Music News :
ประจำเดือน กรกฏาคม 2547 Bond, Eamon, JC Chasez, The Corrs, Christina Milian, Gabrielle, Louis Eliot, Sountrack De-Lovely 15 ต.ค. 47
ได้รับความเอื้อเฟื้อแผ่น
CD จาก Universal Music, Warner Music, EMI, Sony BMG, Platinum, United Home Entertainment,Virtuoso, Smallroom, S.stack กีตาร์ไทยขอขอบพระคุณอย่างสูง
Artist :Eamon Album :I Don't Want You Back Lable :BMG
หนุ่มน้อยจากฝีมือการปั้นของป๋าดันอย่าง R.Kelly สำหรับในเมืองไทยของเราอาจจะยังไม่คุ้นชื่อมากนักแต่สำหรับอเมริกาแล้ว เขาเป็นที่รู้จักดีเพราะเขาคอยเล่นเปิดให้กับ Britney ตอนที่ออกทัวร์ สำหรับชุดนี้เปิดตัวได้อย่างสวยงามกับเพลง I don't want you back เพลงช้าที่หลายๆคนคงจะชอบ เพลงในชุดนี้จะเป็นแนว R&B ที่อาจจะผสมผสานของพวก Hip Hop เข้าไปมากหน่อย ส่วนตัวแล้วผมแล้วรู้สึกชอบไอเดียตรงแทร็คแรกที่เป็น Intro ที่ในที่นี้หมายถึง Introduce ที่มีความหมายว่าแนะนำ(ให้รู้จัก)มันเหมือนกับคุณกำลังชมมวยแล้วมีคนขึ้นมาแนะนำนักมวย ผมว่าก็เจ๋งดีนะเพลงที่ผมอยางกจะแนะนำก็คือ I don't want you back (เพลงดัง)ตัวเพลงจะช้าลอยๆลองนึกถึงเพลง Nothing Compare 2 u ของ Sinead O Connor หรือเพลง Finally ที่นำเอาฟังกี้เข้ามาผสมเป็นต้นงานนี้ถ้าไม่ถูกใจโจ๋แก๊ง อิปฮอบก็ไม่รู้จะเอ่ยยังไงแล้ว
Artist :JC Chasez Album :Schizophrenic Lable :BMG
คอเพลงวง Boy Band คงจะคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี เขาคือ อดีตสมาชิกของวงดังอย่าง N'Sync ที่กำลังดำเนินรอยตามรุ่นพี่วง Boy Band อย่าง Robbie Willim, Mark Owen ,Justin และอีกหลายๆคน เพลงในชุดนี้ ตัวของ JC รับหน้าที่แต่งเนื้อเอง และก็มีทั้งหมด 17 เพลง เพราะมีโบนัสแทร็คแถมมาให้ด้วย สำหรับแนวทางที่เขาเลือกเดินก็คือ Pop เป็นแนวหลักแล้วเอาพวกิบฮอบหรือแดนส์เข้าไปผสม ซึ่งอาจจะยังไม่ค่อยหลีกหนีพ้นจากวงเก่าซักเท่าไหร่ อาจจะยังเป็นเพราะเป็นอัลบัมชุดแรกก็ว่าได้ คงต้องรอชุดสองคงจะมีอะไรที่บ่งบอกความเป็นตัวเองได้ชัดเจนมากกว่านี้ เพลงเด่นๆในชุดนี้ที่ผมอยากแนะนำก็คือ เพลงโปรโมทเลยครับ Some Girls (Dance with Women) ถ้าฟังกันจริงๆผมว่าเพลงนี้มีความมันส์ในตัวเองนะครับอาจจะเป็นเพราะเมโลดีร้องก็ได้ Dear GoodBye เพลงช้าๆที่คิดว่าหลายๆคนคงจะชอบส่วนตัวแล้วผมชอบตรงส่วนของดนตรีครับมันฟังแล้วทำให้เพลงมีมิติขึ้นเยอะครับ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้สังเกตุนะครับคือ ความเป็นมาตรฐานของดนตรีเมืองนอก ซึ่ง1พวกเขาเขียนเนื้อเองและทำดนตรีได้ 2 สามารถร้องประสานให้กับตนเองได้ และ3 พวกเขาสามาถร้องสดได้ ถือว่าเป็นมาตรฐานของความสามารถครับ
Artist :The Corrs Album :Borrowed Heaven Label :Warner Music
คงต้องบอกเลยว่าการกลับมาครั้งนี้พวกเขายังคงความไพเราะของเมโลดีและดนตรีไว้ได้อย่างมี มาตรฐานที่สูงพอตัวเลย เพลงแรก Summer Sunshine เพลงที่เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วและเป็นเพลงฮิตอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องกังวล Long Night เพลงช้าที่อลังการมากในส่วนของดนตรีโดยเฉพาะไวโอลีน ผมเชื่อว่าใคร ที่ชอบเพลงช้าแบบThe Corrs จะต้องชอบแน่นอน Good Bye เพลงจังหวะปานกลางแต่ท่อนฮุคติดหู Times Enough For Tears เพลงช้าที่รับเอากลิ่นของ Jazz เข้ามาผสมทำได้ดีเยี่ยมครับ HumDrum เพลงนี้ ร้ายกาจใช่เล่นเพื่อให้ทันยุคและสมัยดังนั้นจึงต้องมีการ mix และมีการใช้สแคสเข้ามาผสมกับดนตรี ในแบบไอรีสผมว่าลงตัวทีเดียว Borrowed Heaven ใครที่ชอบ What Can I Do คงจะชอบเพลงนี้ได้ไม่ยาก Silver Strand เพลงบรรเลงในแบบฉบับของ The Corrs ซึ่งตัวที่เล่นเมโลดีจะเป็นไวโอลีน เสียงร้องที่เข้ามาเป็นบางช่วงทำให้เพลงได้ความเป็นไอริสอย่างสมบูรณ์แบบ หลายๆวงที่เคยออกชุดแรกและประสบความสำเร็จและชุดสองทั้งดับและดังก็มีเยอะ แต่ที่แน่ๆที่ออกชุดต่อๆมาแล้วดับคงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา The Corrs
Artist :Christina Milian Album :It's About Time Leble :Universal Music
อัลบัมแนว R&B บวก hiphop นิดหน่อยเป็นส่วนผสมที่เข้าท่าในยุคนี้ อีกหนึ่งอัลบัมที่ ออกมาช่วงชิงพื้นที่ทางการตลาดที่เปิดกว้างสำหรับดนตรีหลากหลายแนว Christina Milian ในอัลบัมชุดนี้เธอไม่ใช่เป็นเพียงตุ๊กตาที่หลายๆคนสั่งให้ร้องก็ร้องสั่งให้ทำอะไรก็ทำ เธอยังมีส่วนร่วมใ นอัลบัมชุดนี้ในหลายๆส่วน เพลงอัลบัมชุดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเร็วซะเยอะหรือไม่งั้นก็ออกทางเนิบๆโยกๆนิดๆ เพลงช้าที่มีอยู่ในชุดนี้ คือ5 เพลงจาก 13 (จริงๆแล้วมี 14 เพลง แต่ว่าแทรคสุดท้ายคุณจะได้ดูเป็น มิวสิควีดีโอแทนจากคอมพิวเตอร์นะครับ) I Can Be That Woman ผมว่าเพลงนี้มันส์ดีเหมือนกันแฮะ I'm Sorry เพลงช้าที่ออกทางฮิบฮอบนิดๆแต่เป็นสไตล์แบบเนินๆนะครับ หลายๆเพลงที่ผมได้ฟังจากชุดนี้หรือภาพลักษณ์ของทำให้มีความรู้สึกถึง Janet Jackson ขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนกัน ใครอยากลองเปลี่ยนอารมณ์จากร็อกมาเป็นสไตล์นี้ก็ลองหามาฟังดูแล้วกันครับ
Artist :Gabrielle Album :Play To Win Lable :Universal Music
