Main Menu
 Home หน้าแรก
 login / สมาชิก
 BuyerBook
 รายการ TV
  คอร์ด / เนื้อเพลง
  วีดีโอ คลิป
  Webboard
  Classifieds
  ข่าวสารดนตรี
  Review & ทดสอบ
  งานคอนเสิร์ต
  บทความดนตรี
  Cools Links
  Artist Gear
 
  About Us

 Music News :     ประจำวันที่ 6 ก.ค. 2005   6 ก.ค. 48    
ได้รับความเอื้อเฟื้อแผ่น CD จาก Universal Music, Warner Music, EMI, Sony BMG, Platinum, United Home Entertainment,Virtuoso, Smallroom, S.stack กีตาร์ไทยขอขอบพระคุณอย่างสูง


Artist : John Scofield
Album : Play The Music Of Ray Charles
Style : Jazz
Label : Universal Music

สำหรับมือกีต้าร์คนนี้ผ่านงานมาก็หลากหลายรูปแบบเช่นกัน ชนกีต้าร์กับนักดนตรีชั้นเซียนก็หลายครั้ง ตั้งแต่ง่ายไปยันงานหินๆ กลับมาครั้งนี้ John ย้อนกลับมาหาความเรียบง่ายกับศิลปินที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาอย่าง Ray Charles
ดังนั้นเพลงในอัลบัมชุดนี้จึงเป็นงานเพลงที่เขาชื่นชอบของ Ray มาทำและเรียบเรียงใหม่ในสไตล์ของเขาและนอกจากนี้เขาก็ยังมีนักดนตรีรับเชิญหลายๆคนมาร่วมเล่นกับเขาด้วย ถ้าอยากรู้ว่าเป็นใครบ้างต้องติดตามกันครับ
หลายๆเพลงในชุดนี้แม้ว่าจะเป็นเพลงของ Ray Charles ที่มีแนวทางเป็นบลูส์ซะส่วนใหญ่ แต่นั้นก็ไม่ใช้ปัญหาของเขาเลย ชุดนี้เขากลับทำทุกอย่างให้เรียบง่ายไม่หวือหวา Busted เพลงออกสไตล์บลูส์ติดกลิ่นคันทรี่เพลินๆดีครับ What I Say เพลงละติดมันๆที่ไม่ค่อยได้ฟังจากเขาซักเท่าไหร่ Sticks And Stones มาแล้วครับเพลงฟั้งก์มันๆอย่างที่เขาถนัด และก็ไม่ผิดหวังจริงๆครับ I Don’t Need No Doctor มาแล้วครับเพลงเอกในชุดนี้เลยก็ว่าได้ ในภาคเสียงร้องและร่วมเล่นกีต้าร์ด้วย เขาได้หนุ่มฝีมือดีในตอนนี้มาร่วมเล่นครับนั้นคือ John Mayer หาฟังยากมากครับในการที่เขาทั้งสองจะมาดวลกีต้าร์กันอย่างในตอนท้ายเพลง I Can’t Stop Lovin You เพลงบลูส์เพราะๆที่ได้ นักร้องสาวเสียงดีอย่าง Mavis Staples มาร้องให้ Hit The Road Jack เพลงบรรเลงออกบิ๊กแบนด์ เพลงนี้ถือว่าเป็นเพลงที่ดังมากๆ Talkin’ Bout You / I Got A Woman มาเป็นคันทรี่จังหวะสนุกๆ You Don’t Know Me เพลงบัลลาดหวานๆที่ได้นักร้องเสียงดีอย่าง Aaron Neville มาร้องให้ หลับแน่นอนครับ Georgia On My Mind เพลงเก่าแก่ที่มีการนำไปเล่นอยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้เขานำมาเป็นกรู๊ฟรองรับการโซโล่ของเขา จริงๆแล้วอัลบัมชุดนี้ไม่ต้องพูดอะไรมากก็เป็นเรื่องที่นะนักฟังเพลงทุกคนต้องให้ความสนใจกับเขาคนนี้อยู่แล้วครับ แค่ได้ยินชื่อ John Scofield รองรับ งานชิ้นนั้นไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน




Artist : Shakira
Album : Fijacion Oral Vol.1
Style : Pop / Rock
Label : Sony BMG

นับตั้งแต่อัลบัมชุด Laundry Services ที่ได้รับการต้อนรับและประสบความสำเร็จอย่างสูงถึงขั้นที่ส่งให้ตัวเธอกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์อย่างทันทีทันใด และการกลับมาครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นการที่เธอกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเธอ โดยที่เพลงในชุดนี้ทั้ง12 เพลงนั้นเธอได้แต่งเป็นภาษา.... อีกทั้งยั้งได้โปรดิวเซอร์มือดีอย่าง Rick Rubin มาทำงานด้วย
En Tus Purpilas เพลงแรกเปิดอัลบัมเป็นเพลงช้าเรื่อยๆลอยๆนิดๆ เมโลดีเพราะมากครับโดยเฉพาะตรงที่มีเสียงร้องที่ร้องประสานกัน La Pared เพลงที่เร่งจังหวะจากเดิมอีกนิดนึง เพลงนี้ผมว่าแสดงถึงตัว Shakira ได้อย่างชัดเจน La Tortura เพลงโปรโมทที่ถูกตัดเป็นซิงเกิ้ลแรกให้ได้ฟังกัน ดูเหมือนว่าเธอจะฉีกแนวทางเดิมๆของเธอเคยทำไว้ Obtener Un Si เพลงสไตล์บอสซาโนว่าเย็นๆ อาจแปล่งหูไปบ้างเล็กน้อยก็ตรงที่สำเนียงร้องของเธอที่แตกต่างจากเพลงบอสซ่าทั่วๆไป แต่ก็เพราะมากครับ Dia Especial เพลงป็อปเรื่อยๆ แต่ท่อนโซโล่ตรงกลางทำให้เพลงดูโดดเด่นขึ้น Escondite Ingles เพลงร็อกมันๆที่เธอถนัด เสียงร้องที่เค้นๆได้อารมณ์ร็อกดีครับ อาจจะแปลกหูก็ตรงภาษาที่ใช้ในเพลงครับ Las De La Intuicion มาเป็นเทคโนเลยครับแปลกที่สุดจากคอนซ็ปต์ในอัลบัมแล้วครับ Lo Imprescindible เพลงชิลๆบนพื้นฐานของบลูส์ร็อก เรียบเรียงเพลงได้เพราะทีเดียว La Pared เวอร์ชั่นอะคูสติก เพราะกว่าเวอร์ชั่นธรรมดาตั้งเยอะครับ เพราะมีแค่เสียงร้องและเปียโน La Tortura เป็นเวอร์ชั่น Shaketon Remix เป็นแด้นส์ไปเลยครับ เหมาะอย่างยิ่งในการเปิดตามเทค หากใครที่เคยได้ฟังเธอจากอัลบัมชุดที่แล้วจะเห็นได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเธอและเร็วๆนี้เตรียมพบกับ Vol .2 ประมาณช่วงปลายปีนี้น่าจะได้ครับ




Artist : Ella Fitzgerald & Louis Armstrong
Album : Ella Fitzgerald & Louis Armstrong For Lover
Style : Jazz
Label : Universal Music

มาอีกแล้วครับซีรี่ย์อัลบัม For Lover แต่การรวมเพลงครั้งนี้นับว่าเป็นการรวมเพลงที่พิเศษอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะหาอัลบัมที่สุดยอดนักร้องอย่าง Ella Fitzgerald และ Louis Armstrong ที่ได้เคยร้องคู่กันไว้ในอดีตเพื่อที่จะฟัง ยังไงครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมที่ทางต้นสังกัดจะรวมเพลงอีกครั้ง
11 เพลงในอัลบัมชุดนี้บอกได้คำเดียวเลยครับว่าเยี่ยมมากๆ ทั้งเรื่องของดนตรีและเรื่องของร้องนั้นหายห่วง และน้อยครั้งที่เราจะได้ฟัง Louis Armstrong ร่วมอิมโพรไวส์ด้วย ทุกเพลงก็เหมือนเดิมครับยึดคอนเซปต์ว่าเป็นเพลงช้าหวานๆเย็นๆ ซึ่งรับรองได้เลยว่าเป็นแผ่นที่สามารถนั่งฟังได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นเลยครับ เพลงแสตนด์ดาร์ดชื่อดังหลายๆเพลงถูกนำมาบรรเลงในแบบที่เป็นเขาทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็น The Nearness Of You (เพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ถูกนำไปคัพเวอร์ใหม่อยู่หลายรอบด้วยสาเหตุเดียวเลยคือ “เพราะ”) Dream A little Dream Of You โดยธรรมดาเพลงนี้เราจะได้ยินเป็น Louis ร้อง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนความรู้สึกอย่างสิ้นเชิงเพราะได้เสียงนุ่มๆจาก Ella มาร้อง Moonlight In Vermont และ Autumn In New York เป็นเพลงบัลลาดเพราะๆ โดยเฉพาะเพลงหลังที่เพราะมาก จริงๆแล้วในอัลบัมชุดนี้จะแบ่งเพลงร้องไว้ให้ทั้งคู่ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่ร้องคู่กันซะมากกว่า ทุกอย่างในอัลบัมชุดนี้เป็นไปด้วยความเรียบง่ายแต่ไพเราะ เป็นอัลบัมที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพรับรองได้ว่าหากคุณรักแจ็สอัลบัมชุดนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน




Artist : Marc Moulin
Album : Entertainment
Style : Acid Jazz
Label : Universal Music

