสมัยที่นำแนวต่างๆมาผสม ก็คงหนีไม่พ้น Lou Rawls อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้รับรางวัลจากนิตยสาร Down Beat อย่างแน่นอน งานเพลงในอัลบัมชุดนี้นั้นเป็นงานเพลงในซี่รี่ย์เดียวกันกับ Miles Davis นั่นเอง ในส่วนของเรื่องการร้องเพลงของ Lou Rawls นั้นเชื่อถือและไว้ใจได้อย่างแน่นอนครับ แต่ที่มีจุดหนึ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ เรื่องของผู้ที่เขามาร่วมงานด้วยนั้นเองปรือคนที่มาเล่นแบ็กอัพให้ ก็จะมีทั้งในสายแสตนดาร์ดและสายของฟิวชั่นครับ ไม่ว่าจะเป็น Herb Ellis , Ralph McDonald , Boby Watson ,Stanley Turrentine , Steve Khan ,Joe Lavano เป็นต้น ได้เห็นแค่ชื่อของผู้ร่วมงานก็สุดยอดแล้วครับ เพียงแค่นี้ก็สามารถดึงดูดนักฟังเพลง ได้อย่างดีเยี่ยม บทเพลงชั้นเยี่ยมหลายๆเพลงที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็มาจาก Lou Rawls นั่นแหละครับ และการรวมเพลงครั้งนี้นั้นก็ได้รวมเพลงที่เพราะของเขาไว้ถึง 12 เพลงด้วยกัน (อาจจะดูน้อยไปซักนิด กับศิลปินระดับขนาดนี้) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเชื่อได้เลยครับว่า คุณจะได้ฟังบทเพลงอันไพเราะที่ทาง Blue Note คัดมาไว้ให้แล้วครับ และรายชื่อเพลงในชุดนี้ก็มี Southside Blues / Tobacco Road , Your Good Thing (Is About To End ) You Can’t Go Home No More , At Last , Room With A View , Don’t Let Me Be Misunderstood , All Around The World , This Bitter Earth , Good Morning Blues ,A Lover’s Question , I Just Want To Make Love To You , Sweet Slumbe
Artist : Marilyn Scott Album : Nightcap Styles : Jazz / Smooth Jazz Label : Platinum
หากพูดถึงนักร้องในสายแจ็สยุคปัจจุบันที่ได้ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการก็คงจะหนีไม่พ้น Daina Krall , Norah Jones , Natalie Cole อย่างแน่นอน แต่ยังมีอีกคนที่ถือว่ามาแรงอยู่พอสมควร อาจจะไม่ถึงขนาดที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงแต่เธอก็สามารถพิสูจน์ให้คนฟังเห็นได้ว่าเธอก็เป็นตัวจริงบนถนนสายนี้เช่นกัน งานชุดนี้เป็นงานที่ถือได้ว่าพิเศษอย่างยิ่งเลยที่เดียว เพราะจากแค่เพียงเห็นชื่อของโปรดิวเซอร์และนักดนตรีที่มาร่วมเล่นให้ในอัลบัมชุดนี้แล้วน่าสนใจครับ เริ่มต้นจากตัวของแม่งานโปรดิวเซอร์ก่อนครับ ได้มือเปียโนและคีย์บอร์ดในสายฟิวชั่นที่ฝีมือจัดจ้านอย่างยิ่งมาคุมตำแหน่งนี้ให้เธอครับ เขาก็คือ George Duke และนอกจากที่ดูแลตำแหน่งนี้แล้วเขาก็ยังเข้ามาร่วมเล่นอีกด้วย อีกคนที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั่นคือ Brian Bromberg ที่มาเล่นเบส ดังนั้นอัลบัมชุดนี้ของเธอจึงออกมาเป็นสไตล์สมูธแจ็สและแสตนดาร์ดที่ฟังได้เรื่อยๆ ไม่ได้โชว์ความหวือหวาแต่เน้นไปที่คำว่า “เพราะ” มากว่า โดยความคิดของผมแล้วผมว่าเธอร้องแสตนดาร์ดจัดๆได้อย่างสบายๆครับ น้ำเสียงเป็นตัวรองรับให้อยู่แล้วครับ อัลบัมชุดนี้เป็นการนำเพลงเก่ามาร้องใหม่ You Don’t Know What Love Is เพลงเก่าในแบบเพลงช้าบัลลาด ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่กึ่งอาร์แอนด์บีและให้ออกมาดูซับซ้อนมากขึ้นในเรื่องของทางคอร์ด เธอเองก็ร้องออกมาแบบเน้นอารมณ์ แต่มีอีกจุดที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือเสียงร้องของผู้ชายที่เข้ามาร่วมร้องคู่ด้วย เขาร้องได้แบบเนื้อเสียงแบบคนดำเนื้อๆเน้นๆ วิธีเอื้อนเสียงและเล่นลูกคอทำได้ยอดเยี่ยมมากครับ เรียกว่างานนี้แย่งซีนจากเธอไปอย่างง่ายดาย The Look Of Love เพลงแสตนดาร์ดที่ Daina Krall นำกลับมาร้องใหม่ในแบบแจ็สจนฮิตทั่วบ้างทั่วเมือง ครั้งนี้ทำมาทำใหม่ในแบบที่เป็นป็อปขึ้นซึ่งการเรียบเรียงในครั้งนี้ออกจะฉีกจากแบบเก่าๆออกไปซักหน่อย I Wish On The Moon บอสซาโนว่าเย็นๆ ดูจะเหมาะกับเธอ Here’s That The Rainy Day จากเดิมที่เป็นบอสซาโนว่า ครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็นป็อปแจ็สแบบบัลลาด Stardust เป็นบัลลาดที่ติดจังหวะชัดเฟิลแบบบลูส์ Yesterday คนละเพลงกับของ The Beatles นะครับ เป็นเพลงแสตนดาร์ดที่ดังมากๆ และเธอก็ร้องมันได้อย่างดูมีเสน่ห์น่าค้นหาทีเดียว If It’s The Last Thing I Do เริ่มต้นด้วยบัลลาดเย็นๆ ก่อนจะขยับจังหวะขึ้นมาเป็นจังหวะปานกลาง เพราะมากครับ Jazz Ain’t Nothin’ But Soul ตัวเพลงนี้เป็นสวิงจังหวะกลางๆ ตัวเพลงดูน่าสนใจก็เพราะเธอร้องเมโลดีไปพร้อมกับไลด์เมโลดีของแซ็กโซโฟน และคอยมีเปียโนเล่นคอร์ดลองรับอยู่ข้างหลัง โดยรวมแล้วเอกลักษณ์เสียงร้องก็มีทางเป็นของตัวเอง แต่ยังมีบางส่วนและบางครั้งที่ออกจะดูเหมือน Daina Krall ไปซักนิด แต่จากการฟังทั้งอัลบัมแล้ว อัลบัมชุดนี้เป็นแจ็สที่ฟังเพื่อความเพราะและผ่อนคลายอารมณ์สำหรับยุคนี้อย่างดีเยี่ยมครับ เพราะไม่ได้มีความยากเกินกว่าคนธรรมดาจะฟังได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอยกความดีความชอบให้กับโปรดิวเซอร์เต็มๆครับ
Artist : Willie Nelson Album : Country Man Styles : Reggae Label : Universal Music
เดิมที่เดียวคุณลุงหน้าตาใจดีสไตล์ชาวไร่ชาวสวนจะทำงานเพลงออกมาเป็นคันทรี่หรือว่าบลูส์ซะมากกว่า แต่ครั้งนี้ไม่รู้นึกสนุกหรือเบื่อสิ่งเดิมๆที่ตัวเองได้สร้างไว้อย่างยิ่งใหญ่หรืออย่างไร จึงหันมาหางานเรียบๆสบายๆในสไตล์เร็กเก้แต่ก็ยังไม่วายที่ยังใส่สำเนียงของความเป็นคันทรี่เขาไปด้วย 11 บทเพลงในอัลบัมชุดนี้มาในจังหวะเร็กเก้ ส่วนอีกเพลงนั้นเป็นคันทรี่สบายๆ หลายๆคนที่เป็นโรคฟังเพลงจังหวะเดียวนานๆอย่างเร็กเก้ไม่ได้ อัลบัมนี้ไม่เหมาะกับคุณอย่างแน่นอนครับ เพราะทุกเพลงออกมาฟิลใกล้กันมาก สไตล์เขียนเพลงและทำเพลของเขาจะต่างจาก Bob Marley ใครที่เคยได้ฟัง Bob Marley มาก่อนอาจจะรู้สึกว่าสู้ Bob ไม่ได้ แต่ส่วนตัวผมแล้วกลับมองว่า Willie Nelson ทำเพลงแบบรุ่นใหญ่ที่มีมุมมองและชั้นเชิง