Gabrielle ชื่อนี้หลายคนคงจะรู้จักเธอเป็นอย่างดีและหลายๆคนคงจะชื่นชอบเพลงป็อปจากเพลง Out Of Reach ที่สร้างชื่อเสียงจนเธอโด่งดังเป็นพลุแตกมาแล้ว และครั้งนี้เธอกลับมากับอัลบัมใหม่อีกครั้ง กับPlay To Win เพลงของเธอในชุดนี้เป็นเพลงที่ฟังได้เรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเพลงช้า ผมว่าเหมาะกับกลุ่มคนวัยทำงานและพนักงานออฟฟิส แต่ที่ไม่ใช่ที่เป็นพวกนักดนตรีอย่างเราก็ฟังกันได้เช่นกัน ชุดนี้ก็เช่นเคยครับ Gabrielle เข้ามามีส่วนร่วมในการเขียนเพลงด้วยครับและผมว่าเธอเขียนเพลงได้ดีซะด้วยลองฟังเพลง Sometimes เพลงช้าๆแต่ติดหูดีหรือเพลง Latchkey Kid ยิ่งเพลงนี้ผมว่าเพราะดีครับมีกลิ่นของดนตรี soul เข้ามาร่วมมี percussion เข้ามาเป็นเพลงช้าอีกเพลงที่น่าจะมีหลายๆคนชอบ(โดยเฉพาะคนไทย) ชุดนี้เธอใช้โปรดิวเซอร์ถึง 2 คน ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีนะเพราะว่าคนฟังจะได้ฟังมุมมองที่แตกต่างกันไป และตัวของเธอเองก็จะได้รับประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นด้วย ใครที่เคยชอบ Out Of Reach คราวนี้คงไม่น่าที่จะพลาดอัลบัมดีๆอย่างนี้จะขาร็อก ขาแร็ป ฮิปฮอป ก็มีอารมณ์อ่อนนุ่มโรแมนติกเหมือนกันที่จะฟังเพลงชุดนี้ได้
Artist :Louis Eliot Album :The Long Way Round Lable :EMI
จากที่เคยเป็นนักร้องนำของวงอินดี้จากอังกฤษอย่าง Rialto ปัจจุบันเขาได้ออกมาบินเดี่ยวกับไอเดียส่วนตัวในการทำเพลงสไตล์ของเขาเอง นั้นคือการนำดนตรีออกทางcountry,folkแต่ว่าเป็นfolkแบบอังกฤษ แบบที่เน้นไปตรงเครื่องดนตรีแบบอะคูสติกใสๆ ผสมกับป็อปและส่วนผสมของร็อกที่มีอยู่น้อยมาก เพราะฉะนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นเพลงที่เพราะและคุณก็สามารถฟังมันได้เรื่อยๆ จะให้พูดว่าอย่างไรอีกหล่ะ ก็มันฟังสบายนี่ ดูจากปกก็รู้แล้ว ถ้ายังนึกไม่ออกให้ลองไปหา James Iha ที่เป็นมือกีต้าร์ของ Smashing Pumkin ที่เป็นอัลบัมเคี่ยวของเขามาฟังซิครับ นั้นแหละคือคำจำกัดความ เพลงที่น่าสนใจที่ผมอยากจะแนะนำเป็นอย่างยิ่งนะครับก็มี She Is Moving On ผมว่าเพราะมากเลยทีเดียวยิงมีเสียงของเครื่องเป่าเข้ามาบางๆเป็นแบ็๊คกราวอยู่ข้างหลังและวิธีการร้องแบบเรื่อยไม่เค้น คือเขาเลือก คีย์ที่จะร้องได้เหมาะก็ยิ่งทำให้เพลงยิ่งเพราะเข้าไปใหญ่และอีกเพลงที่เป็น hidden track ในชุดนี้ก็คือ go to sleep เป็นเพลงที่มีความยาวที่สุดในอัลบัม 19.59 นาที แต่ว่าตัวเพลงจริงๆกลับสั้นมาก ฟังแล้วผมว่ารู้อยากจะหลับตามเพลงจริงๆและอีกหลายๆเพลงในชุดนี้เป็นเพลงที่เหมาะแก่การเปิด ฟังเบาๆแล้วนั้งอ่านหนังสือหรือทำอะไรไปพลางๆ ผมว่ามันเป็นความรู้สึกผ่อนคลายได้ดีที่เดียว
Artist :Various Artist Album : Sountrack De-Lovely Label :Sony Music Bec Tero
นี่คือหนังอีกเรื่องที่ผมอยากจะดูมาก เพราะเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีให้กับนัประพันธ์ เพลง ที่ยิ่งใหญ่อีกคนในประวัติศาสตร์วงการดนตรีอเมริกัน นั้นคือ Cole Porter และที่สำคัญ เรื่องนี้เป็นการร่วมทั้งเล่นและร้องของศิลปินอย่างมากมายที่มีทั้งเดินทางสาย jazz เล่นเดินทางในดนตรี แนวอื่นในหนังเรื่องนี้ ในแบบที่คุณไม่เคยได้เห็นพวกเขาเหล่านี้มาก่อน เลยเช่น Diana Krall ,Natalie Cole ,Robbie Williams , Alanis Morissette , Cheryl Crow และอีกมากมาย แค่นี้ก็น่าดูแล้วแหละครับ ในส่วนของซาวด์แทร็คเองก็ใช่ย่อยขนาดพระเอกและนางเอกของหนังเรื่องนี้ Kevin Kline และ Ashley Judd ยังต้องลงมาร้องเพลง jazzกันอีกด้วย เพลงในชุดนี้คุณจะได้ยิน Alanis Morissette และ Cheryl Crow ที่สลัดคราบสาวร็อกและกางเกงมาใส่กระโปรงร้องเพลง jazz และพวกเขาก็ทำได้ดีซะด้วย หรือนักร้องอย่าง Diana Krall หรือ Natalie Cole ที่ร้องเพลง jazz อยู่แล้วก็มีให้ฟังกัน โดยเฉพาะเพลงที่ Diana Krallร้องเพราะเลยครับ และนอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆคนที่คุณจะได้ฟังกัน หลายๆเพลงในชุดนี้เป็นเพลงที่ไพเราะมากครับ ใครที่ชื่นชอบความยิ่งใหญ่อลังการกับเพลง standard ผมว่าไม่ควรพลาดแผ่นนี้อย่างแน่นอน
Artist :Various Artist Album :Soundtrack Loving Me Loving You Label :Sony Music Bec Tero
ปล.ผมเห็นหนังเรื่องนี้มี Vcd ออกขายแล้วแหละครับ บังเอิญไปเห็นเข้าพอดี ถ้าดูแล้วเป็นอย่างไรจะกลับมาบอกอีกทีนะครับ
Artist :Various Artist Album :Soudtrack New York Minute Label :Warner Music
หนังที่เป็นแนว Comedy และแน่นอนซาวด์แทร็คที่เป็นของคู่กันจึงต้องเป็นแนวเพลงสนุกสนาน และในชุดนี้ก็มีศิลปินมากมายเข้ามาร่วม ศิลปินที่ดังๆก็มีElvis Presley เป็นเพลงเก่าแต่นำเอามา Remix ใหม่อาจเรียกได้ว่าเป็น Elvisยุค 2004 และก็มีวงพังค์รุ่นใหญ่อย่างวง Brondie ที่มากับเพลงดัง One Way Or Another มันส์ดีครับเป็นต้นเพลงส่วนใหญ่จะออกไปทางแนว ป็อป,ร็อค หรือเพลงแบบแดนส์มันส์ๆที่นำมารวมกัน ทั้งหมดก็ 11 เพลงแถมท้ายอีกนิดนึงว่าในชุดนี้มีนางเอกจากหนังเรื่องนี้เข้ามาร่วมร้องแจมด้วยครับ
Artist :Various Artist Album :Original Soundtrack 13 going on 30 Label :Sony Music Bec Tero