สำหรับนักดนตรีท่านนี้ผ่านงานมาเยอะมากๆมีอัลบัมมาก็เยอะเช่นกัน หลังจากทดลองเล่นอะไรต่ออะไรมาเยอะแยะ สุดท้ายเขาก็หันสู่ตัวตนจริงๆนั้นก็คือสไตล์ Acid Jazz นั่นเอง
ตลอดระยะเวลาเกือบๆสามสิบปีน่าจะได้ เขาก็เป็นนักดนตรีที่ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าในสไตล์นี้ แต่เราไม่ค่อยจะได้รู้จักชื่อเขาซักเท่าไหร่เพราะส่วนหนึ่ง Marc มักจะหากินอยู่ฝั่งยุโรปซะมากกว่า และเป็นธรรมดาที่เป็นเรื่องยากสำหรับงานเพลงจากยุโรปจะถูกอิมพอร์ตเข้ามาให้เราได้ฟังกัน
สำหรับอัลบัมชุดนี้ต้องถือว่าเป็นความโชคดีของเราเพราะ Marc กลับมาเซ็นสัญญากับค่าย Blue Note ก็เลยเป็นโอกาสที่เราจะได้ฟังเพลงของเขา 11 เพลงในอัลบัมชุดนี้เป็นเอซิดแจ็สซาวด์ล้ำๆ เท่ห์ๆ จังหวะชิลๆ ฟั้งกี้ ใส่ส่วนผสมของอิมโพรไวส์ซักเล็กน้อย เน้นไปที่ทรัมเป็ต ไม่ว่าจะเป็นเพลง Silver (Who Stole The Groove) , Preface , Irony ,Le Grand Voyage ,Where Is It ให้ความรู้สึกเหมือนกับเพลงของ Miles ยุคหลังๆที่เป็นเอซิด นอกจากนี้ยังมีมิวสิกแถมมาให้ดูกันอีกด้วย ในเพลง Silver เป็นมิวสิกสไตล์ยุโรปแท้ๆครับ และยังมีบทสัมภาษณ์ของ Marc Moulin เกี่ยวกับทำงานเพลงในชุดนี้อีกด้วยครับ งานเพลงแหวกๆอย่างนี้นับว่าเป็นงานเพลงที่หาฟังได้ยากพอสมควรในบ้านเรา หากใครสนใจเอซิดแจ็สเท่ห์ๆอัลบัมชุดนี้รองรับความต้องการของคุณอย่างแน่นอน




Artist : Static-X
Album : Start A War
Style : Rock / Punk
Label : Warner Music

กลับมาแล้วครับกับวงที่สุดๆกับความหนัก 13 เพลงในอัลบัมชุดนี้เต็มไปด้วยความหนักแน่นและเอกลักษณ์เดิมๆอย่างที่เคยเป็น แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตัดทอนซาวด์อินดัสเทรียลลงไปเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่มือกีต้าร์คนเก่าอย่าง Koichi Fukada ได้กลับมาร่วมทำงานอีกครั้ง
เพลงในอัลบัมชุดนี้อย่างที่บอกว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หลายๆเพลงยังคงอยู่ในแนวทางเดิม ประมาณว่าเป็นการผสมผสานระว่าง Korn และ Rob Zombie และเพิ่มเติมสัดส่วนของอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปบ้างเหมือนอย่างเคย แต่ซาวด์กีต้าร์และวิธีการร้องฟังยังไงมันก็คือน้องๆ Korn ดีๆครับประมาณรุ่นของ Coal Chamber ฟังได้จากเพลง The Enemy , I’m The One เพลงนี้ร้องได้มันส์มากๆ ,Start A War เริ่มต้นมาเป็นอิเล็กทรนิกส์ก่อนที่จะสำรอก ยิ่งเข้าท่อนฮุคนี่สุดยอดครับ พี่แกสำรอกได้มันมาก, Skinny Man ลดดีกรีความแรงลงมานิดหน่อย ออกเป็นฮาร์ดคอร์ทั่วๆไป Night Terrors มาแบบ Korn อีกแล้วครับแต่ก็ยังมันอยู่ Brainfog ผมว่าพวกเขามาในแบบนี้คือใช่ความเป็น Static-x ในแบบป็อปครับและเป็นภาคที่ตัดทอนความหนักลง แต่ยังทิ้งความเก๋าของไอเดียการทำเพลงไว้อยู่ ผมของเรียกว่าเป็น Progressive Techno ละกันครับ แต่เจ๋งมากๆ หากจะบรรยายออกมาก็คงเหมือนกับ Dream Theater ผสมกับดนตรีเทคโนยังไงยังงั้น สำหับใครที่คิดถึง Korn หรือว่าเป็นคนที่ชอบเพลงในแนวๆนี้หรืออาจจะเป็น สาวกเดิมๆของพวกเขาก็น่าจะถูกใจกับอัลบัมชุดใหม่ชุดนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย




Artist : Finch
Album : Say Hello To Sunshine
Style : Rock / Punk
Label : Universal Music

ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยออกอัลบัมมาแล้วหนึ่งชุด และชุดนี้ก็เป็นชุดที่สองที่มากันอย่างต่อเนื่องเพลงของพวกเขาเป็นจำพวกพั้งก์ที่อัดความเป็นฮาร์ดคอร์เข้าไปอยู่ด้วย โดยเฉพาะเสียงร้องในบางเพลงออกเป็นแทร็ชเมตัลแบบ Pentera ซะด้วยซ้ำ ความหนักแน่นจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าวงพั้งก์ทั่วๆไปอย่างแน่นอน
Insomniatic Meat มีกลิ่นแบบวงร็อครุ่นใหม่ในอเมริกา การเรียบเรียงเพลงดีทีเดียวครับ เพลงอยู่ในบีทกลางๆแต่เรียกความมันส์ได้ดี แค่เพลงแรก Nate Barcalowนักร้องนำก็ใส่เสียงร้องไม่ยั้งแล้วครับ Revelation Song เพลงมันส์ๆเท่ห์ๆ ฟังวิธีร้องจากเพลงนี้แล้วทำให้นึกถึงวิธีร้องแบบ Nuno ในอัลบัมเดี่ยวของเขาเลยครับ ท่อนกลางเพลงสำรอกเสียงได้สะใจมากๆครับ สะใจกันต่อกับ Brother Blood Brother เพลงกึ่งๆฮาร์ดคอร์ แต่ความรู้ก็ไม่ค่อยต่างจากเพลงก่อนหน้าซักเท่าไหร่ A Piece Of Mind และ Fireflion สองเพลงนี้หากจะบรรยายออกมาก็บอกได้เลยครับ อย่างแรกคือเท่ห์ดีครับ อย่างที่สองคือมันเหมือนกับเพลงของ Hoobastank ครับ A Man Alone เป็นเพลงที่ขายไอเดียเจ๋งอย่างหนึ่งคือมีการนำเอาจังหวะแบบร็อคแอด์โรลแบบโบราณมาผสมกับร็อกสมัยใหม่ Ravenous เพลงในโทนเดียวกับ A Piece Of Mind และ Fireflion แต่ดูว่าจะมันกว่าครับออกเป็นฮาร์ดคอร์นิดๆด้วยครับ The Castket Of Roderick Usher เพลงที่อาจจะออกมาไม่เป็นมนุษย์กว่าเพลงอื่นๆในอัลบัม พี่แกโชว์เสียงร้องในมันส์มากๆครับน่าจะจับไปร่วมงานกับพวก Pentera จังครับ 14 เพลงในอัลบัมชุดนี้แสดงถึงความชอบของพวกเขาที่มาจากหลากหลายสไตล์และทำให้เห็นว่าพั้งก์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยึดติดในรูปแบบเดิมๆ มันสามารถทำอะไรได้อีกเยอะความจริงแล้วถ้าพวกเขาเน้อนเรื่องของกีต้าร์โซโล่เข้าไปให้มากๆก็น่าจะเป็นวงรุ่นใหม่ที่น่ากลัวและน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง




Artist : Four Of A Kind II
Album : Four Of A Kind II
Style : Jazz / Fusion
Label : Platinum

Four Of A Kind เป็นวงเฉพาะกิจที่รวมเอานักดนตรีในสายแจ็สชื่อดังเอาไว้สี่คน หนึ่งในนั้นก็คือ Masato Honda มือแซ็กโซโฟนชื่อดังของญี่ปุ่น หากเอ่ยชื่ออย่างนี้บางคนอาจจะยังไม่รู้จักว่าเขาคนนี้เป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าบอกชื่อวงประจำที่เขาอยู่ที่ชื่อว่า T – Square หลายๆคนคงจะร้องอ๋อขึ้นมาทันที นั่นแหละครับคือที่มาที่ไปและแล้วที่มาของวงนี้ก็คือมือเบสเป็นคนรวบรวมเพื่อนในตำแหน่งอื่นๆอย่าง กลองและคีย์บอร์ดมาร่วมแจมกัน ฟังดูแล้วคล้ายโปรเจ็คของ Four Play อยู่เหมือนกัน
ทั้งหมดจึงมาร่วมทำเพลงด้วยกันจึงออกมาเป็น 10 เพลงให้ได้ฟังกันนี่แหละครับ ก่อนหน้านี้หากใครที่เคยฟัง T – Square มาจะทราบดีเลยว่าวงนี้เป็นวงฟิวชั่นแจ็สที่เล่นได้ความรู้สึกที่แข็งเหลือเกิน แต่ถ้าได้ลองฟังอัลบัมชุดนี้จะเห็นถึงความแตกต่างจาก T – Square อย่างสิ้นเชิงเลยครับ ส่วนตัวแล้วผมว่าอัลบัมชุดนี้ฝีมือหรือการเรียบเรียงเพลงสามารถชนกับฝรั่งๆได้เลยครับ ตัวอย่างที่เห็นชัดเลยก็คือแทร็คที่ห้า Upward Mobility ทุกอย่างมาแบบฝรั่งเลยครับ อิมโพรไวส์ก็เยี่ยมครับ นึกถึงอัลบัมชุด Joint At The Hip ของ Bob James & Kirk Warlum ที่เคยออกมานานพอสมควรแล้วครับ หรือจะเป็นเพลง Get Up ‘N’ Go ก็เป็นฟั้งก์เนิบๆเจ๋งดีครับ เพลง Dubai และ Long Wrong Way เป็นฟิวชั่นเจ๋งๆเลยที่เดียวครับโดยเฉพาะเพลงหลังนี่ถ้าเล่นเอาด์ไซด์เยอะอีกนิดเพิ่มความโหดกว่านี้อีกหน่อย จะมันส์กว่านี้อีกครับ เพราะริทึ่มเป็นตัวรองรับความมันส์ของเพลง เพียงแต่รอไลด์อิมโพรไวส์มันส์แค่นั้นแหละครับ Chouette เพลงช้าๆออกอาร์แอด์บีนิดๆ Summer Soft เพลงจังหวะติดแซมบ้านิดๆ ฟังได้เรื่อยๆเพลินๆจนถึงหลับเลยครับ เปียโนเล่นเพราะที่เดียว ยิ่งต่อด้วย Jerash ยิ่งหลับสนิทครับเพราะเป็นบัลลาดนุ่มๆ สิ่งที่ผมสังเกตุได้จากอัลบัมนี้ที่ออกมาดูอินเตอร์เช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ได้บุคลากรที่มีฝีมือและบวกกับแนวคิดที่ออกเป็นฝรั่งด้วย จึงทำให้ได้ผลงานดีๆออกมาฟัง ผมว่าถ้าหากได้ลองฟังอัลบัมชุดนี้ น่าจะชอบ Masato Honda ขึ้นมาอีกเยอะเลย เผลอๆอาจจะลืม T – Square เลยด้วยซ้ำครับ