Do You Mind Too Much เพลงที่มีจังหวะเฉียดๆสกา จังหวะและเนื้อเพลงน่ารักมากครับ How Long It Forever ,Darkness On The Face Of The Earth ,I Guess I’ve Come To Live Here ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่ฮาวายครับ แบบลมเย็นที่พัดเรื่อยๆ เสียงคลื่นและแสงแดด Something To Think About อินโทรขึ้นมาบอกเลยครับว่า โครตเท่ห์เลยครับ เมโลดีก็ทำได้เยี่ยม เพลงในสไตล์เร็กเก้ในบ้านเรานั้นนับว่าหาฟังได้ยากจริงๆ และทุกๆครั้งที่มีอัลบัมประเภทนี้ออกมาผมเองก็มักจะบอกอยู่เสมอว่า ช่วยๆกันอุดหนุนเถอะครับเพราะจะได้มีงานประเภทนี้ออกมาให้ฟังกันอีกเยอะๆ และอัลบัมชุดนี้ก็เป็นตัวเลือกในแนวเร็กเก้ที่น่าฟังมากๆอีกหนึ่งชุดครับ
Artist : Bond Album : Explosive The Best Of Bond Styles : Contemporary Classic Label : Universal Music
ก่อนหน้านี้ที่มีแต่คนมักจะมองว่าเพลงคลาสสิกนั้นช่างเป็นเรื่องที่ฟังยากและน่าเบื่อ และต่อมาก็ได้มีศิลปินที่เริ่มปฎิวัติเพลงคลาสสิกขึ้นมา ซึ่งเป็นการนำเพลงคลาสสิกมาเรียบเรียงใหม่ให้ดูร่วมสมัยมากขึ้นจนทำให้เพลงคลาสสิกกลับมานยมในกลุ่มคนฟังวงกว้างขึ้น โดยการนำจังหวะของดนตรีสไตล์ต่างมาผสมผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งครั้งนั้นต้องยกคำขอบคุณให้กับ Vanessa Mae เป็นอย่างยิ่ง และจากเหตุการณ์ครั้งนั้นนับว่าเป็นใบเบิกทางให้กับวงรุ่นน้องที่ได้โปรดิวเซอร์คนเดียวกันเข็นผลงานออกมา นั้นก็คือสี่สาววง Bond นั้นเอง และต้องยอมรับเลยว่าคลื่นลูกใหม่แรงกว่าลูกเก่าอย่างมาก บทเพลงของ Bond นั้นเรียบเนียงและทำออกมาดูลึกลับและน่าค้นหา ทุกตัวโน็ตพร้อมที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับคนฟังอยู่เสมอ และครั้งนี้ Bond จึงนำบทเพลงที่ฮิตจากอัลบัมของพวกเธอคัดมาแล้วว่าเป็นที่สร้างชื่อ นำมารวมกันถึง 12 เพลงด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Victory ที่มาแบบเวอร์ชั่น Mike Batt Mix หรือ Viva , Explosive Caravan เพลงแสตนดาร์ดแจ็สที่นำมาเล่นใหม่ได้อย่างมันส์ Carmina , Gypsy Rhapsody , Fuego เป็นต้น นอกจากบทเพลงเหล่านี้แล้วยังมีสิ่งพิเศษทางวงแถมมาให้ด้วยนั่นคือ DVD ที่รวมเอามิวสิควีดีโอของเธอเอาไว้ถึงสามเพลงด้วยกันนั่นคือ Explosive , Fuego และ Viva และก็ยังมีข้อมูลจำพวกผลงานของเธอรวมไปถึงรูปภาพสวยๆให้เลือกดูกันด้วยครับ นับว่าเป็นอัลบัมรวมเพลงที่น่าเก็บสะสมและฟังกันเป็นอย่างยิ่งครับ
Artist : Season Album : In Season Styles : Classic Label : Platinum