เพลงจากหนัง Romantic Comedy เรื่องนี้มีทั้งสิ้น 13 แทร็ค ซึ่งอาจทำให้คุณได้คิดถึงวันเก่าๆที่มีความสุขหลังจากที่คุณได้ฟังมัน ศิลปินที่มีอยู่ในอัลบัมหรือแนวทางของเพลงอาจจะออกไปทางย้อนไปประมาณซัก 15 ปีขึ้นไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดูเก่าๆไปซะทุกเพลงนะครับ ตัวอย่างที่ผมกำลังจะยกมาก็ เช่น Madonna กับเพลงเก่งในยุคนั้น Crazy about You หรือเพลงดังที่ไม่กล้ารับรองเลยว่าขาแดนส์ในยุคหนึ่งจะต้องรู้จักเขาคนนี้เป็นอย่างดี อาจเรียกเขาว่าเป็นบิดาแห่ง Rapหรือ Hip Hop เลยก็ว่าได้ Vanilla Ice กับเพลง Ice Ice Baby นอกจากนี้ยังมีศิลปินอย่าง Whitey Houston และอีกหลายคน บางครั้งการรับรู้ถึงความรู้สึกในอดีตอาจไม่ใช่ต้องผ่านทางภาพเพียงอย่างเดียว การฟังเพลงก็ทำให้คุณรู้สึกถึงความสุขในอดีตได้เช่นกัน
Artist :Various Artis Album :Soundtrack Spiderman 2 Label :Sony Music Bec Tero
หลังจากที่รอคอยกันมาเป็นเวลาหนึ่งปีกับการที่จะได้ดูภาค 2 ของไอ้มนุษย์แมงมุมและ การรอลุ้นว่าเพลงประกอบภาพยนต์จะมีใครมารวมอยู่บ้าง และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุด เมื่อตัวหนังที่มีพระเอกเท่ห์ๆก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เพลงประกอบจะต้องเป็นวงร็อกที่มีเพลงร้องและเมโลดีเท่ห์ๆเช่นกัน เพลงแรกก็เจ๋งแล้วกับวง DashBoard Confessional มากับเพลง Vindicate และวงที่ผมไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ Hoobastank วงร็อกมาแรงอีกวงที่เล่นสดได้สุดยอดที่จะหาคำบรรยายแล้ว ครั้งนี้เพลงที่เล่นในชุดนี้ก็เจ๋งไม่แพ้ใครเช่นกัน Maroom 5 คั้งนี้มากับเพลง woman ที่มาสร้างสีสรรให้กับชุดนี้ได้ไม่น้อยหน้าใครเลยที่เดียว เพราะเพลงนี้เป็นการผสมระหว่าง soul ,funky และr&b นอกจากนี้ก็ยังมีสุดยอดมือกีต้าร์ในตำนานของเกาะอังกฤษที่เล่นกีต้าร์ด้วยเทคนิคของเอฟเฟกได้ยอดเยี่ยม นั้นคือ Brian May จากวง Queen ที่ครั้งนี้มาเป็นแขกรับเชิญให้กับ Jimmy Gnecco มากับเพลง Some One To Die For ที่มีเมโลดีที่ฟังแล้วผมว่าทุกคนจะต้องนึกถึงQueen อย่างแน่นอน ในส่วนของสกอร์เพลงผมว่าทำได้ยอดเยี่ยมมากฟังแล้วนึกถึงฉากต่อสู้ในเรื่องได้เลย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายวงที่เข้ามาร่วมและหวังว่าซาวด์แทร็คชุดนี้คงจะไม่เป็นรองซาวด์แทร็คจากภาคหนึ่งอย่างแน่นอน
Artist :Various Artist Album :Original Sountrack Shrek 2 Label :Universal Music
นี่คือหนังอีกเรื่องที่บ่งบอกว่าพระเอก นางเอกไม่จำเป็นต้องสวยต้องหล่อแต่ก็สามารถมีเสน่ห์ใน ตัวมันเองได้ สำหรับเพลงในชุดนี้ผมว่าทำได้น่ารักเลยทีเดียว เปิดฉากมาด้วย Counting Crows กับเพลง Accidentally in Love ทำได้น่ารักและท่อนฮุกติดหูดีครับทำให้วงร็อกเปลี่ยน Look ไปเลยครับเป็นการทำเพลงตามโจทย์และคิดว่าหลายๆคนคงน่าจะได้ยินกันบ้างแล้วนะครับ หรือเพลง Changes ที่ David Bowie เข้าไปแจมกับวง Butterfly Boucherจังหวะน่ารักเลยทีเดียว Funky Town ของวง Lipps,Inc มากับดนตรีในแบบ Disco นิดๆ ผสมกับฟังกี้ ผมฟังแล้วนึกถึงเพลงในเกมส์ยังไงก็ไม่รู้แฮะ วงEels มากับเพลงเหงาๆกับ I Need Some Sleep และ Fairy Godmother Song ของ Joseph Arthur เป็นเพลง Broadway เหมือนละครเพลงครับคงเป็นบทสนทนาอยู่ในฉากไหนฉากหนึ่งแน่นอนครับเพราะมีบทสนทนาแทรกเข้ามาด้วย สำหรับอีกเพลงหนึ่งที่ผมไม่พูดถึงคงไม่ได้แน่นอนเลยครับส่วนตัวแล้วผมว่าเจ๋งที่สุดในอัลบัมเลยครับ Livin' La Vida Loca ซึ่งเดิมเป็นของ Ricky Martin แต่แล้วปัจจุบันกลายมาเป็นเพลงของ Eddie Murphy และ Antonio Banderas ที่นำมาทำใหม่เป็นเพลง dance ที่มันส์กว่าเดิมแอบมีการเรียบเรียงใหม่เปลี่ยนคีย์ในช่วง
Artist :Various Artist Album :Soundtrack Troy Label :Warner Music
ในบรรดาผู้ที่ทำเพลงประกอบภาพยนต์หรือสกอร์เพลงชื่อดังที่มีฝีไม้ลายมืออยู่ในแถวหน้า ของวงการเพลงเมืองนอกจะมีก็ไม่กี่คน บุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วเปรียบเสมือนคนปิดทองหลังพระ และหนึ่งในนั้น ก็คือเจ้าของรางวัลออสก้าอย่าง James Horner เขาเป็นผู้ที่มีส่วนช่วยให้ Celine Dion กลับมาดังเปรี้ยงปร้างกับเพลง My Heart Will Go On เพราะงานนั้นเขาคือคนทำทำนองเพลงและสกอร์เพลงรวมทั้งเป็นคอนดักเตอร์อีกด้วย และงานนี้ก็เช่นกันเขากลับมาอีกครั้งกับมหากาพยิ่งใหญ่กับ Troy ครั้งนี้หลายๆคนที่ชื่นชอบสกอร์เพลงคงจะพลาดไม่ได้เลยทีเดียว เนื้องานในอัลบัมชุดนี้ผมอยากให้คนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ได้ฟังเพลงโดยหลับตาแล้วลองฟังอย่างตั้งใจและลองจินตนาการไปตามท่วงทำนองของบทเพลงดูซิครับ ผมว่าคุณจะพบความยิ่งใหญ่อลังการกับฉากในจินตนาการถึงยุคสมัยนั้นของคุณ ส่วนใครที่ได้ดูแล้วนั้นคงจะเข้าใจเป็นอย่างดี นั่นแหละครับที่ผมจะพูดถึงความเก่งของ James Horner ที่สามารถทำให้เราได้รับรู้ถึงจินตนาการที่มีพลังเหล่านั้น ในอัลบัมชุดนี้มีเพลงร้องมาหนึ่งเพลง คือ Remember เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ร้องได้เพราะเลยทีเดียว โดยเฉพาะไลด์ที่ผู้หญิงร้อง งานเพลงที่เป็นสกอร์บ้างครั้งอาจจะทำให้คุณรู้สึกว่าฟังยากไปนิด แต่ผมว่ามันก็เหมือนหนังสือดีๆซักหนึ่งเล่มที่คุณจะต้องใช้เวลาค่อยๆอ่านและละเลียดไปกับตัวหนังสือและจินตนาการ เฉกเช่นตัวความมหัสจรรย์ของตัวโน็ตทั้ง 7 ที่ยังมีอะไรให้ค้นหาและSoundtrack แผ่นนี้ก็เช่นกัน
Artist :Various Artist Album :Sound Track The Punisher Label :Sony Music Bec Tero