Artist : Yoshitaka Minami
Album : Romantico
Style : Pop Jazz
Label : Platinum

สำหรับงานชุดนี้นั้นเจ้าของผลงานได้กล่าวไว้ว่าการที่เขาได้ทำอัลบัมชุดนี้นั้น เพลงทุกเพลงที่ได้แต่งออกมาล้วนมาจากแรงบัลดาลใจที่ได้ฟังจากศิลปินต่างๆอย่างมากมายในช่วงวัยเด็ก ดังนั้นงานเพลงที่เขาถนัดก็หนีไม่พ้นป็อปแจ็สอย่างแน่นอน
13 เพลงในชุดนี้เป็นเพลงป็อปแจ็สฟังสบายๆ ในสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ในเรื่องของวิธีการร้องนะครับ ก็ถือว่าเป็นเพลงที่น่ารักและฟังสบายมากๆ
เนื่องจากเพลงเกือบทั้งอัลบัมนั้นเขาได้ใช้ชื่อเพลงเป็นภาษาญี่ปุ่นจึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าเพลงนี้เกี่ยวกับอะไรครับ แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ครับ แทร็คแรกเริ่ด้วยเพลงฟังสบายๆดนตรีออกไปทาง ฮาวายนิดๆได้เสียงของเบนโจเข้ามาเลยทำให้เพลงดูมีเสน่ห์ขึ้นเยอะเลยครับ แทร็คที่สองเร่งจังหวะขึ้นมาอีกนิด แทร็คที่สามผมขอเรียกเพลงนี้ว่าเป็นเพลงบรรเลงแล้วกันครับ แม้ว่าจะมีร้องเข้ามาด้วยแต่ก็นิดหน่อย เป็นเพลงบรรเลงที่ฟังแล้วน่าหลับจริงๆ มีเสียงเปียโนกับดนตรีเบาๆ แทร็คหกกับเพลง Maria Maria ในสไตล์ละตินสนุกๆ แทร็คที่แปดบอสซ่าโนว่าเย็นๆ แทร็คสิบเอ็ดเพลงนี้เป็นเพลงช้าที่เมโลดีติดหูดีจริงๆครับ เป็นเพลงขายได้ไม่ยาก แทร็คสิบสองป็อปแจ็สหวานๆกล่อมให้หลับอีกแล้วครับ ที่ผมได้เลือกมาเขียนบางส่วนก็เพราะเพลงเหล่านี้มีคาเเร็คเตอร์ที่ชัดเจนว่าออกเป็นแจ็ส และเขาก็ทำมันได้ดีซะด้วยนอกนั้นก็เป็นเพลงป็อปที่ได้กลิ่นอายแบบแจ็สเข้าไปผสม หากคุณชองเพลงสบายๆออกโรแมนติกนิดๆอย่างชื่อของอัลบัมชุดนี้ที่บอกเอาไว้ รับรองได้ว่าอัลบัมชุดนี้ไม่น่าผิดหวังครับ




Artist : Body Rockers
Album : Body Rockers
Style : Emo Punk / Retro
Label : Universal Music

ดูเหมือนว่ากระแสดนตรีในยุคปัจจุบันนี้คงต้องยกให้กับฝั่งอังกฤษและยุโรปเลย สำหรับแนวดนตรียุคใหม่ที่มักจะเน้นไปที่การนำเอาอิเล็กทรอนิกส์มาผสมกับร็อกโดยเฉพาะพั้งก์ก็เลยกลายเป็นที่มาของสไตล์ Emo Punk และ Retro Punk อย่างเช่นสองหนุ่มที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั้งในบ้านเขาเองและในยุโรปอย่าง Body Rockers
เพลงของเขาเรียกได้ว่าตามคลับต่างในอังกฤษต่างก็ต้องเปิดเพลงของเขาด้วยกันทั้งนั้น ด้วยแนวดนตรีที่ทั้งสามารถเต้นรำก็ได้หรือจะมันส์ในแบบร็อกก็ได้ เพลงก็จะมีทั้งการนำซาวด์อิเล็กทรอนิกซ์หรือว่าพวกมิกซ์มาผสมกันให้ดูยุ่งเหยิง หากใครนึกไม่ออกว่าเพลงของเขาเป็นอย่างไร หาฟังได้จากวง Futon หรือ โดม ชุดใหม่ครับ หลายๆเพลงเรียกว่าเปิดมามันส์ได้ทันทีครับไม่ว่าจะเป็น I Like The Way ,You Got Me Singing ,Round And Round ,Dirty เพราะว่ามีสัดส่วนของความเป็นแด้นส์เยอะหน่อย For One Night Only ผมชอบเพลงนี้ที่สุดในชุดแล้วครับเพราะว่า มีความเป็นฟั้งกี้ผสมอยู่ จังหวะไม่หนักมากพอโยกได้ จริงๆแล้วน่านำไปเป็นเพลงเปิดตัววงมากกว่า Keeps Your Boots On มาแบบ L.A ร็อกยุค 80 ประมาณ Motley Crue , Gun ‘n Roses แต่ยังไม่หนักมาก ยังไงก็ตามสไตล์เพลงของพวกเขาก็จะออกมาประมาณว่าเป็นลูกผสมนั่นแหละครับ และสไตล์นี้ก็กำลังมาแรงอยู่ทีเดียว ไม่แน่อนาคตดนตรีในค่ายเมืองไทยอาจจะหันมาทำเพลงแนวนี้ก็เป็นไปได้ครับ เลยต้องมีสโลแกนว่า ถ้าไม่อยากตกยุต้องหันมาฟังสไตล์นี้ครับ