ระยะหลังๆมานี่วงดนตรีประเภทคลาสสิกที่เล่นด้วยผู้หญิงล้วนนั้นส่วนใหญ่จะมาเป็นแนว contemporary ซะส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น Bond , 12 Girls Band (วงจากจีนที่นำเครื่องดนตรีจากประเทศตนมาเล่นเพลงคลาสสิกบางเพลง) หรือ Wild เป็นต้น ซึ่งแทบจะไม่มีวงที่เรียกตัวเองว่าเป็นคลาสสิกแบบดั้งเดิมเลย และครั้งนี้เราก็ได้มาเจอกับ 5 สาวจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มาเล่นเพลงในแบบคลาสสิกดั้งเดิมไม่มีการทำเพลงแบบร่วมสมัยแต่อย่างใด พวกเธอสี่คนได้เล่นเครื่องดนตรีที่ถนัดในสายของตนได้แก่ โคซู ฮายาชิ เล่น ไวโอลีนตัวนำ , ไมโกะ คาวามูระเล่นไวโอลีนลำดับที่สอง , ชุน โทโมดะ เล่นวิโอร่า ,โยชิ ฟูรูคาว่าเล่น เชลโล่ และคนสุดท้ายที่ไม่มีรูปอยู่บนปกไม่รู้ว่าทำไม ไอ อิโซจิม่า เล่น คีย์บอร์ด ซึ่งนอกจากพวกเธอแล้วก็ยังมีแขกรับเชิญที่เขามาร่วมเล่นเครื่องสาย และเพอร์คัสชั่นสนับสนุนให้อีกด้วย เพลงส่วนใหญ่ในอัลบัมชุดนี้จะเป็นเพลงเก่าๆของนักประพันธ์เพลงที่โด่งดังมาก จนทำให้เพลงดังไปด้วย สาเหตุส่วนหนึ่งก็คือเมโลดีที่ไพเราะนั่นเอง The Four Seasons for Seasons ส่วนใหญ่เพลงนี้คนจะรู้จักเพียงแค่เมโลดีในท่อนแรก เพราะตามงานต่างๆรวมไปถึงเพลงที่ใช้ประกอบสินค้าทั้งหลายมักจะนำเมโลดีในท่อนนี้ไปใช้ แต่จริงๆแล้วบทเพลงนี้เป็นบทเพลงชั้นครูที่ไพเราะมากๆ มีหลากหลายอารมณ์ในเพลงเดียว I Was Born To Love You ฟังแล้วขนลุกครับนับตั้งแต่เมโลดีท่อนแรกที่บรรเลงแบบเดียวไวโอลีน เพราะมันเพราะมาก ก่อนที่จะเริ่มเร่งจังหวะขึ้นมาเล็กน้อย แต่ยอมรับเลยว่าเมโลดีเพลงนี้ติดหูมากๆ จากเพลงก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเพราะแล้วครับ เจอเพลงบอสซาโนว่าเก่าแก่จากบลาซิลอย่าง Manha De Carnival from “ Orphe Nergo “ เข้าไปจะยิ่งสุดยอดครับ เดิมที่เดียวเพลงนี้เมโลดีทั้งเพราะทั้งเหงาเลยครับ ยิ่งนำเล่นกับเครื่องสายแล้วยิ่งเพราะเข้าไปใหญ่ หากใครนึกไม่ออกลองย้อนภาพกลบัไปตอนงาน workshop ของ Kiko ซิครับที่มีอยู่ตอนหนึ่งเขาเล่นเพลงในสไตล์บลาซิลโชว์ทั้งคอร์ดและเมโลดี นั่นแหละครับก็คือเพลงนี้นั้นเอง Toccata In 21ST Century เพลงนี้อาจจะทำให้คอเพลงที่ชื่นชอบ Yngwie ให้มาสนใจกันบ้าง เพราะเพลงนี้ก็เป็นเพลงดังอีกเพลงของท่าน Bach เพลงต่อมา Mission Impossible เพลงthemeประกอบหนังที่ดังมากๆ นำมาเล่นในแบบเครื่องสายล้วนๆ ได้เสน่ห์ไปอีกแบบ Theme from “Winter Sonata” เพลงนี้ใครที่เป็นแฟนเพลงหนังเกาหลีทางช่อง ITV คงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเพลงนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งเหงาและเศร้า สรุปสั้นๆว่า “เพราะ” นั้นเอง Placer D’Amor เพลงนี้มีการนำเมโลดีมาผสมกับเพลง Can’t Help Falling In Love มาใช้ด้วย ก็ฟังเพลินๆดีครับ ประมาณว่าสามารถกล่อมให้หลับได้อย่างง่ายดาย Seasons เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการฟังเพลงคลาสสิกแบบเริ่มต้น เพราะเมโลดีและความซับซ้อนของบทเพลงนั้นไม่ยากเกินไปสำหรับผู้ที่เริ่มต้นฟังเพลงแนวนี้ และอีกอย่างอัลบัมชุดนี้สามารถช่วยคุณในการฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายได้อย่างดีเยี่ยม
Artist : Various Artist Album : Song Bird Styles : Easy Listening / Jazz Label : Universal Music