ถือว่าเป็นการ์ตูนเรื่องหนึ่งของค่าย Marvel Comic ที่ทั้งในฉบับของการ์ตูนและฉบับภาพยนต์ ทำได้ทั้งโหดทั้งมันส์กับการแก้แค้นที่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้รับความยุติธรรมจากกฎหมาย ดังนั้นจึงต้องตั้งศาลเตี้ยขึ้นเอง และในส่วนของซาวด์แทร็คเองก็โหดและหนักไม่แพ้กันกับหนัง ใครที่เคยติดอกติดใจกันมาแล้วกับอัลบัม ของ Dare Devil ก็คงจะถูกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะชุดนี้เป็นบริษัท Wind-Up Record ที่รับดูแลเรื่องเพลงทั้งสองอัลบัมผมว่ามันเป็นอะไรที่ลงตัวอย่างมาก กับการเลือกเพลงที่อยู่จะเข้าไปอยู่ในแต่ละฉากของหนัง เพลงแรกเปิดฉากมาก็แล้วกับความหนักแน่นของวง Down Pool ที่มากับเพลงแห่งความมันส์อย่าง Step Upวงน้องใหม่ไฟแรงอย่าง Puddle Of Mudd ก็เข้ามาร่วมแจมในชุดนี้กับเพลง Bleed และการกลับมาอีกครั้งหลังจากความดังที่หยุดยั้งไม่อยู่กับAmy Lee จากวง Evanscence จากซาวด์แทร็คเรื่อง Dare Devil ซึ่งตัวของนักร้องนำได้ลาออกมาแล้ว และก็เข้ามาเป็นแขกรับเชิญกับวง Seether ในเพลง Broken และเธอก็ทำได้โดยไม่ผิดหวังจริงๆผมว่าเสียงร้องของเธอมหัสจรรย์มาก คือด้วยความที่มี range ของเสียงและมีความเป็เอกลักษณ์ของตัวเองอีกด้วย เพลง The End Has Come ของ Ben Moody ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนกับเพลงของ Evanscence ยังไงก็ไม่รู้เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นเสียงผู้ชายร้องแต่มันส์ดีครับ Ash To Ash ครั้งแรกที่ผมฟังเพลงนี้โดยที่ยังไม่ได้ดูเครดิต ผมคิดว่าการเล่นกีค้าร์สไตล์แบบนี้มันคุ้นมาก มันเหมือนกับ การเล่นของวง Pentera และความคิดของผมก็เป็นจริงเพราะมันเป็นฝีมือของ Dimberge ที่มากับวงเฉพาะกิจ Damage Plan คือแกกะว่าจะทำลายล้างให้สิ้นโลกเลยคราวนี้ นอกจากนี้ยังมีวงที่น่าสนใจเป็นอย่างมากที่เล่นในแนวๆนี้อีกหลายวง เรียกว่าคุ้มเกินคุ้มกับ 19 เพลงที่มีในชุดนี้
Artist : Haven Album :All For A Reason Label :EMI
สิ่งแรกที่สะดุดตาและรู้สึกสนใจกับวงดนตรี 4 คนแต่เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้นวงนี้เป็นอย่างมากก็คือ ปก อัลบัม ผมว่าสวยที่เดียวเลยครับวงนี้เป็นวงจากอังกฤษ พวกเขาเล่นสไตล์โมเดิร์นร็อกและแน่นอนเมื่อเล่นแนวนี้พวกเขาก็หนีไม่พ้นที่จะต้องโดนเปรียบเทียบกับวงรุ่นพี่อย่าง cold play , travis ,star salior หรือ keane ก็ตาม และผมว่าพวกเขาก็มีความต่างอยู่เยอะเหมือนกัน เมื่อเป็นร็อกจากฝั่งอังกฤษสิ่งที่น่าฟังก็คือในส่วนของเมโลดีร้องที่มีเอกลักษณ์เป็นอย่างมากกับ ดนตรีที่ไม่แรงจนเกินไป เพลงในชุดนี้จัดได้ว่าน่าสนใจเลยที่เดียวหลายๆเพลงมีท่อนฮุคที่ติดหู อย่างเพลงแรก Chang Direction เปิดตัวมาก็เท่ห์แล้ว All For Reason เพลงชื่อเดียวกันกับช่ออัลบัมขึ้นมาแบบช้าๆกดดันนิดๆ แล้วก็ค่อยใส่กันตอนฮุคท่อนฮุค สังเกตุดีๆนะครับเพลงจะมี percussion เข้ามาสร้างสีสรร The First Time เมโลดีร้องเพราะดีครับ Wouldn't Change A Thing เป็นเพลงช้าที่เพราะมากครับผมรู้สึกชอบไลด์ของกีต้าร์เป็นพิเศษผมว่าเพลงนี้มีกลิ่นของวง keane อยู่เหมือนกัน Something Moved Me เพลงจังหวะปานกลางน่ารักดีเหมือนกันWhat Love Is มาแบบแรงเลยทีเดียวเหมือนเพลงร็อกที่มาจาฝั่งอเมริกา กลองตีมันส์มากครับถ้าให้เปรียบเทียบผมขอยกเพลง Every ของ Bon Jovie ก็แล้วกันครับ Get Away ขึ้นต้นมาก็เท่ห์แล้วครับมี percussion ตีคลอกันไปกับจังหวะของกลอง ผมว่าทั้งเพลงนี้และ What Love Is ถ้านำไปเล่นสดคงได้โยกกันคอหลุดกันไปข้างหนึ่งแหละ และไอเดียตอนท้ายที่จบได้อย่างเพราะที่เดียว 10 เพลงในชุดนี้คงจะได้ทำความรู้จักกับวงร็อกน้องใหม่เพิ่มในสต็อกเทปหรือซีดีของคุณแน่
Artis :Joe Satriani Album :Is There Love In Space Label :Sony Music Bec Tero
หลังจากที่เป็นโรคเลื่อนไปแล้วครั้งหนึ่งทำให้เกือบอดดูซะแล้ว แต่ครั้งนี้หลายๆคนคงจะสมใจ กับการรอคอยที่จะได้ชม work shop จากมือกีต้าร์คนนี้ (รวมทั้งผมด้วย) และคงจะเป็นที่ประทับใจกับความเป็น มืออาชีพของเขา ครั้งนี้เขากลับมาอีกครั้งกับอัลบัมชุดใหม่ Is There Love In Space ที่มาพร้อมสีสรรสดใสเลย ที่เดียวไม่ว่าจะเป็นปกหรือว่าตัวแผ่นซีดี มาตราฐานของ Joe ยังคงเป็นเช่นเดิม เรื่องการแนะนำตัวกันก็คงไม่ต้องพูดถึง และที่ผมสังเกตุแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครคิดตรงกับผมหรือเปล่านะว่าครั้งนี้ผมรู้สึกว่า Joe จะให้ความสำคัญกับส่วนของ ริทึ่มเพิ่มมากขึ้นและลดความเป็นกีต้าร์ฮีโร่ลงไปซักหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงไปเลย Gaahh ขึ้นมาแบบติด ฟังก์นิดๆเอาแบบพอดีๆกำลังมันส์ Up In Flames มาแบบบูลส์ เมโลดีซักเล็กน้อยแล้วค่อยใส่อย่างเต็มที่ในช่วงอิมโพรไวส์ Hands In The Air ผมมีความรู้สึกว่าตัวเมโลดีมันเหมือนเพลงไทยโบราณเหมือนกันแฮะ ไม่แน่ Joe อาจจะได้อิทธิพลมาจากเราก็ได้LifesStyle เพลงร้องที่เขาร้องเอง If I Could Fly เพลงช้าในสไตล์ของ Joe ที่เราคุ้นเคยกันอย่างดี หรือเพลง Just Look Up เพลงนี้ใครที่เคยชอบเพลงช้าในแบบที่เมโลดีชัดเจนและเพราะ คงจะถูกใจกันแน่นอน I Like The Rain เพลงร้องอีกเพลงที่มันส์ไม่แพ้ใคร Searching เพลงนี้ผมขอบอกเลยนะครับว่าชอบเป็นการส่วนตัวเลย ฟังแล้วรู้สึกจุใจดีครับกับการเล่น solo ของ Joeและเป็นเพลงที่ยาวที่สุดในอัลบัม Bamboo และนี่คืออีกเพลงที่มีความรู้สึกเหมือนเพลงก่อนหน้านี้ แต่รู้สึกว่า Joe จะโชว์ solo มากกว่า ผมเชื่อว่าอัลบัมนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ต้องมีการแนะนำกันมากสำหรับ คนที่เล่นเวปนี้ ทุกคนก็พร้อมที่จะมีอัลบั้มชุดนี้เก็บไว้แน่นอน