Artist : Green Day
Album : American Idiot
Style : Rock / Punk
Label : Warner Music

จริงๆแล้วอัลบัมชุดนี้เคยออกมาให้แฟนๆได้ฟังกันไปทีหนึ่งแล้ว แต่อันเนื่องมาจากสาเหตุที่ขายดิบขายดีมาก ดังนั้นทางวงก็เลยเหมือนเป็นการตอบแทนแฟนๆอีกครั้งด้วยการนำอัลบัมชุดนี้มาขายอีกรอบและก็เพิ่มความพิเศษเข้าไป ก็ตรงที่มีวิซีดีแถมมาให้ด้วยครับ
ดังนั้นแน่นอนครับอัลบัมชุดนี้ก็เลยได้ชื่อว่าเป็น Special Edition ครับ และสำหรับแฟนๆที่ได้ซื้ออัลบัมชุดนี้ไปก่อนหน้านี้ ผมก็ขอแสดงความเสียดายแทนด้วยครับ แต่ถ้าหากคุณเป็นแฟนตัวจริงของวงนี้ก็ซื้อเพิ่มเถอะครับเพราะว่าคุ้มอย่างแน่นอน
เอาหล่ะครับสำหรับแฟนเพลงที่รู้จักพวกเขา ก็คงรู้แนวทางว่าเป็นพั้งก์และยิ่งชุดนี้ก็ทวีความเป็นพั้งก์ที่ดิบมากกว่าเดิมแต่ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นป็อป เพลงเด็ดๆในอัลบัมชุดนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น American Idiot อย่างแน่นอนส่วนเพลงอื่นที่ดังตามมาก็จะมี Holidays และ Boulevard Of Broken Dreams ซึ่งหลายๆคนก็พอที่จะทราบกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะเพลงหลังนี้ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมือง ดังนั้นผมจะขอไปพูดถึงตรงส่วนของวีซีดีแล้วกันนะครับ
ในวีซีดีจะแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกันนั่นคือ ส่วนแรกจะเป็นเรื่องของการพาไปดูเบื้องหลังการเตรียมงานทั้งหมดในการถ่ายมิวสิคหรือว่าจะเป็นเรื่องของที่พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสนุกๆ มีบทสัมภาษณ์ถึงแนวทางหรือวิธีคิดกับงานชิ้นนี้จากทีมงานหลายๆคน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยออดเยี่ยมมากสำหรับคนที่รักพวกเขา และส่วนที่สองก็จะเป็นมิวสิควีดีโอที่ถ่ายออกมาได้ภาพสวยๆให้เราดูถึงสองเพลงด้วยกัน Holidays และ Boulevard Of Broken Dreams ยังไงซะก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับคนที่ได้ครอบครองอัลบัมชุดนี้ไปก่อนหน้านี้ครับ แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ซื้อก็คงต้องแสดงความดีใจด้วยครับที่คุณกำลังจะได้ของดีๆที่ออกมาเพราะการตลาดล้วนๆครับ





Artist : Nelly
Album : Sweat Suit
Style : Hip Hop / R&B
Label : Universal Music

ความจริงแล้วอัลบัมชุดนี้เคยออกมาก่อนหน้านี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ออกเป็นอัลบมคู่กันโดยแบกเป็น Sweat จะเป็นเพลงเร็วออกเป็นฮิบฮอปมันส์ๆ บีทกระชากนิดหน่อย ส่วน Suit จะเป็นฮิบฮอปเจืออาร์แอนด์บีเย็นๆ ได้บรรยากาศอย่างรูปในปกนั่นแหละครับที่สามารถฟังในยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสี
อัลบัมทั้งสองชุดถือว่ามาแรงพอสมควร แม้ว่าอัลบัมชุดคู่สองแผ่นจะออกมานานแล้วแต่ยังเป็นที่นิยมอยู่ นั่นก็คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทางต้นสังกัดตัดสินใจที่จะรวมเพลงจากอัลบัมทั้งคู่ให้กลายเป็นชุดเดียว เพื่อตอบสนองบรรดาแฟนเพลงทั้งหลาย โดยที่อัตราส่วนจะเป็นดังนี้ เพลงที่นำมาจากอัลบัมชุด Sweat ก็จะมีทั้งหมด 5 เพลงคือ Flap Your Wings , Na-Nana-Na ,Getcha Getcha ,Tilt Ya Head Back ส่วนเพลงที่มาจาก Suit มีถึง 7 เพลงก็คือ My Place ,Play It Off ,Pretty Toes ,She Don’t Know My Name, Nobody Knows, N Dey Say ,In My Life Over And Over
ส่วนตัวผมแล้วผมว่าเพลงในชุดนี้ดูน้อยไปซักนิด แต่ก็เอาเถอะครับเพราะเพลงที่คัดมานั้นก็จัดว่าเป็นเพลงเด่นเพลงดังจากอัลบัมทั้งคู่ครับ แฟนเพลงที่เคยซื้ออัลบัมทั้งสองชุดนั้นบอกได้เลยครับว่าไม่จำเป็นที่ต้องมีชุดนี้อยู่ในครอบครองเพราะเพลงซ้ำอย่างแน่นอน ส่วนคนที่เพิ่งจะหันมาฟังเขา ผมว่าอัลบัมนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับคุณครับ




Artist : Various Artist
Album : Tease The Beat Of Burlesque
Style : Jazz
Label : Universal Music

ผมไม่ค่อยมั่นใจซักเท่าไหร่กับอัลบัมชุดนี้ว่าเป็นการรวมงานเพลงเพื่ออะไร แต่ว่าอย่างเดียวก็คืออัลบัมชุดนี้มีเพลงจากศิลปินชั้นยอดแห่งวงการแจ็สรวมไว้เยอะทีเดียว
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับอัลบัมชุดนี้ก็คือเป็นการรวมเพลงในแนวออก ริทึ่มแอนด์บลูส์ในแบบดังเดิมเอาไว้โดยที่มีกลิ่นอายของแจ็สผสมอยู่แต่ส่วนมากจะเน้นไปที่บลูส์ซะมากกว่า ซึ่งศิลปินที่ถูกรวบรวมไว้ในอัลบัมชุดนี้ที่น่าสนใจอย่างยิ่งเลยก็มี Charlie Parker ที่มากับเพลง Funky Blues ,Barney Kessel มือกีต้าร์ห้องอัดที่งานชุกมากๆในยุคนั้นกับเพลง Honey Rock เพียงแค่เห็นชื่อศิลปินสองท่านนี้ก็สุดยอดแล้วครับ หรือจะเป็นเพลง St. Louis Blues ในแบบต้นฉบับ นอกจากเพลงบรรเลงแล้วยังมีเพลงร้องอีกด้วย
อย่างที่บอกไว้ว่าเพลงส่วนใหญ่จะเน้นไปที่บลูส์เพราะฉะนั้นอัลบัมชุดนี้จึงเต็มไปด้วยซาวด์แบบย้อนยุคในสมัยปี 50 -60 ซึ่งเป็นยุคที่คลาสสิกมากๆและเป็นยุคที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของแนวดนตรีต่างๆ ฉะนั้นอัลบัมชุดนี้จึงเต็มไปด้วยบลูส์แจ็สที่หันหาการอิมโพรไวส์ที่ไม่ซับซ้อนมากจังหวะกำลังพอดี แต่เน้นไปที่ความไพเราะของเมโลดี ดังนั้นอัลบัมชุดนี้จึงเป็นอัลบัมที่น่าสนใจสำหรับนักฟังเป็นอย่างมากครับ




Artist : The Black Eyes Peas
Album : Monkey Business
Style : Hip Hop
Label : Universal Music

ทิ้งห่างจากความมันส์จากอัลบัมชุดที่แล้วยังไม่เท่าไหร่ ก็เข็นอัลบัมชุดใหม่ออกมาให้ฟังกันซะแล้ว กับวงฮิบฮอปที่ร้อนแรงมากในนาทีนี้
16 เพลงในอัลบัมชุดนี้ยังไงซะก็เดาได้เลยว่าหลายๆคนต้องชอบอย่างแน่นอน เปิดมาเจอกับเพลงแรกเลยก็คือ Pump It ดนตรีเพลงนี้เป็นการนำมาจากเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ...... ซึ่งถือว่าดังมากๆ และพวกเขาก็ทำมันได้น่าสนใจทีเดียว Don’t Phunk With My Heart เพลงจังหวะเร่งขึ้นมาหน่อย เมโลที่ผู้หญิงร้องนั้นเจ๋งทีเดียวครับติดสำเนียงแขกๆ ก่อนที่จะลากเข้าเพลงจังหวะฮิบฮอปยาวๆ 5 เพลง และก็เข้ามาเป็นเพลงกึ่งอะคูสติกที่น่าจะถูกใจวัยทีนอย่างแน่นอนกับ Gone Going เพราะเต็มเปี่ยมไปด้วยความป็อป และก็กลับไปสู่ฮิปฮอปอย่างเดิม มีเพลงหนึ่งที่น่าสนใจมากๆครับนั้นคือ English Man In New York เดิมทีเป็นเพลงของ Sting แต่พวกเขานำมาทำใหม่โดยการที่ร้องแร็พแบบพวกเขาและใส่บีทของกลองใหม่และนำไปมิกซ์ร่วมกับเวอร์ชั่นเดิม และเปลี่ยนชื่อเพลงใหม่เป็น Union
อัลบัมชุดนี้ยังคงเป็นงานเพลงฮิบฮอปที่หลายๆไว้วางใจได้เหมือนเดิม ตัวเพลงไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากกับเพลงชุดเก่าๆของเขา ใครที่เป็นคอฮิบฮอปก็ไม่น่าพลาดสำหรับงานเพลงชุดนี้