Artist : Eric Benet Album : Hurricane Styles : R&B Label : Warner Music งานเพลงจากชุดนี้ครั้งแรกที่เริ่มเปิดฟัง สิ่งที่รู้สึกได้คือเขาคนนี้น่าจะรับอิทธิผลมาจาก Baby Face มาอย่างเต็มๆแน่นอน ทั้งน้ำเสียงและวิธีการร้องรวมไปถึงสำเนียงคือใช่เลยครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะครับ งานเพลงของเขาทำออกมาดีทีเดียวครับ ฟังเรื่อยๆสบายหูครับ เริ่มเพลงแรก ด้วย Be Myself Again เพลงอาร์แอนด์บีอะคูสติกใสๆ Pretty Baby เริ่มมาเป็นอาร์แอนด์บีเสียงออดอ้อนนุ่มๆ Hurricane เพลงนี้โดนอย่างแรง เป้นเพลงช้าที่มีท่อนฮุคติดหูเลยครับ Where Does The Love Go เร่งจังหวะขึ้นมานิดเป็นอาร์แอนด์บีที่ติดกลิ่นของละตินและฟังค์กี้ My Prayer เพลงช้าเหงาๆ ซึ่งเขาร้องได้ดีมากๆ เค้นเอาอารมณ์ผ่านออกมาจากน้ำเสียงได้เยี่ยมครับ India เพลงนี้น่าสนใจอย่างแรงครับ เริ่มจากทางคอร์ดและเมโลดีที่ทำได้อย่างลงตัวมากๆ และยิ่งได้เสียงไม้กลองที่เป็นแส้รวมไปถึงเสียงของกีต้าร์อะคูสติก จนไปถึงเสียงเครื่องเป่าที่เล่นโซโล่ให้ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงอาร์แอนด์บีที่ไมธรรมดาครับ โดยเฉพาะเรื่องของทางคอร์ดที่ไม่มีศิลปินอาร์แอนด์บีทำมาก่อนแน่นอนครับ The last Time มาแบบบัลลาดแจ็สสบายๆ Making Love เพลงอะคูสติกสบายๆจังหวะชัตเฟิลที่ใช้เทคนิคอะแคปเปร่าร่วมด้วย I Wanna Be Love อาร์แอนด์บีเย็นๆที่แสดงถึงความเป็นอารืแอนด์บีอย่างแท้จริง 14 เพลงในอัลบัมชุดนี้หากตีเป็นคะแนนตามความคิดของผมที่มีต่อคนฟัง ผมให้เต็มที่เลยครับ 10 เต็ม 10 เป็นงานเพลงที่ละเมียดละไมมากๆ และเป็นอีกหนึ่งอัลบัม ที่เต็มไปด้วยเพลงเพราะๆ สรุปง่ายๆครับถ้าต้องการเพลงเพราะเย็นๆต้องฟังชุดนี้แหละครับ
Artist : Mariah Carey Single : We Belong Together Styles : R&B Label : Universal Music
สำหรับศิลปินเมืองนอกทั้งหลาย ส่วนใหญ่เมื่อออกอัลบัมใหม่ซักชุด เขาจะออกอัลบัมเต็มมาก่อนแล้วหลังจากนั้นจะมีเพลบงที่ตัดเป็นซิงเกิ้ลตามออกมาให้ฟังกัน เช่นเดียวกับเจ้าแม่เสียงสวรรค์แนวอาร์แอนด์บีอย่าง Mariah Carey ครั้งนี้เธอได้เลือกเอาเพลง We Belong Together ที่เป็นเพลงช้าแนวอาร์แอนด์บีผสมจังหวะของฮิพฮอพซักเล็กน้อยเข้าไป ตัดมาเป็นซิงเกิ้ลให้ฟังกัน เพลงนี้เป็นเพลงฮิตอีกเพลงจากอัลบัมชุดใหม่ของเธอ The Emancipation Of Mimi โดยที่เพลงนี้จะมีทั้งหมด 6 เวอร์ชั่น มีเพลงที่เป็นออริจนัลอยู่หนึ่งและอีกห้าก็เป็นเวอร์ชั่นรีมิกซ์ในแบบต่างๆ ซึ่งในแต่ละเวอร์ชั่นทำออกมาฉีกจากต้นฉบับบที่เย็นๆฟังเรื่อยๆ มาเป็นเพลงที่คู่ควรกับการเปิดฟลอร์เต้นรำอย่างยิ่ง งานเพลงประเภทซิงเกิ้ลเป็นงานเพลงที่เหมาะกับการเก็บซะสมหรือว่าจะเป็นพวกที่ชอบอะไรที่มีหลายๆเวอร์ชั่นหรือไม่อย่างนั้นก็เป็นพวกแฟนพันธุ์แท้ครับ
Artist : Crazy Frog Album : Crazy Hits Styles : Dance Label : Warner Music