Artist :John Frusciante Album :The Will To Death Label :Warner Music
การที่สมาชิกจากวงใดวงหนึ่งต้องการจะทำอัลบัมส่วนตัว แน่นอนความรู้สึกที่จะเกิดตาม มาของคนฟังจะมีอยู่ 2 อย่าง คือรับได้และชอบและรับไม่ได้กับไอเดียเหล่านั้น เพราะว่าพวกเขา คุ้นเคยกับเพลงในสมัยที่เล่นกันเป็นวงมากกว่า และแน่นอนมือกีต้าร์คนนี้ก็เช่นกัน John Frusciante มือกีต้าร์ฟังก์สุดขั่วแห่ง Red Hot Chilli Pepper อัลบัมชุดนี้ถ้าจำไม่ผิดเป็นชุดที่ 2 ของเขา และไอเดียที่เขานำเสนอก็ต่างจากตอนเป็นวงอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของดนตรีและเนื้อเพลง ทุกอย่างมันจะอยู่ในโทนหม่นๆ เศร้าๆ เนื้อเพลงก็เป็นเรื่อง เกี่ยวกับการหลงทางกับตัวเอง เรื่องของการสูญเสีย ความตาย เพลงของเขาจะลอยๆและจะออกมาแบบโบราณๆ เสียงร้องก็จะปรับให้มีรีเวิร์บเยอะหน่อย ซาวด์กลองก็จะออกมาเก่าๆ เคื่องดนตรีก็ไม่ต้องใช้เยอะเสียงจากอุปกรณ์เอฟเฟกก็ไม่ค่อยได้ใช้ เพลงทุก เพลงจะอยู่ในโทนเดียวกันเกือบหมด จะมีก็เพลงแรกกับเพลงที่สองนั้นแหละที่คิดว่าหนักสุดแล้ว จริงๆผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าการที่เขาทำชุดนี้เค้ากำลังคิดอะไรอยู่แล้วคอนเซปของเขาคืออะไร แล้วอะไรที่ดลใจเขาให้ทำ มีอยู่เพลงนึงในชุดนี้ที่ผมอยากจะให้ทุกคนได้ฟังกันมากเลยคือ Helical ที่มีความหมายว่า บันไดที่วน เหมือนกับบันไดวนขึ้นปราสาทที่ไม่มีทางสิ้นสุด เพลงนี้เป็นเพลงบรรเลงสั้นๆ ที่น้อยครั้งเราจะได้ยินเขาเล่นเพลงบรรเลง ซึ่งฟังแล้วผมว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนชื่อเพลงเลย และชุดนี้การทำงานที่เกิดเป็นอัลบัมคือ แค่ 2 คน ซึ่งเป็น John ที่รับหน้าที่ โปรดิวส์ การฟังเพลงชุดนี้สิ่งที่ผมรู้สึกดีก็คือ ฟังแล้วมีความรู้สึกเหมือนได้นั่งฟังพวกเขาซ้อมดนตรีในห้องซ้อม หรือกำลังเล่นสดอยู่ในห้องเล็กๆที่มีคนดูไม่ถึง 30 คน ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีเลยทีเดียว
Artist :Keane Album :Hopes and Fears Label :Universal Music
ปัจจุบันเป็นยุคแห่งการค้นหาความเป็นตัวของตัวเองกันอย่างมากหรือที่เรียกกันว่า "เอกลักษณ์" วงดนตรีหลายๆวงก็เช่นเดียวกัน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่ผมว่ามาแรงเลยที่เดียว ผมว่าคงทำให้ วงอย่าง Cold Play หรือ Travis สะเทือนอาจจะได้ วงModern Rock สามชิ้นจากอังกฤษมีเมโลดีฟังง่ายดนตรีเพราะและ มีเอกลักษณ์ หลายๆคนมองว่าวงร็อก ยังไงๆก็ต้องหนีเครื่องดนตรีที่เป็น "กีต้าร์" ไม่พ้นอยูแล้ว แต่ Keane กลับทำการพิสูจน์แล้วว่า ไม่จำเป็นเพราะพวกเขาเล่นกันเพียง ร้อง,กลอง กับ คีย์บอร์ดและ มีคีย์บอร์ดเป็นคนอัดไลด์เบสเอง พวกเขาใช้คีย์บอร์ดและเปียโนแทนเสียงที่ขาดหายไปของกีต้าร์ ซึ่งมันไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป และพวกเขาก็ทำมันได้ดีซะด้วย และเป็นอีกหนึ่งวงที่ผมอยากดูพวกเขาเล่นสดมากๆ ในส่วนของดนตรีพวกเขาเล่นกันในสไตล์คล้ายกับ Cold Play แต่ฟังแล้วเย็นกว่าและดูไปใน ทิศทางที่สว่างกว่า ในขณะที่ Cold Play ฟังแล้วหม่นๆ ผมว่าเพลงของพวกเขาไม่ว่าจะฟังกี่รอบหรือนานๆที นำมาฟังอีกรอบก็ยังคงไม่น่าเบื่อ ผมว่าการจะลองพิสูจน์อะไรบางอย่างบางทีต้องลองด้วยตัวเองครับ ที่พูดอย่างนี้อย่างให้ทุกคนได้ฟังงานดีๆกันครับกันครับ
Artist :Mr.Big Album :Greatest Hits Label : Warner Music
นี่คืออีกวงหนึ่งที่มีชื่อเสียงในบ้านเราอย่างมากและแถมมีอัลบัมที่ออกมาทั้งอัลบัมเต็ม อัลบัมแสดงสดและรวมฮิต และนี่คืออัลบัมรวมฮิตอีกหนึ่งชุดหนึ่งที่ผมจะบอกว่าถ้าคุณซื้อละก็คุ้มแน่นอน(สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักและพึ่งอยากฟัง MR.Big และคนที่สำคัญคือคนที่ไม่เคยซื้ออัลบัมรวมฮิตของวงนี้มาก่อน และคนที่คิดจะสะสมงานของวงนี้) คุ้มแน่ๆครับเพราะมีให้คุณฟังตั้ง 17 เพลงจากอัลบัมทุกชุด และที่ผมว่าดีก็คือคุณจะได้ฟังงานจากการเล่นของมือกีต้าร์ทั้ง 2 ยุค นั้นคือ Paul Gilbert และ Richie Kotzen ในชุดนี้เขาได้รวมเพลงฮิตของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นเพลงเร็วและเพลงช้าไว้อย่างครบถ้วนทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นGreen - Tinted Sixties Mind,Just Take My Heart , To Be With You,Colorrdo Bulldog และอีกหลายๆเพลงที่รวมในนี้ และที่ดีคือว่าในปกจะมีประวัติและคำบอกเล่าต่างๆมาให้อ่านกันอย่างจุใจถึง 11 หน้า พร้อมรูปประกอบ แต่ข้อเสียที่มีอยู่ก็ตรงที่น่าจะมีรูปในยุคของ Richie Kotzen ด้วยเพราะคนที่ไม่เคยรู้จักหรือว่าไม่เคยฟัง พวกเขามาก่อนจะได้รู้จักว่า Richie Kotzen หน้าตามันเป็นอย่างไร เขาก็เลยกลายเป็นบุคคลที่ปิดทองหลังพระไปเลย สำหรับคนที่ตัดสินใจซื้อชุดนี้ผมต้อมฃงยอมรับเลยว่าคุณกำลังจะคำว่าคุ้มสุดคุ้มเลยครับคุณ
Artist :New Found Glory Album : Catalyst Label :Universal Music
นี่เป็นอีกวงอีกหนึ่งวงเก่าพอสมควรเกิดขึ้นในยุค Hard Core หรือพวก พังก์ ดูจากปกคุณก็สามารถเดาได้แน่นอน ครั้งนี้เขากลับมาพร้อมอัลบัมชุดใหม่กับวงดนตรี 5 คน 4ชิ้นซึ่งส่วนตัวผมแล้วผมเรียกวงนี้ว่า "วงลูกผสม" จะว่าเป็นpunk ไหมก็ไม่ใช่ จะเป็น hard core หรือเปล่าก็ไม่เชิง แต่มีความรู้สึกคุ้นมากกับเพลงเพราะหลังจากที่นั่งฟังเพลงจบแล้วก็เกิดการคิดซักพักหนึ่งว่ามันมีความรู้สึกว่าเพลงในชุดนี้เคย ได้ยินที่ไหนมาก่อนแน่ๆและแน่นอนวงนี้จะต้องได้รับอิทธิพลมาจากวงไหนแน่นอน และแล้วความคิดของผมก็บรรเจิดขึ้นว่า วงแรกที่ผมว่าเขาได้อิทธิพลมาก็คือ Green Day (หรือ Green Day ได้แรงบันดาลใจจากวงนี้หรือเปล่าเพราะวงนี้ก็เป็นอีกวงที่ก่อตั้งกันมานาน ) และที่ชัดเจนที่สุดในอัลบัมชุดใหม่ของพวกเขา ผมฟังแล้วเกิดความรู้สึกถึง Hoobastank และ Incubus ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนมากแต่เวลาที่ผมฟังลูก riff ผมจะนึกถึง Hoobastank อย่างรุนแรง 15 เพลงในชุดนี้ ไม่ใช่ว่าเหมือน 100 %แต่เป็นการได้รับอิทธิพลที่ไม่ใช่การลอกนะครับขอย้ำ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นที่ผมที่ผมยังไม่เคยฟังงานเก่าๆของพวกเขา มาก่อน แต่ลองฟังดูซิครับหรือลองเทียบกับเพลงในประเทศไหน คงไม่ต้องบอกนะครับ แล้วจะรู้ว่าลอกเป็นอย่างไรและความใกล้เคียงป็นอย่างไร
Artist :The Distillers Album :Coral Fang Label :Warner Music
ถ้าจะให้เดาว่าวงนี้แนวไหน แค่ปกก็บ่งบอกถึงความหมายได้แล้ว ว่ามันหนักแน่นอน และแล้วมันก็เป็นความจริงอย่างแน่นอน วงนี้เคยออกอัลบัมมาแล้ว และครั้งนี้พวกเขากลับมาพร้อม กับความมันส์แบบพังค์ร็อกที่หนักไปด้วยดนตรีและเสียงร้องที่ตะเบงออกมาจนเส้นเลือดและอวัยวะ ภายในจะกระเด็นตามออกมาด้วย พวกเขาไม่ใช่พังค์แบบที่ Green Day ทำซึ่งในรูปแบบนั้นจะออกป็อปด้วย แต่สำหรับวงนี้ พวกเขาอัดกันเต็มที่ด้วยอารมณ์ที่เกิน 100 สิ่งที่ผมอยากจะเตือนไว้สำหรับคนที่ไม่เคยฟังแนวหนักๆอย่างนี้มาก่อนคงต้องเตรียมฝึกหูกันไว้เป็นอย่างดี ขอย้ำว่าอย่าลอง ของมันแรง
Artist :Snow Patrol Album :Final Staw Label :Universal Music
วงดนตรีนักสำรวจแห่งอังกฤษอีกหนึ่งวงที่น่าสนใจอีกวงหนึ่ง ซึ่งแนวทางการเล่นของพวกเขา ฟังผ่านๆกับบางเพลงน่าจะออกไปทาง Alternative แต่ไม่ถึงกับ Blur นะครับแต่ผมว่ามันมีความใกล้เคียงกันอยู่บ้าง แต่ Snow Patrolจะต่างตรงที่พวกเขานำคีย์บอร์ดมาใช้และเล่นซาวด์หรือพวก Loop ต่างๆมากกว่า Blur ส่วนตัวแล้วผมว่าพวกเขาน่าจะไปทาง Modern Rock ซะมากกว่า แทรคแรกกับ How to Be Dead เพลงจังหวะกลางๆที่ฟังง่าย เมโลดีติดหูเลยครับเหมือนกับเพลง Modern Rock อื่นอีกหลายๆวงชอบทำกัน Wow ออกจะเริ่มเป็นร็อกมากขึ้น Gleaming Auction เริ่มอัดกันแรงมากขึ้น Whatever's Left ในส่วนของดนตรีเริ่มหนักขึ้นSpiriting Games เป็นร็อกที่ทำดนตรีแบบเท่ห์ๆ Run เพลงช้าที่ดึงจังหวะกลับมาผ่อนคลายผมชอบตรงที่เขานำคีย์บอร์ดมาใช้อย่างถูกจังหวะ Grazed Knees เพลงช้าที่ดูจะสดใสกว่าแทรคก่อน ผมขอแนะนำเลยครับว่าแทรค 11 ผมว่าน่าจะทำได้ลงตัวที่สุดนะครับ เพราะมีทั้งความหนัก นุ่ม และจังหวะที่เร่งขึ้นเร่งลง หรือมีอารมณ์ที่กดดันและก็พร้อมที่จะปล่อยมันออกมา หลายๆเพลงในชุดนี้คอเพลง แนวๆนี้คงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเพราะมีแนวทางที่คล้ายๆกัน สิ่งที่ผมว่าเจ๋งสำหรับแนวนี้คือไม่ว่าดนตรีจะหนักอย่างไรแต่ในส่วนของเสียงร้องไม่จำเป็นที่จะต้องหนักตาม มันเป็นการขัดแย้งกันอย่างลงตัวเลยทีเดียว
Artist :The Von Bondies Album :Pawn Shop Heart Label :Warner Music
ครั้งแรกที่เปิดฟังอัลบัมชุดนี้ โอ้...ไม่รู้หาคำพูดไหนมาบอกดี ด้วยดนตรีแล้วช่างหนักดีแท้กับความรู้สึกที่กดดันกับสมาชิกทั้ง 4 เรียกได้ว่าอย่ามองกันแค่ภายนอกหรือแค่เปลือก เพราะผมดูจากปกแล้วก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะหนักเอาเรื่องเหมือนกัน ตอนแรกนึกว่าจะเป็นวง modern rock ซะอีก เพลงในชุดนี้มันมีส่วนผสมของพังค์,ร็อกหรืออีกแนวที่เรียกกันวง garage rock เพลงแรกที่เปิดมาเจอ ทั้งจังหวะของกลองและกีต้าร์ที่ใช้เสียงเอฟเฟกอย่างนี้ทำเอาผมนึกถึง Marilyn Manson อยู่เหมือนกัน แล้วเพลงอื่นๆที่เปิดฟังก็ไม่ค่อยต่างกันซักเท่าไหร่ คือมันจะมีความหลอนอยู่ในตัวเพลง แม้แต่เพลงช้าก็ตามทีเถอะสิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้สังเกตุคือว่า แนวนี้ไม่ว่าดนตรีจะนักอย่างแต่เสียงร้องจะไม่หนักตามหรือไม่ตะเบงตาม และความหนักหน่วงของเพลงไม่ใช่มีแค่หนึ่งเพลงเท่านั้นแต่มีให้ฟังกันอย่างจุใจถึง 12 เพลง แต่ละเพลงผมว่าถูกใจขาโจ๋กะโหลกเหล็กทั้งหลายอย่างแน่นอน
Artist :Velvet Revolver Album :Comtraband Label :BMG
ในขณะที่คนทั่วโลกกำลังจับตามองถึงความเป็นไปของ Axelและอนาคตของ Guns N' Roses ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน จึงปล่อยให้เพื่อนๆได้แย่งกันออกทั้งอัลบัมเดี่ยวและวงเฉพาะกิจออกมากันก่อน และวงนี้ก็เช่นเดียวกันที่เกิดจากการร่วมตัวกันระหว่าง Slah ,Duff และ Matt ที่เป็นสมาชิกเก่าแก่ของ Guns N' Roses และรวมกับ Scott Weiland ร้องนำจาก Stone Temple Pilot และ Dave Kusher แบ็คอัพของ Dave Nevaro ได้ประกาศว่าเป็นวงเฉพาะกิจของพวกเขา สำหรับแนวเพลงทำออกมาได้หนักหน่วงเลยที่เดียว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นของ Guns N' Roses ประมาณว่าพอฟังปุ๊ปนึกถึงทันที แต่ที่จะเป็นตัวแปรของการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ไม่เหมือน ก็คงตกยกให้กับ Scott Weiland ถ้าเสียงของเขาคนนี้สามารถโหนได้สูงๆ ก็คงเป็น Guns N' Roses แน่นอน เปิดมาเพลงแรก Sucker Train Blues ทำเอานึกถึงGuns N' Roses เอามากเลยที่เดียวกับดนตรีโยกๆกับวิธีการร้องที่ร้องแบบบ่นๆเหมือน Rap ที่ Axel ชอบใช้ Do It For The Kids ริฟหลักที่เล่นมันส์ดีแฮะง่ายๆเนิบๆแต่หนักหน่วง Big Machine เร่งจังหวะขึ้นมา ร้องได้สะใจดีครับยิ่งใช้วิธีร้องผ่านเสียงแตกด้วยแล้วยิ่งเพิ่มดีดรีความหนักขึ้นไป Ilegal I Song ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกชอบเพลงนี้เป็นพิเศษนะครับชอบตั้งแต่ริฟที่ขึ้นมาตอนอินโทร แล้วพอเข้าท่อนร้อง ตัวของเมโลดีก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความกดดันแล้วค่อยไปคลายความเครียดตอนท่อนฮุค หลังจากที่หูได้ผ่านศึกหนักทาง ดนตรีหนักๆมาหลายๆเพลงที่นี้ Fall to Pieces กับเพลงช้าแต่ไม่หวานอย่าง November Rain พวกเขาอาจจะเลือกที่จะให้มันฟังดูหนักๆหน่อย ฟิลคล้ายๆกับเพลง my sacrify โดยประมาณ และพอพักกันมาพอสมควรเรก็กลับมาโดดกันต่อ HeadSpace อินโทรเพลงนี้ทำเอานึกถึงยุคสมัยแรกๆของ ฮาร์ดคอร์ประเภทวง Ugly Kid Joe ในยุคหลังๆ Super Humanเพลงประกอบหนังเรื่อง Hulk เชื่อหรือเปล่าครับว่าครั้งแรกที่ผมได้ยินเพลงนี้ในโน๊ตสองตัวแรก ผมนึกว่าจะมี Sweet Child O mind ภาดสองมาให้ฟังกัน แต่ความจริงแล้วคนละเรื่องกันเลยครับ You Got No Right เพลงช้าอีกเพลงที่ผมว่าเท่ห์มากDirty Little Thing สไตล์การร้องจะเหมือนSucker Train Bluesที่เป็นเพลงแรก Loving The Alien เพลงช้าที่สุดในอัลบัมและสิ่งที่ผมชอบซึ่งไม่รู้ว่าผมจะคิดถูกหรือเปล่ากับไอเดียของพวกเขา ตรงที่นำเพลงนี้มาเป็นเพลงจบแล้วในช่วงท้ายปล่อยให้กีต้าร์ค่อยๆเฟดจนจบ สำหรับแฟนเพลงเก่าๆที่เฝ้ารอก็คงจะหายคิดถึงพวกเขากันบ้างหละครับ
Artist :Katie Melua Album :Call Off The Search Label :Universal Music
ผมคิดว่าหลังจากการประสบความสำดร็จจาก Norah Jones ทำให้หลายๆค่ายคง จะเฟ้นหานักร้องนักดนตรีหน้าใหม่เพื่อที่จะเจริญร้อยตามเส้นทางของ Norah และสาวน้อยคนนี้ ก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น ความน่าสนใจของอัลบัมชุดนี้ก็อยู่ตรงที่แนวเพลงและอายุของเธอ เพราะเธอเลือกที่จะหันมาทาง Jazz ,Bules และ Contry ในชุดนี้เธอเองก็ได้มีส่วนร่วมในการเขียนเพลงด้วย เพลงในอัลบัมนี้มีทั้งหมด 12 แทร็ค เพลงแรก Call Off The Search มาแบบช้าๆความเพราะของมันผมว่าอยู่ที่ตรง เครื่องสายที่เล่นคลอกับเสียงร้องและการเข้ามาของดนตรีในแต่ละช่วงทำให้เพลงฟังแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง Crawling Up A Hill เร่งจังหวะขึ้นมาหน่อยออกไปทางป็อปแจ็สแบบโบราณเลยที่เดียว The Closest Thing To Crazyเพลงโปรโมทของเธอเลยแหละครับ ถือว่าเป็นเพลงซิงเกิลฮิตของเธอเลย ฟังแล้วผมก็ว่ามันก็น่าจะฮิตอยู่เหมือนกันเพลงออกจะเศร้าเคล้าน้ำตาและอ้อนวอนขนาดนั้น เป็นใครก็คงจะใจอ่อนกับเธอด้วยเพลงนี้แหละครับ My Aphrodisiac Is Youทำออกมาในสไตล์ บิ๊กแบนด์ เนิบๆช้า ถ้าเพิ่มท่อนอิมโพรไวส์ของเครื่องเป่าอีกนิด ผมว่าเพลงนี้จะดูดีขึ้นกว่านี้เลยครับLearnin'The Blues เป็นเพลงแบบแจ๊สบัลลาดเก่าๆ แบบพวกบิลลี่ฮอลีเดย์ หรือพวก ซาร่า วอร์น แต่อาจจะดูด้อยกว่าตรงที่เสียงของ Katie เองพลังเสียงของเธอยังไม่ถึงขั้นอาจารย์เหล่านั้น หรือเป็นเพราะเธอกำลังหัดร้องเพลงbluesเหมือนในเพลง Blame It On The Moon เพลงลอยๆไม่ค่อยออกไปทางแจ็สนะครับผมว่า ฟังแล้วนึกถึงเพลงของแถบยุโรปโบราณซะมากกว่าMockingBird Songเป็นเพลงที่ออกมาทาง blues เนิบๆ เพลงนี้แล้วผมนึกถึงยุคสมัยของ Elvis จังเลย ข้อเสียที่มีอยู่ตามที่ผมสังเกตุก็คือ เสียงร้องของเธอกับเพลงที่ยังต้องน่าจะเพิ่มฟิลในการร้องที่บางเพลงน่าจะเน้นตรงอารมณ์มากกว่านี้ ส่วนเพลงช้าในชุดนี้ที่เป็น 2-3 เพลงสุดท้ายออกจะอยู่ในโทนที่ใกล้เคียงกันมากจนดูเหมือน เป็นเพลงเดียวกัน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเธอยังไม่ได้เป็นคนทำเองทั้งหมดและอายุอาจจะยังน้อย คงต้องให้เวลาที่จะพิสูจน์ความสามารถของเธอ เพราะศาสตร์แห่ง blues และ jazz ยังคงมีอะไรให้ค้นคว้าและศึกษาเพื่อพัฒนาฝีมืออีกเยอะ เมื่อมีความชอบเป็นพื้นฐานแล้วรับรองฝีมือและการทำเพลงจะพัฒนากว่านี้ เพลงทั้งหมดผมว่าเหมาะอย่างยิ่งกับการฟังในช่วงคริสมาส หรืออากาศในหน้าหนาวที่นั่งฟังเพลงเพราะอยู่หน้าเตาผิง หรือเปิดในช่วงที่ฝนกำลังตกพร่ำๆ แถมอีกนิดนะครับในแผ่นนี้มีของแถมมาให้ด้วยคือ เป็น Cd Enchance ให้ดูบทสัมภาษณ์ของเธออีกด้วย
Artist :Gerald Albright Album :Kickin' It Up Label :Universal Music
Gerald Albright จัดได้ว่าเป็นนักดนตรีสายเครื่องเป่าอีกคนที่มากด้วยประสบการณ์ทางด้านสาย ฟิวชั่นและคอนเทมโพลารีกับอัลบัมชุดนี้ มีนักดนตรีมากมายเข้ามาร่วมแจมเป็นแบ็คอัพให้ และแต่ละคนก็ฝีมือจัดจ้านเลยทีเดียว ที่เรารู้จักกันดีไม่ว่าจะเป็น Groge Duke ที่คราวนี้หันมาเล่นเปียโนแทน คีย์บอร์ด ใครที่เคยฟังงานของเขาที่เล่นคู่กับJohn Scofeild แล้วละก็คงจะรู้ถึงความเก่งกาจได้อย่างแน่นอน Jeff Loberมือคีย์บอร์ดอีกคนที่มาเล่นด้วย หรือมือกีต้าร์อย่าง Peter White เป็นต้น เพลงในชุดนี้จัดว่าฟังง่ายเลยแหละครับไม่ต้องถึงขนาดปีนบันไดขึ้นไปฟังอย่างที่หลายๆคนได้เคยพูดไว้ ฟังเพลงจากชุดนี้แล้วทำเอาแข้งขาขยับตามจังหวะได้ง่ายๆ ชุดนี้มีทั้งหมด 10 เพลงครับ และงานนี้ Gerald Albright ลงทุนเล่นเครื่องดนตรีชิ้นอื่นเองด้วยอย่าง เบส หรือคีย์บอร์ด หรือฟลุ๊ต 4 On The Floor เพลงจังหวะโยกๆผสมเอาฟังก์กี้นิดๆWhy Georgia เพลงจาก John Mayer ที่ถูกนำมาเล่นในแบบ fusion ผมว่าก็เพราไปอีกแบบถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีการอิมโพรไวส์ซักเท่าไหร่ Walker' Theme เพลงนี้มันส์ดีครับ เมโลดีจำง่ายด้วยครับ Condition Of My Heart เพลงของ Brian McKnightเพลงนี้เป็นเพลงร้องครับออกไปทาง R&B ช้าๆเสียงร้องออดอ้อนครับ Father's Lullaby เพลงช้าที่สามารถกล่อมคุณให้หลับได้Kickin' It Up ฟังก์กี้กวนๆท่อนเมโลดีหนักแน่นดีครับมีสไตล์ลาตินนิดๆ งานชุดนี้เหมาะกับคนที่เริ่มและชอบสไตล์ฟิวชั่นที่ไม่หนักจนเกินไปและสามารถหยิบมาฟังได้เรื่อยๆเพลินๆ และอีกอย่างที่ผมจะบอกว่าถ้าเพลงในชุดนี้ขาดหายไปในช่วงของไลด์เครื่องเป่าที่เสริมเข้ามาคงจะหมดความเพราะแน่ครับ
Artist :Diana Krall Album :The Girl In The Other Room Label :Universal Music
หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากชุดที่แล้ว The Look Of Love ที่เริ่มหันมาทำดนตรี แจ็สให้ออกป็อปๆหน่อย และนำเพลงเก่ามาเล่นใหม่ ในชุดนี้ก็เช่นเดียวกันเธอก็มีการนำเพลงเก่ามาเล่นใหม่เช่นกันแต่จะต่างก็ตรงที่อาจจะดูเหมือนว่าฟังยากกว่าชุดที่แล้วนะครับ สำหรับคอเพลงที่พึ่งหันมาฟังเพลงของเธอ แต่จริงๆแล้วผมว่าฟังง่ายมากถ้านำๆปเทียบกับชุดแรกๆของเธอที่เป็นแจ็สจ๋ามาเลยมีการผลัดกันอิมโพรไวส์ หรือว่าเธอจะเริ่มจับแนวนี้? สำหรับชุดนี้บุคลากรที่เข้ามาร่วมสร้างสรรผลงานชุดนี้ มากันอย่างล้นหลามเลยที่เดียวและแต่ละคนก็สุดยอดทั้งนั้นเช่น Evis Costello สามีของเธอที่เรารู้จักกันดีกับเพลง She ก็มาร่วมเขียนเนื้อเพลง Christian McBride มือเบสหัวก้าวหน้าที่มีงานห้องอัดเยอะเหลือเกิน หรือ Peter Eskin มือกลองระดับตำนานที่มาเปิด work shop ที่บ้านเราเมื่อไม่นานมานี้และอีกหลายๆคนที่ผมไม่ได้เอ่ยถึงซึ่งล้วนแล้วต่างก็ผ่านงานกันมาโชกโชน เพลงในชุดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงช้าซะเยอะ แต่ถึงจะทำเพลงออกมาป็อปหน่อยแต่ในส่วนของลายของดนตรีถ้าฟังกันดีๆจะเห็นว่าพวกเขามีการใส่เพิ่มเติมแต่งกันเยอะ เรียกว่าถึงจะออกเป็นป็อปแต่ก็เป็นป็อปที่โน๊ตไม่ป็อปเลย อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงยึดแนว standard หลายๆเพลงฟังแล้วทำให้นึกถึง เพลงของ Evis Costello เอาง่ายๆ อย่างเช่นเพลง The Girl In The Other Room ตัวของเมโลดีเป็นสไตล์ Evis Costello อย่างแน่นอน Temptation เพลงจังหวะโจ๊ะๆ ที่ลงตัวอย่างมาก Love Me Like A Man บูลส์มันส์ๆเนื้อร้องมีนิดหน่อย นอกนั้นเป็นการอิมโพรไวส์ระหว่างกีต้าร์กับเปียโน ฟังแล้วค่อยจุใจหน่อยกับการอิมโพรไวส์ Black Crow เพลงเก่าอีกเพลงของ Joni Mitchell ที่ออกมาทางบอสซ่าโนว่า และอีกหลายเพลงที่เหลือส่วนตัวแล้วผมว่ายังมีความไพเราะในแบบของ Diana Krall อยู่และยังมีมาตรฐาน ถึงแม้ว่าหลายๆคนจะไม่ค่อยชอบที่เธอเปลี่ยนสไตล์ให้เบาลงบ้างให้ออกป็อปหน่อย อาจจะเป็นเพราะความเบื่อของเธอก็ได้เลยอยากทำอะไรใหม่ๆบ้าง แต่อย่างไรผมว่ามันก็ยังเป็นอัลบัมที่ดีอีกหนึ่งชุดในยุคนี้
Artist :Faithless Album :No Root Label :BMG
พวกเขาวงดนตรีแนวเต้นรำอีกวงที่มีชื่อเสียงดังมากใน อังกฤษ ที่เล่นดนตรีในแนว เฮาส์และพวกดนตรีที่เป็นเครื่องอีเล็คทรอนิกส์ทั้งหลาย อัลบัมชุดนี้เป็นอัลบัมชุดที่ 4 ของวง และครั้งนี้พวกเขากลับมาพร้อมด้วยดนตรีที่มีเนื้อหาและคอนเซ็บเกี่ยวกับ สงคราม,การเยียดสีผิวและอีมากมายที่เป็นเรื่องเลวร้ายในโลก แต่ถึงกระนั้นก็ตามแม้ว่าจะมีเนื้อร้องที่รุนแรงแต่ดนตรีกลับไม่ได้แรงอย่างนั้นเลย เพราะด้วยความที่เขายึดเอาแนวเฮาส์เป็นรากฐานเพราะฉะนั้นมันจึงเป็นดนตรีที่ลอยๆหลอนๆ ซึ่งมันเหมาะมากกับงานปาร์ตี้เล็กๆหรือตามคลับตามบาร์ในอังกฤษที่นิยมแนวนี้กัน เพลงที่พวกเขาได้ตัดออกมาเป็นซิงเกิลและเป็นเพลงที่ฮิตก็คือ Mass Destruction และ I Want More โดยส่วนตัวแล้วผมกลับชอบเพลงพวกเขาไม่ได้ตัดออกมาโปรโมตซะอีก ต้องขอชมเลยนะครับในเรื่องของการเรียงเพลงในชุด ผมว่าเขาเรียงเพลงได้เหมาะสมมาก ไม่มีความรู้สึกของอารมณ์ที่กระโดดไปมาเลย สิ่งหนึ่งที่ผมเกือบลืมพูดในครั้งนี้ก็คือมีสุดยอดนักร้องอย่าง Dido เข้ามาแจมด้วยนะครับ ใครที่อยากจะลองดนตรีแนวใหม่ๆก็ได้เลยนะครับกับแผ่นนี้
Artist :Beastie Boys Album :To The 5 Borough Label :EMI
3 หนุ่มแร็พเปอร์ที่เคยสร้างความยิ่งใหญ่กับแนว rap , underground ซึ่งในยุคปัจจุบันหลายๆวงจะออกไปทางฮิปฮอปซะเยอะ ครั้งนี้เขากลับมาอีกครั้งกับความมันส์ทางฝีปากพร่ำแร็พที่ทิ้งห่างกันนานมาก ผมว่าชุดนี้เขาแร็พได้มันกว่าชุดเก่าๆของพวกเขาซะอีก แถมในส่วนของดนตรีก็ดูเหมือนว่าจะเข้มข้นอีกด้วย ความรู้สึกหนึ่งที่ชอบเป็นพิเศษกับอัลบัมนี้ก็คือ ผมชอบมือสแคชจริงๆเลย ผมว่าเค้าเล่นได้มันส์มาก To The 5 Boroughs นั่นหมายถึงมหานครนิวยอร์คที่พวกเขาได้พบกัน ส่วนดนตรีในชุดนี้ก็แสดงถึงซาวด์นิวยอร์คอย่างชัดเจนและเนื้อหาเพลงเองก็แรงพอตัวเลยแหละ สิ่งที่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้คอเพลงแนวนี้น่าจะชื่นชอบเป็นพิเศษก็ตรงที่ทางต้นสังกัดได้พิมพ์เนื้อเพลงมาให้ด้วย อย่างน้อยผมว่าจะทำให้เราได้อ่านและรับรู้ถึงสิ่งที่เขาคิดออกมา ไอเดียหลายๆอย่างในชุดนี้เข้าท่าเลยที่เดียว หวังว่า 15 เพลงในชุดนี้คงจะเป็นที่ถูกใจกับชาวแร็พและพวก บีบอยด์อย่างแน่นอน
Artist :Various Artist + Crub Album :Small Room 004 + View Label :Small Room