Artist : Marion Raven
Album : Here I Am
Style : Pop Rock
Label : Warner Music

ก่อนหน้านี้เคยออกมาเป็นคู่ในนาม M2M ซึ่งเป็นวงในแนวป็อป แต่เมื่อเวลาผ่านไปประสบการณ์ที่สะสมมาก็เริ่มมากขึ้นจนสามารถทำงานด้วยลำพังตัวคนเดียวได้ ดังนั้นเพลงที่ได้แต่งเอาไว้ก็จึงถึงเวลาที่จะนำมันออกมาใช้ซะที ก็เลยออกมาเป็นอัลบัมชุดนี้แหละครับ
เพลงของ Marion Raven ในอัลบัมชุดนี้แกต่างจากสมัยที่อยู่กับ M2M อย่างสิ้นเชิง มันมีความหนักแน่นกว่าในเรื่องของร็อกและยังมีความละเมียดละไมในทางดนตรีที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย 14 เพลงในอัลบัมชุดนี้เธอเป็นคนเหมาแต่งทั้งหมด ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่กลายเป็นมาตรฐานไปเรียบร้อยแล้วว่านักร้องสมัยใหม่ควรที่จะโชว์ความเป็นศิลปินของตัวเองออกมา อีกทั้งเธอยังเหมาหน้าที่เปียโนและกีต้าร์รวมไปถึงเรื่องพื้นฐานอย่างการร้องคอรัสให้ตัวเองด้วย
End Of Me ตัวเพลงออกเป็นป็อปซักนิดมีการใช้ซาวด์ของกลองโปรแกรมมาใช้ ในช่วงแรกอาจจะดูออ่นแรงไปหน่อยแต่พอเริ่มเข้าท่อนบี เธอเริ่มแสดงถึงความเป็นร็อกออกมาได้อย่างดี น้ำเสียที่แตกพร้าพร้อมที่จะเข้าท่อนฮุค แสดงให้เห็นถึงความชอบลึกๆที่ถูกสะสมมาเพื่อรอวันปล่อยออกมา Here I Am เพลงช้าที่ตัดเป็นซิงเกิ้ลอีกเพลง ขายได้แน่นอน ท่อนฮุคที่ร้องว่า Here I Am น่าจะทำให้หลายๆคนจำได้เป็นอย่างดี Crawl เพลงจังหวะปานกลางที่น่าจะกลายเป็นเพลงฮิตอีกเพลงได้ไม่ยาก Little By Little เพลงช้ากึ่งอะคูสติก ขั้นกลางเพื่อพักหูซักหน่อย เมโลบางช่วงแปลกดีครับ Get Me Out Of Here เพลงเร็วจังหวะร็อกที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับย้อนไปฟังบรรดาฮาร์ดร็อคในช่วงยุค 80 เพลงต่อมา 13 Days เพลงนี้จัดว่าเป็นเพลงที่เท่ห์ทีเดียว โดยเฉพาะการเรียบเรียงดนตรี และยิ่งใส่ไลด์ของคีย์บอร์ดอยู่ข้างหลังโดยเลือกใช้เสียงคล้ายวงออเคสตร้าเลยยิ่งทำให้เพลงดูน่าสนใจขึ้น For You I’ll Die เพลงช้าที่ให้ความรู้สึกที่เหงาและเศร้าเพลงมีแค่เสียงร้องและเปียโนและเสริมด้วนเสียงคีย์บอร์ดบางๆ Let Me Introduce Myself เร่งจังหวะขึ้นมาสนุกหน่อย เธอร้องได้เท่ห์ดีครับ Head Will Roll ออกเป็นอินดัสเทรียลอ่อนผสมพั้งก์นิดๆ เป็นเพลงที่ทำให้เธอเท่ห์ขึ้นมาอย่างทันทีครับ At The End Of The Days เพลงช้าจังหวะกลางๆ ที่ได้วง Everclear มาร่วมแจม ขายได้แน่นอนครับ Gotta be Kidding เร่งจังหวะขึ้นมาอีกนิดแต่ไม่ถึงกับเร็วมาก ขายท่อนฮุกอย่างเดียวครับ In Spite Of Me เพลงช้าที่ปิดท้ายเหมือนตอนหนังจบ ฟังได้เรื่อยๆเพราะให้ความรู้สึกเย็นๆดีครับ
หลายๆเพลงในอัลบัมชุดนี้ทำให้นึกไปถึงเพลงฮาร์ดร็อกในช่วงยุค 80 อยู่เหมือนกัน และอีกทั้งดูเหมือนว่าเธอจะชอบ Motley Crue เป็นพิเศษ เพราะในปกมีการพูดถึง Nikki Sixx อีกด้วย เราอาจจะเรียกว่าเป็น Alanis Morissette รุ่นเล็กก็ได้ เพราะบางทีการร้องของเธอทำให้พาลนึกถึงอยู่บ่อยครั้ง ยังไงก็เป็นเรื่องที่ดีที่เด็กคนหนึ่งจะสลัดคราบเดิมๆที่ทำเพื่อการตลาดทิ้งเพื่อมาเป็นตัวของตัวเอง




any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket