คู่มือในและคำแนะนำในการใช้ POD2.0 จากหลายท่านในกีตาร์ไทยครับ  
 
เห็นยังเป็นที่นิยมกันเสมอสำหรับเจ้าเอฟเฟ็คตัวนี้ ก็หวังว่าคงพอมีประโยชน์มั่งนะครับ


การควบคุม และติดต่อ

1.พาวเวอร์ สวิช - สวิชเปิด - ปิด อยู่ที่มุมขวาบนของ Pod
2.อินพุต - อยู่ทาวฝั่งขวาของ Pod ให้เสียบแจคกีต้าร์ที่นี่
3.โฟน - ปุ่มโฟน ทำหน้าที่ไว้ต่อกับ เฮดโฟน โดยควบคุมระดับเสียงได้ที่ ปุ่ม เอาท์ฟุต เลเวล
4.เอาท์พุต เลเวล - เป็นระดับเสียงของ pod ที่จะส่งออกไปยังแอม การเซตเอาท์พุตเลเวล จะไม่มีผลต่อการเซฟ
พูดง่ายๆว่า คุณจะเอาระดับเสียงเท่าไร ก็ปรับได้เลย ไม่ต้องเซฟหรอก เพราะมันเซฟไม่ได้
เอาท์พุต เลเวล จะไม่มีผลต่อโทนเสียง
* Pod จะแสดงผลอย่างดีที่สุด ส่วนมาก เอาท์พุตเลเวล ต้องสูงๆหน่อย
5.เอาท์พุต ซ้าย ขวา - ถ้าจะรัน pod ก็ใส่สายแจคที่ต่อกับแอม ไว้ที่ช่อง เลฟท์ เอาท์พุต หรือ เอาท์พุตซ้ายนั่นเอง
6. เอ ไอ อาร์ โหมด - ใช้เปลี่ยนเสียงโทนของแอม ให้เซตแอมไปที่เสียงคลีน แล้วจะสามารถต่อกับอุปกรณ์เสริมอื่นได้
เช่น มิกเซอร์ เครื่องอัดเสียง พาวเวอร์แอม การใช้งานไอ้ตัวพวกนี้ จะต้องผ่าน เอ ไอ อาร์ โหมด
7.การต่อ ฟุต พีดอล - ต่อสายที่มีให้ สีดำคล้ายๆสายแลน หรือ สายโทรศัพท์ ไปที่ด้านบนสุดของ Pod แล้วเอาไปต่อที่ฟุตสวิช
ถ้าเป็น moto ก็ต่อกับฟุตตระกูล FVB ถ้า 2.0 ก็ต่อกับ FB
8 มิดิ เข้า - ออก - ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับคอมได้ สามารถโหลดโปรแกรม Line 6 eidt มาใช้ปรับในคอม
แทนที่จะปรับข้างนอกได้ สามารถเข้าไปดาวโหลดซาวแปลกๆใหม่ๆ ของศิลปิน หรือ ของวงที่ท่านชื่นชอบ
ได้ที่ www.line6.com
9. ปุ่ม แมนน่วล - ใช้เซตปุ่มเอง ถ้าเรากดแมนน่วลไป แล้วเราไปปรับเอฟเฟค ปรับที่ยังไง มันก็จะแสดงผลอย่างนั้นแหละครับ
ปุ่มนี้เหมือนแค่ลองก่อนเฉยๆ ก่อนจะเซฟ ก็ไม่มีอะไรมาก
10. ปุ่ม แชเนิล ขึ้น-ลง - ใช้เปลี่ยนแชเนิล โดยผ่าน pod กรณีที่ไม่มีฟุต และสามารถเซตความมากน้อย ของออปชั่นต่างๆได้ ที่นี่
11. แอม โมเดล - การจำลองแอม เสียงที่สะอาดที่สุด คือ Small Tweed เสียงที่หนวกหูมากที่สุดคือ Fuzz Box
12. ไดรฟ์ - ปุ่มปรับความโหดของ pod คล้ายๆกับ Gain ในแอมป์
13. การควบคุม โทน - คือ การควบคุม เบส มิดเดิล และ ทรีเบิล ปุ่ม สามปุ่มนี้จะเปลี่ยนเสียงของโทนได้
14. ชาญ โวล. - ปรับเลเวลของ แชเนิล ใช้เพื่อตั้งความสมดุลของซาวน์ในระหว่างแชนเนิล
15. รีเวริป - เสียงสะท้อนของแอม
16.เอฟเฟค ทวีค - ใช้ปรับระดับความเข้มของเอฟเฟค ความแรงของเอฟเฟค จะไม่มีผลถ้าปรับที่ Bypass เพราะ Bypass
คือการนำเอฟเฟคออก ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเสียงที่ออกมา
17. เอฟเฟค / คาบิเนต - ใช้ปรับเสียงเอฟเฟคต่างๆ ก็เลือกดูเอา ถ้าจะปรับคาบิเนต ให้กดปุ่ม Tab(hold) ค้างไว้ แล้วหมุนปุ่ม เลือกคาบิเนต (ปุ่มเดียวกับปุ่มเอฟเฟค) ได้เลย
18. ทูนเนอร์ - ใช้ทูนเสียงกีต้าร์ให้ตรง ทำได้โดย กดที่ทูนเนอร์
19. นอยส์ เกต - ตัวลดเสียงรบกวน ถ้าไม่มีตัวนี้ เสียงรบกวนกระจาย.
20. ปุ่ม tab - ใช้ควบคุม ความเร็ว tempo ความเร็ว ดีเล ความเร็วของแฟลงเจอร์ คลอรัส และหลายๆอย่าง สังเกตความเร็วได้โดย
ไฟที่ปุ่ม tab(hold) ว่าประพริบเร็วมากเท่าใด
tab (hold) ฟังชั่น - ในปุ่ม tab นี้ ท่านสามารถเข้าไปถึงส่วนลึกของ pod ได้ เช่น แอมโมเดล 17 - 32 คาบิเนต โมเดล
ดีเล ฟีตแบค ดีเลเลเวล รีเวริบทาม อะไรอีกหลายอย่าง มาดูกันเลยดีกว่า
-แอมโมเดล 17 - 32 - กดปุ่ม tab แล้วก็หมุนปุ่ม แอม โมเดล เลือกแอมโมเดลที่ต้องการได้เลย
-แคบบิเนต โมเดลซีเลคเตอร์ : กดปุ่ม tabค้างงงไว้ แล้วหมุน ปุ่ม เอฟเฟค ซึ่งใช้เป็น แคบิเนต ซีเลคเตอร์
เลือกขนาดของตู้ตามที่ต้องการ ขนาดของตู้จะบอกอีกที ใน แชปเตอร์ 2
- ไดร์ฟ บูสต์ เปิด / ปิด - กด tab ค้างงง แล้วหมุนปุ่ม Drive ไปที่ 12 นาฬิกา คือ หมุนให้มันตรงไปข้างหน้าอะงับ จะได้เสียงแบบ
extra dirt พูดง่ายๆก็คือ ความโหดจัดของ pod อะ
การควบคุมก็ ใช้ปุ่ม เอาท์พุต เลเวลเพื่อเซตระดับเสียงแตกนะคับ
-ดีเล รีพีท - กด tab ค้างง แล้วหมุนปุ่มเบส จะทำให้เป็นเสียง ดีเล รีพีท ใช้ในเอฟเฟคดีเล ติดตามรายละเอียดได้ใน แชปเตอร์ 3
-ดีเล เลเวล - กด tab ค้างง หมุนปุ่ม Middle เพื่อเซต ระดับดีเล ระดับดีเลก็คือ ระยะเวลาของการดีเลอะงับ รายละเอียดเพิ่มเติมก็ แชปเตอร์ 3 เหมือนเดิม เหอๆ
- Presence Bump On/Off - ปุ่ม tab กดค้างง หมุน ทรีเปิล ไปที่ 12 นาฬิกา เหมือนเสียงไดร์ฟบูสอะงับ แล้วจะได้ เสียงที่ใสกิ้ง!!
-โวลุ่ม บูส On/Off - กด tab เหมือนเดิม ค้างนะครับ แล้วหมุน Chan Vol. ไปที่ 12 นาฬิกา จะได้เสียงคม เฉียบ
เหมาะสำหรับการลีดกีต้าร์อย่างยิ่ง
- รีเวริป ดีเคลย์ ทาม - กด tab ค่าง หมุนปุ่ม reverb จะสามารถควบคุมขนาดเสียงที่สะท้อนออกมาได้ครับ
รายละเอียดติดตามใน แชปเตอร์ที่ 3
- เอฟเฟค สปีด - กด tab !! ค้างง แล้วหมุนปุ่ม Effect Tweek เพื่อกำหนดความเร็วของเอฟเฟค ติดตามรายละเอียดในแชปเตอร์ 3 ค้าบบบ
**ปุ่ม Drive Boost กับ ปุ่ม Volume Boost นั้น วิธีเปิดปิดคือ ถ้าหมุนไปเกิน 12 นาฬิกา
หมุนไปทางบ่ายๆ เย็นๆอะงับ - -" อันนั้นคือเปิด ถ้าหมุนไปทางเช้าๆ สายๆ คือปิดครับผม

นอกนั้นถูกแล้วครับ เดี๋ยวขอแปลปุ่มเซฟต่อก่อนครับ ขอค่าเหนื่อยเป็นการโพสขอบคุณก็พอ ^^"
21 เซฟ - เมื่อเราเซตอะไรต่างๆเสร็จแล้ว ก็สามารถกดปุ่มเซฟ เพื่อ pod จะได้จดจำซาวนั้น ไว้ในตัวมัน
เมื่อคุณใช้ Pod ตามปรกติ มันจะขึ้นที่หน้าปัดว่า คุณอยู่ในแชเนิลอะไร มีตั้งแต่ A B C D .
คุณก็สามารถเก็บไว้ในแชเนิล 4 แชเนิลนี้ได้เช่นกัน โดยการกดปุ่ม save นั่นเอง
เมื่อคุณจะเลือกแชเนิล ก็มากดที่ฟุต A B C หรือ D หรือจะใช้ ปุ่ม ขึ้น - ลง ที่ Pod ก็ได้คับ
22. มิดิ - ปุ่มน้ำจะแสดงถึงการใช้ มิดิของ pod แชเนิล โดยผ่าน อุปกรณ์มิดิ

โมเดล แอม และ คาบิเนต

แอมโมเดล และคาบิเนต คืออะไร ?
แอมโมเดลนั้นมี 32 ชนิด ใน pod ของเรา และ มี 16 คาบิเนต เมื่อคุณหมุนปุ่ม แอม โมเดล แล้ว คุณก็สามารถ
นำมารวมกับคาบิเนตนาๆชนิดได้ โดย กด tab ค้างง แล้วหมุนปุ่ม Effect เพื่อเลือก แอม โมเดล และ คาบิเนตงับ

Line 6 Clean - ในการทำแอม โมเดลแบบคลีน แบบให้ปลอดภัยที่สุด คือ แอมแบบ หลอด
Line 6 Crunch- ซาวประเภทนี้ ไม่คลีน และไม่หนักไป เหมาะสำหรับเพลง บลูส์ หรือ แจส , เสียงจะเป็นแบบ smooth นุ่มๆนิดนึง
การควบคุม ให้ควบคุมที่ ปุ่ม Drive , Bass , Treble
Line 6 Drive - ความโหดของ pod อยู่ในตัวนีแหละงับ มีความดุ เหมาะสำหรับการลีด ถ้าจะอัดเสียง pod โดยใช้แอมโมเดลตัวนี้
แนะนำให้ใช้พวกมิกเซอร์และอุปกรณ์สตูดิโอ เพื่อจะได้เสียงที่มีคุณภาพมากขึ้น
Line 6 Layer - เสียงคลีน กับ เสียงไดร์ฟ รวมกัน กลายเป็น Layer!! มันจะคล้ายๆกับ Line 6 Crunch นะคับ แต่ว่าซาวมันจะคนละแบบกัน
ตัวนี้สามารถควบคุมที่ปุ่มไดร์ฟได้ เพื่อให้เสียงที่หนักแน่นครับ
ต่อไปนี้เป็นลักษณะของตู้แอม กับ คาบิเนต ครับ

Small Tweed
จาก 1952 wide panel "Fender" Tweed Deluxe Reverb
แอมชนิดนี้ เป็นแอมที่ให้เสียงนุ่มๆ การเซตส่วนใหญ่จะอยู่ที่ เบส กับ มิดเดิล จะให้เสียงแบบธรรมชาติๆ ออกคาสสิกหน่อยๆ

Tweed Blues - จาก the classic 59 Fender Bassman 4x10 combo
แน่นอน แอมชนิดนี้ให้เสียงจำลองมาจาก Fender Bassman นั่นเองครับ สามารถปรับ มิดเดิล และ ทรีเปิล ให้ผลดีทีเดียว ส่วนใหญ่เสียงจะออกทุ้มๆหน่อย
เสียงไดร์ฟ เค้าบอกว่า ประมาณ 4 - 5 หน่วย จะได้ซาวแบบ R&B (ริทึ่ม แอนด์ บลูส์ : เผื่อใครยังไม่รู้ความหมาย อิอิ )

Black Panel - จาก the black Fender Deluxe Reverb
แอมตัวนี้ เหมาะในการเล่นแนวเพลง บลูส์ คันทรี่ เพื่อชีวิต
เสียงคลีนจัหยาบๆนิดหน่อย ปรับมิเดิลไปที่ On (คือ หมุนไปทางด้านระหว่า 12น. ถึง 6 น. ตอนบ่าย อิอิ ) จะให้ซาวแบบธรรมชาติยิ่งขึ้นครับ

Modern Class A - จาก a Matchless Chieftain.
ตัวนี้ไม่มีอะไรมากครับ เป็นแอมซาวแบบร๊อค แอนด์ โรว เหมาะสำหรับเพลงจำพวก เอววิสอะนะ

Brit Class A - จาก the Vox AC30
ดนตรีเปลี่ยนไปในยุค 60 แอมตัวนี้ก็เข้ามาคับ โดยมีการควบคุม treble และ bass ได้ดียิ่งขึ้น เสียงเป็นแบบลักษณะโอเวอร์ไดร์ฟ

Brit Blues - จาก the Marshall 1964
โทนคล้ายๆกับเฟนเดอร์เหมือนกัน แอมตัวนี้ ให้ซาวแบบ Bright crunchy ในแบบของ Marchall อะงับ
Brit Classic - จาก the infamous Marshall Plexi
ให้โทนแบบร๊อค เป็นแอมที่พัฒนาได้ดีมาก ให้ซาวน์ที่ดี ถ้าปรับ Pod ให้ Middle Treble เต็ม แล้วปรับ Bass ประมาณ
9 - 10 นาฬิกา จะให้ซาวแบบร๊อคทุ้มๆหน่อย ซึ่งไม่เลวเลยทีเดียว

พักก่อน - -" เริ่มปวดหัวละงับ อ่านมาตั้งแต่เช้า เหอๆ ขอไปหาไรกินแปป
รูปของแอมพวกนี้ สามารถดูได้นะครับ เอาเชื่อของแอมที่ผมใส่ไว้ว่า
จาก"....." อะ เอาไปใส่ในกูเกิลครับ แล้วเสริชไปที่รูปภาพครับ
Brit Hi Gain - จาก the Marshall JCM 800
โทนเสียงของแอมรุ่นนี้ พัฒนามาจากเมอร์แชลรุ่นก่อนๆเยอะครับ สไตล์แบบโมเดิรนเหมือนเดิม แต่มี Gain (ความแรง , ดุ) และ Edge (ความเฉียบคม)เพิ่มขึ้น
สำหรับนักกีต้าร์ร๊อคยุคใหม่อย่างเราๆ เหอๆ ตัวนี้มีปรีแอม แบบหลอดด้วยนะครับ จะทำงานกะ 1990 JCM800's ที่มีเสียง Distoration เฉียบคมมาก
แน่นอน สามารถปรับ Drive จาก Pod ได้ จะทำให้เสียงดูมีพลังมากขึ้นครับ

TreadPlate - จาก 1994 Mesa/Boogie Dual Rectifier Tremoverb
แอมตัวนี้ มีความหนักแน่น และ gain ค่อนข้างสูง ซาวออกเป็นซาวในวงดนตรี อย่าง ดรีมเทียเตอร์ เมทาลิก้า ที่เรารู้จักกันดี จริงมะ O_o
ปรับเสียงไดรฟ์ ได้ครับ เพื่อให้ความดุยิ่งขึ้น หรือจะปรับ Middle เพื่อให้เสียงดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น

Modern Hi Gain - จาก the Soldano X88R
ฟูลโอเวอร์ไดรฟ์ของจริง ที่ทำการ EQ มาเรียบร้อย (EQ ย่อมาจาก Equarlizer (อีคลอไลเซอร์)คือ เครื่องมือในการปรับระดับของเสียง
จะไปเกี่ยวข้องในเรื่องของ ความถี่ของเสียง ด้วย) ซาวเป็นแบบ วง Metal Grunge แต่ก็ใช้กันในศิลปิน เช่น อีริค แคลปตัน
ส่วนใหญ่แอมตัวนี้ จะให้ซาวแบบ Joe Satriani , Van Halen มากกว่า เป็นปรีแอมหลอด ดิสทอเรชั่น ที่ค่อนข้างดีทีเดียว

Fuzz Box - จาก the Arbiter Fuzz Face
ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทุกวัน ความดุของเสียงก็พัฒนาขึ้นด้วย ในปี 1960 Fuzz Box กำเนิดขึ้น
เจ้าตีวนี้เป็นดิสทอเรชั่น ที่นิยมกันมาก ในศิลปินเช่น Jimi Hendrix และ อีกหลายๆคน ที่คิดว่าคงจะคุ้นชื่อกัน
สามารถปรับ Bass Middle Treble ได้ครับ
ตัวอย่างของซาวจาก Fuzz Box หาฟังได้จากเพลง "Perple Haze" ของ Jimi Hendrix
จิมมี่ต่อ Fuzz Bow เข้ากับพาวเวอร์แอมสีส้ม ที่เรียกว่า Orange poweramp แล้วต่อไปที่ตู้ขนาด 4 x 12 ให้ซาวระดับมืออาชีพเลยทีเดียว

Tube Preamp - ปรีแอมป์แบบหลอด ตัดเสียงจี่ออกไปได้อย่างไร้ปัญหา ปรับ Drive ได้คับ ถ้าอยากได้ซาวโหดๆ นอกจากนี้ยังสามารถต่อกับ เครื่อง EQ ในการอัดเสียง เพื่อให้ซาวดีขึ้นได้ด้วยครับ
Pod effect

การแกไขแบบลึก
สามารถทำได้โดย ต่อ Midi เข้าไปในคอมนะคับ โดยใช้โปรแกรม ที่เรียกกันว่า
Line 6 Edit ที่สามารถโหลดได้จาก www.customtone.com หรือ www.line6.com ก็ได้ครับ
โปรแกรมนีรันบน วินโดว และ แมคเท่านั้น จะสามารถทำทุกอย่างแทนที่เราจะต้องมานั่งปรับเองครับ

วิธีการต่อ Pod กับ midi

ก็ใช้ต่อ Midi in & Out เข้าไปในคอมพิวเตอร์นะครับ หรือ ใครจะใช้วิธีแบบคุณนัท sukkavadee
ก็ได้ อิอิ วิธีนี้ผมได้มาใน msn นะคับ เหอๆ เค้าบอกว่าลองไปซื้อสาย Midi ที่ด้านนึงเป็น Midi อีกด้านเป็น pod รูปร่างจะเป้นรูปแบบที่ผมโพสให้ดูนั่นแหละครับ ราคาประมาณ 800 - 2000 บาท แล้วแต่รุ่น
ก็ลองไปหาซื้อได้ สำหรับพวกเครื่องโนตบุคทั้งหลาย

การเปลี่ยนเอฟเฟค

ธรรมดาเลยครับ หมุนปุ่มเอฟเฟคไปที่เอฟเฟคที่ต้องการ แล้วเลือกซาวที่คุณอยากจะใช้ ความดัง ความเร็ว อะไรพวกนี้ ก็ปรับได้ที่ Eff.Tweak นะครับ

*สามารถย้อนกลับไปดู Eff.Tweak ข้างบนได้ ถ้าไม่เข้าใจนะครับ

Effect List Start HerE >>

ReveRB - คือ การสะท้อนของเสียงนั่นเองครับ รีเวริปจะไม่เหมือนดีเลย์นะครับ มันจะเป็นเสียงคล้ายๆกับ เอกโค เหมือนเสียงมันจะควบๆกันอะงับ การปรับก็แค่หมุนปุ่ม Reverb ถ้าจะปรับ โดยกด Tab ค้างไปด้วย ก็จะได้ รีเวริป ดีเคลย์ ทาม คือ.. จะยืดระยะเวลาของการรีเวริปครับ คราวนี้เสียงก็จะออกมาคล้ายๆดีเลแล้วว แต่ก็ยังไม่ใช่อยู่ดีครับ เหอๆ ^^"

Compresser Eff. - ทำให้ซาวดูนุ่ม และ ดังขึ้น จะเป็นตัวที่ทำให้เราเล่น solo ได้เป็นเม็ดๆ ครับ
ตัวนี้ถือว่าดีมาก เพราะว่าช่วยในการฝึกไล่สเกล โครมาติกอะไรของเราได้ แล้วถ้าเสียงบอด มันจะชัดมากครับ
อิอิ ลองเอาไปฝึกกันดู
คอมเฟสเซอร์เอฟเฟคเนี่ย สามารถปรับสัดส่วนของความบีบอัดของเสียง
ได้ด้วยงับ โดยการปรับที่ปุ่ม Eff.tweak

0 - 2.5 = No Compression
2.5 - 4 = 1:4:1
4 - 5.5 = 2:1
5.5 - 7 = 3:1
7 - 9 = 6 : 1
9 - 10 = oo: 1

*oo คือ Infinity แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุดครับ (พิมตัวเลขแปดกลับหัวไม่ได้ - -")

Tremolo - การปรับก็ กด tab ค้าง หมุนที่ Eff.tWeak เพื่อเลือกสปีด ทั้งนี้ สปีดของมัน
สามารถดูได้ที่ไฟสัญญานที่ช่องปุ่ม Tab (hold) ถ้าทำเสียงนี้เร็วๆหน่อย จะได้ซาวประมาณ Madman

Chorus - มีคลอรัส 2 ชนิดด้วยกัน ใน Pod นี้
1 - เป็นแบบ Square wave = คลื่นสี่เหลี่ยม (คือไรหว่า - -") ซาวจะเหมือนๆกับ "rockmount effect"
2 - เป็นแบบ Sine wave = ไม่มีคลื่น จะได้ฟีดแบคมากขึ้น

ทั้ง 2 อย่างนี้ สามารถปรับสปีดได้ โดยการกด tab ค้าง และหมุนที่ Eff.Tweak

Flanger - เสียงแฟลงเจอร์ แถวบ้านผมเรียกเสียงผีหลอก - -
มี 2 รูปแบบอีกเช่นกาน
1- Light Flange แสงไฟที่แปลกปลาด - -" คงเหมือนในผับอะนะ 555+
แพลงเจอร์ตัวนี้ ไม่มี Pre-Delay
2- Deapth Flange ความลึกที่แปลกปลาด (ฝรั่งเข้าใจคิด แต่ละชื่อนะ - -" )
สามารถปรับระดับความลึกได้ที่ Eff. Tweak แต่ถ้ากด tab แล้วหมุน Eff. Tweak ก็จะเป็นการ
เพิ่มลดความเร็วของเสียงหลอนนั่นเอง

Rotary - แปลว่าหมุนเวียน เอฟเฟคตัวนี้มี 2 ระดับความเร็ว คือ Solw และ Fast
ในการทำให้เป็น slow หรือ fast นั้น ก็กด tab หมุนที่ Eff. Tweak ได้เรย

Delay - เป็นเสียงเอคโค สามารถควบคุมระยะเวลาของการดีเลได้ โดยการกด Tab ค้าง แล้วตามด้วย
ปุ่ม Eff.Tweak แต่การปรับระยะเวลานั้น ควรจะมีการคำนวนด้วย ถ้าใครยังไม่รู้ว่าคำนวนยังไง ลองไปดูที่
หน้าเวปกีต้าร์ไทยอะงับ เพลง For the love of god ของอาจาร ตุ้ม รู้สึกในนั้นมีบอก การคำนวนการดีเล
ลองไปหาๆดูงับ เอฟเฟคนี้ต้องปรับ Bass Middle ดีๆด้วยนะ จะทำให้ซาวออกมาดียิ่งขึ้น

Noise Gate - pod มี นอยส์เกตเอาไว้ให้อยู่แล้ว เป็นเอฟเฟคที่ใช้กันประจำในเรื่องของการระงับ เสียงรบกวน หรือที่เราเรียกกันว่า เสียงจี่ นั่นเอง

- การผสมเอฟเฟค

การเซตดีเลสปีดของเอฟเฟคเหล่านี้ ทำได้โดย กด Tab ค้าง แล้วหมุนที่ปุ่ม Bass หรือ Middle
Delay / Compresser - Tweak ควบคุมการกดอัดของความสัมพันธ์ระหว่า eff.
Delay / Tremolo - Tweak จะควบคุมความเร็ว และ ความลึก ของความสั่นไหวของเสียง
Delay / Chorus 1 - Tweak ก็เป็นเสียงดีเลกับ คลอรัส ทำให้เสียงเปลี่ยนไป
Delay / Chorus 2 - Tweak ก็เป็นเสียงดีเลกับ คลอรัส ทำให้เสียงเปลี่ยนไป
Delay / Flanger 1 - Tweak ก็เป็นเสียงดีเลกับ แฟลงเจอร์ ทำให้เสียงเปลี่ยนไป
Delay / Flanger 2 - Tweak ก็เป็นเสียงดีเลกับ แฟลชเจอร์ ทำให้เสียงเปลี่ยนไป
Delay/Swell - มันคือ การใช้โวล. อัตโนมัต ให้ทำเสียงดูชัดขึ้น ใช้ในการเล่น โนต หรือคอร์ต
ควบคุมระดับความดุของเสียงได้ที่ Eff.Tweak
อะ... สรุปครับ สรุปป!!

อ่านให้ดี เหอๆ

เอฟเฟค คลอรัส ก็คือ เฟคที่ใช้ในการเล่น เกา หรือ ทำให้เสียงมันดูพริ้วๆขึ้น จะเหมือนกีต้าร์โปร่ง
ผมก็เคยลองทำนะ ลองใช้วิธีนี้ดูงับ ให้เลื่อนตัวเลือกอัพอัพอะ ไกล้ๆกับปุ่มโวลบนกีต้าร์ของเรา
ไปตรงกลางเลยครับ ใส่คลอรัสไป แล้วปรับ Eff.Tweak อีกนิดๆหน่อยๆ ออกมาเป็นโปร่งไฟฟ้า
หน้าตาเหมือนกีต้าร์ไฟฟ้าแล้วครับ ฮา !!

อันนี้คือสรุปของพี่ออม - -"พี่ออมชื่อในบอร์ดว่าไรนะ ลืมมม - -"
เดี๋ยวมาโพสเครดิทให้นะครับพี่ เหอๆ

amp model กด แทบ เป็นเลเยอร์ 2
effect กดแทบ เป็นเลือกชนิดคาบิเนท - ขนาด
drive กดแทบ เป็น บูทเสียงแตก
Bass กดแทบ เป็น delay ( บางหัวก็ไม่มี)
Mid กดแทบ เป็น มากน้อย ของดีเล
treble -- เป้น Presence เปิด หรือปิดแค่นั้น
reverb -- แทบ เป็น เพิ่มลดขนาดห้อง
effact tweak ปรับพวกความลึกเอฟเฟค -- แทบ จะเป็นปรับสปีด

*เทคนิคปรับเสียงคลีน
-เลือกแอมป์ fender twinreverb ปรับตามชอบเลย ใส่ chorus + delay + reverb

*อันดับแรก จูน Pod ให้เหมาะสมกับตู้ที่คุณใช้ก่อนเลย เลือก AIR เป็น Amp ด้วย(ถ้าผมแปลไม่ผิดซะก่อนนะครับ แต่บางทีผมก็ปรับ Direct นะ)
วิธีจูน กด Save ค้างไว้ตอนเปิดเครื่อง ทีนี้มันจะให้เลือก A B C D ซึ่งมีความหมายดังนี้
A= เสียบเข้า Return หรือ PWR In ของ ตู้แบบ 4*12
B= เสียบเข้า Return หรือ PWR In ของ ตู้แบบ 1*12
C= เสียบเข้า Input ของตู้แบบ 2*12\1*12
D=เสียบเข้า Input ของตู้แบบ 4*12

หลังจาก เลือก A B C D แล้วก็กด save มันจะเข้าสู่การทำงานปกติ
ทีนี้ก็วิธีการจัดการกับหน้าตู้ ผมเขียน2แบบแล้วกันครับ
1.การต่อเข้า Return กับตู้2*12หรือ4*12 ก็ตาม Eq หน้าตู้จะไม่มีผล ปรับเป็น 0 ให้หมดก็ได้ ไม่ต้องยุ่งก็ได้ครับ
2.การต่อเข้า Input ปรับ Eq ให้ปิดทุกอย่าง (Bass,Treb,Presence,Reverb) ยกเว้น Middle ให้เปิดที่ 5 หรือ 10 แล้วแต่กรณีของลักษณะเสียงตู้ กรณีของแบบ2 ควรจะเปิด Output ของ Pod ให้ สุดเลยครับ(เหมือนเวลาต่อเพื่อใช้อัด) แล้วปรับความดังเอาที่ Master Vol ของตู้เอามากน้อย ตามความเหมาะสม เพราะ....เค้าว่ามันจะทำให้ pod ขับเสียงแท้ๆออกมาได้มากที่สุด ผมใช้แบบ2อยู่เพราะควบคุมความดัง-เบาได้ มากขึ้น เวลาต้องการเพิ่มลดส่วนอื่น นิดๆหน่อยๆเล่นปรับที่หน้าตู้เอาพอได้ครับ

เรื่องเสียง คลีนผมใช้ model ไหนจำไม่ได้แต่ผมเปิด effect comp/delay แล้วตั้ง delay time,delay decay ไว้ประมาณเกือบจะปิดน่ะครับ ก็ช่วยความเนียนได้หน่อยนึง

ลองดูแล้วกันครับ อย่าลืมอ่านคู่มือเพิ่มเติมด้วยล่ะ

ปล.กรณีของคุณ Happy Fender มันให้เสียงเหมือนเป๊ะไม่ได้ครับเพราะดอกลำโพงแต่ละตู้ก็ให้เสียงไม่เหมือนกันอยู่ดี แต่อาจจะได้ความใกล้เคียงแบบที่เราตั้งมาอยู่ระดับนึงเหมือนกัน ผมว่ากรณีแบบนี้เหมาะกับการใช้อัดเสียงมากกว่าครับ set ผ่าน หูฟัง monitor ก็พอใช้ได้

*ทำ Bypass
-กด tuner แล้วหมุน chalnal volume ขึ้น

*การต่อโหลดโดยใช้ MIDI
สาย OUT MIDI เข้า IN MIDI ของ POD2.0 ส่วน IN MIDI เข้า OUT MIDI ของ POD2.0 แล้วเปิดsoundDriver โหลดจากเว็ป แล้วมันจะหา PORT เองคับ

การปรับเพื่อให้เข้ากับตู้ที่ใช้
กด SAVE ค้างแล้วเปิดเครื่อง (ให้ดูอักษร A B C D)
ใช้ตู้ a สี่ดอก หัดเทิรน
b สองดอก return
c ต่อแบบ input
d defult

เปลี่ยนโปรแกรมโรงงาน

เวลาเราหมุน เลือก หัว หรือ เลือก effect บางทีเราหมุนมาที่ brit hi gain แล้วมันไม่ถูกใจ
ให้เราปรับจนถูกใจเลือก cab ปรับเสียงมันสามารถ save ลงที่ pod ได้เลย
เวลาเราหมุนมามันก็จะเป็นเสียงที่เราต้องการปรับเสร็จ แล้วกด save + manual พร้อมกัน

a มันจะเป็นภาคแอมป์
b เป็นภาค effect


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


.....เป็นสรุปที่รวบรวมมาจากส่วนต่างๆในเวปกีต้าร์ไทยนี่แหละครับ ........


   สมาชิกแบบพิเศษ   ปลาร้าคุณป้า      17 พ.ย. 51   เวลา 22:53:00       พิมพ์   แจ้งลบ      IP = 114.128.51.188


 


  คำตอบที่ 1  
 
อ่านเหนื่อยเลย ขอบคุณครับ

   เงอะ      20 พ.ย. 51   เวลา 1:31:00   IP = 125.25.94.82
 


  คำตอบที่ 2  
 
ขอบคุณครับ

   สมาชิกแบบพิเศษ      CatzCrewz      4 ธ.ค. 51   เวลา 4:07:00   IP = 58.8.128.148
 


  คำตอบที่ 3  
 
แปะ

   pisarize      20 ก.พ. 54   เวลา 9:05:00   IP = 223.206.34.73
 


  คำตอบที่ 4  
 
จาก http://rattana.org/coe9/mambo/webboard/index.php?showtopic=4079

   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:04:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 5  
 
ว่าด้วยเรื่อง pod

Line6 POD เป็น Amp simulation+effect (หรือจะเรียกรวมๆมันเป็น multi effect ก็พอได้) ที่ได้รับความนิยมมาตลอด ส่วนมากจะได้รับการยอมรับในเรื่องของการจำลอง
เสียงตู้แอมป์ประเภท HI gain (เสียงแตกหนักๆ) ซึ่งนิยมอย่างมากในการใช้บันทึกเสียง ทำ demo หรือแม้แต่ทำออกเป็น master เลยก็มี และก็มีการพัฒนาระบบมาเรื่อยๆ
เป็น version ใหม่ๆหลายรุ่น เริ่มตั้งแต่

Pod>Pod2.0>Pod pro>Pod xt>Pod xt Pro>pod xt live> Pocket pod>Moto pod>pod x3 >pod x3 Live

เสียงที่พัฒนาขึ้นมาก็มีทั้งคนที่ชอบแบบเก่าและแบบใหม่มากกว่า

แต่เจ้า Pod นี่ค่อนข้างจะมีเทคนิคและเคล็ดลับในการใช้งานค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเรื่องสูตรในการนำไปใช้เพื่อการแสดงสด ซึ่งหลายๆคนให้ความสนใจและก็มีสูตรเฉพาะตัว
ตามที่แต่ละคนถนัด และบางคนก็ไม่ชอบเสียงจากการเอาไปเล่นสดของ Pod เอาซะเลย เนื่องจากมันไม่เหมือนกับเวลาที่เราใช้บันทึกเสียง ว่าง่ายๆว่ามันปรับแล้วไม่ได้ดั่งใจนั่นเอง

บทความนี้ผมขอรวบรวมและพูดถึงเทคนิคต่างๆในการใช้ Line6 pod เท่าที่ได้ศึกษามา พร้อมตอบคำถามหลายๆข้อที่มันจะมีถามกันอยู่บ่อยๆ

"โดยที่ผมขออ้างอิงกับ POd 2.0 ที่ผมใช้งานอยู่นะครับ"


   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:05:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 6  
 
บทที่ 0

เรื่องของ Adapter
ขอเตือนไว้ก่อนเปิดใช้งานเลย POD ไม่ใช้ไฟแบบที่เอฟเฟคปกติทั่วไปใช้กันนะครับ อย่าได้เผลอไปเอา adapter อื่นมาเสียบใช้หากไม่ได้ตรวจสอบค่าต่างซะก่อน
Pod ใช้ไฟค่าดังนี้
input 120~60 Hz (ถ้าใช้ในไทยจะเป็น 230 V~50 hz)
output "9Vac" 1200 ma (adapter รุ่นใหม่ๆจะเป็น 2000 Ma)ดูให้ดีนะครับ ปกติทั่วไปจะเป็น Vdc และส่วนมากสินค้า Line6 จะใช้แบบ Vac หมดครับ ทางที่ดีใช้ adapter ของ
Line6 เองดีที่สุดครับ

บทที่1

ว่าด้วยเรื่องการปรับ AIR Mode switch

เมื่อเปิดการใช้งาน POd มา เจ้า POD จะมีปุ่มอยู่ที่ชื่อว่า A.I.R. Mode ซึ่งเจ้าตัวนี้จะแยก mode สำหรับการปรับใช้งาน pod ไว้ 2 mode คือ
1. Direct
2. Amp

แปลตรงตัวว่า ใช้งานแบบต่อตรง(เข้า mixer หรือบันทึกเสียง) และสำหรับต่อเข้ากับตู้แอมป์นั่นเอง
โดย function ความแตกต่างของมัน ขอสรุปเพื่อให้เข้าใจง่ายๆสั้นๆว่า ใน mode direct จะมีการจำลอง ดอกลำโพง ตู้ลำโพง การวางไมค์ และเรื่องของ room และหากเปลี่ยนเป็น
mode amp เจ้าพวกการจำลองพวกนี้ก็จะปิดการใช้งานไปนั่นเอง (ในเรื่องของเสียงแล้วแต่คนชอบนะครับ)



บทที่ 2
Left and Right output และ Phone

Pod มี output รวมทั้งหมด 3 ช่องซึ่งในคู่มือจะพูดถึงเรื่องของ Left output ซะมาก
โดยที่ Left output จะใช้เป็น output หลักในการเชื่อมต่อ pod เพื่อให้สัญญาณออกมาเป็น mono ในส่วนของ right output ผมไม่แน่ใจนักแต่คิดว่าน่าจะทำมาเพื่อการต่อเป็น stereo
แต่ขอไม่ฟันธงนะครับ
ส่วนช่อง Phone มีไว้สำหรับต่อกับหูฟัง กรณีที่คุณต้องการซ้อมโดยไม่รบกวนคนอื่น ในคู่มือพูดถึงจุดที่มีการต่อทั้ง Left output และ ช่อง phone พร้อมกัน ว่าจะทำให้ pod ทำงานเป็น
stereo ทันที ซึ่งกรณีนี้ เสียงในหูฟังจะเป็นปกติ แต่เสียงที่ออกจาก left output จะเพี้ยนไปทันที เพราะฉะนั้นตรวจสอบและเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการ


   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:05:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 7  
 
บทที่ 3
Manual Mode

หลายๆคนสงสัยว่าปุ่มนี้คืออะไร จากคู่มืออธิบายไว้ว่า หากหมุนปุ่มต่างๆบน pod ไว้ที่จุดไหน เมื่อกด manual คุณก็จะได้ยินเสียงตามนั้น
เช่น หากปุ่ม amp model คุณอยู่ที่ brit classic reverb ถูกหมุนไว้จนสุด และ ปุ่ม effect ถูกปรับไว้ที่ flanger เมื่อคุณกด manual คุณก็จะได้ยินเสียงแตกแบบ marshall
ที่มี reverb ฟุ้งๆกับเสียง flanger ปนมาด้วย นั่นเอง ซึ่งจะไม่เกี่ยวข้องหรือมีผลต่อเสียงที่คุณ save เอาไว้

บทที่ 4
ปุ่ม Ouput level

ปุ่มนี้หลายๆคนที่ใช้งานน่าจะพอรู้จักมันดี เปรียบเหมือน master volume บนตู้แอมป์ซึ่งจะไม่มีผลต่อการ save ใน memory (ปุ่มที่มีผลคือ ch vol.)
ในคู่มือพูดถึงการใช้งานปุ่มนี้สำหรับการบันทึกเสียงว่า ควรจะปรับให้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ควรจะ max ไปเลย) เพื่อให้สามารถขับสัญญาณเสียงแท้ๆของมันออกมาได้เต็มๆ
และให้ไปลดการปล่อยความดังของสัญญาณใน ปุ่ม trim ที่ mixer หรือ gain,input level แทน

บทที่ 5
เรื่องของ Tuner

บอกสั้นๆ มันไม่ตรงครับ ไปหาซื้อมาเพิ่มเถอะ ถึงแม้มันจะมีวิธีปรับค่าโดยเมื่อเรากดปุ่ม tuner แล้วหมุนปุ่ม Mid มันจะปรับค่าความถี่ได้ โดยจะขึ้นเป็นความถี่ในหลักหน่วย โดยปกติมันจะ
ถูกตั้งมาที่ 440 เมื่อปรับปุ่ม mid ค่าที่ขึ้นบนจอก็จะเป็น 0 นั่นเอง (มีคนเคยบอกว่าให้ปรับเป็นความถี่ 443 hz แล้วจะตรง แต่ผมว่าก็ไม่ตรงอยู่ดีครับ)


   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:06:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 8  
 
บทที่ 6

amp model

มันจำลองตัวไหนมาบ้างไปดูกันที่นี่ครับ http://www.geocities.com/SunsetStrip/Studi...6/gear_pod.html

บทที่ 7

foot control

แม้ว่าจะมีการทำ foot ของตัวมันเองออกมาขาย แต่ pod ก็สามารถที่จะใช้งานกับ foot midi ชนิดอื่นๆได้ด้วยแทบทุกชนิดครับ เพียงแต่ channel และปุ่มต่างๆอาจจะไม่ตรงกัน
ซึ่งก็สามารถตั้งได้ในแล้วแต่ชนิดของ foot midi ที่นิยมใช้กันก็เช่น foot behringer FCB1010 , foot midi ADA,Foot midi rocktron

#การ set ค่า Wah wah สำหรับ Foot FCB 1010 :Credit คุณ Yngwie_J_Malmsteen จาก Guitar thai

1. กด down ค้างที่ฟุตไว้ จนเข้าโหมด setup
2. กด up ไฟจะติดที่ช่อง 0 8 9 ตามลำดับ
2.1 - 0 ไว้สำหรับตั้งค่าโปรแกรมให้ไปที่ช่องไหนก็ได้ใน POD ตัวอย่าง ช่อง
00 ใน pod จะเป็น manual
01 - 36 จะเป็นช่องโปรแกรมปกติ 36 ช่อง
37 จะเป็นตั้งสาย เราสามารถกดเลิก set ให้ปุ่มใดเป็นตั้งสายโดยการกำหนดให้เป็น 37 ครับ
2.2 8 ไว้ตั้งค่า pedal A
2.3 9 ไว้ตั้งค่า pedal B

3. สมมุติเราจะตั้งค่า pedal A เป็นวาว และ pedal B ไว้สำหรับ ปิดวาว (ต้องเซ็ตค่าปิดด้วย ไม่งั้นเสียงวาวจะติดไปทุก ช่องใน POD )
A กด 8 ให้ไฟกระพริบ แล้วกด up
4. ตั้งค่า โปรแกรม 04 เพื่อ ใช้งาน wah กด up
5. ตั้งค่า Max 127 กด up
6. ตั้งค่า Min 00 ทั้งนี้แล้วแต่เราจะชอบ ทุ้มแหลมนะครับ สามารถกำหนดได้จากตัวเล็ก มากก็แหลม น้อยก็ ทุ้ม กด up
7. จะกลับมาสู่ หน้าแรกที่เรากด down เข้ามา ที่นี้เริ่มตั้งค่าปิด
ปล 5 กับ 6 อาจจะสลับกัน ผมจำไม่ค่อยได้

ในกรณี ตั้งค่า ปิดวาว ให้เซ็ตหมือนกัน 1 - 3
4. ตั้งค่าโปรแกรม 43
5. Max value 01
6. Min 00 เพราะช่วงที่ off จะอยู่ ในช่วง 00 - 60 กว่า ๆ เราแตะ ๆ pedal B มันก็จะปิด วาวเลยครับ

พอตั้งค่าเสร็จแล้ว กด Down ค้างเพื่อออกจากโหมด set up

ถ้าจะตั้งค่า Vol ให้ตั้งเป็น 07 นะครับ ยังมีวิธีตั้งค่าต่าง ๆ มากมาย ให้โหลดค่า midi pod ในคู่มือ XT มาดูครับ ตั้งค่า gain delay ได้สารพัด


   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:06:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 9  
 
บทที่ 8
ปุ่ม TAP

นอกเหนือจากการใช้งานร่วมกับ effect ชนิดต่างๆเพื่อปรับ speed time tempo แล้ว

ปุ่มนี้ทำมาเพื่อเข้าถึงปุ่มปรับค่าต่างๆที่ไม่แสดงบนหน้าจอ pod (ซึ่งรุ่นหลังๆแก้ไขแล้ว) วิธีการใช้งานก็คือ กดมันค้างไว้แล้วไปปรับปุ่มที่ต้องการ
ได้แก่
T+ Amp model = Amp model อีกชุดหนึ่งซึ่งไม่ได้เขียนไว้บนตัว pod (หาดูจากในคู่มือเอานะครับ)
T+Effect = เลือก Cabinet
T+ Drive = Drive Boost
T+Bass = Delay Feedback
T+Mid = Delay Level
T+Treble = Presence
T+Effect = Effect speed


บทที่ 9 การต่อ POD เพื่อ edit เสียงใน computer

Pod จะมีโปรแกรมสำหรับต่อเข้า computer เพื่อ edit function ที่เรามองไม่เห็นและไม่สามารถทำได้หากไม่เข้าไป edit ในโปรแกรมของ Line6 (ในที่นี้ขอพูดถึง Line6 Edit)
รวมไปถึงการ download patch preset เสียงในแบบต่างๆที่มีคนมาโพสต์ให้โหลดกัน และยังสามารถ upgrade firmware ได้ด้วย หรือจะ save เสียงที่เราชอบเอาไว้ก็ได้

การเชื่อมต่อสามารถเลือกได้ 2 แบบในปัจจุบัน โดยใช้ midi interface แบบเดิมคือ หัวต่อข้างนึงเป็น midi in/out อีกข้างเป็นหัว printer ไว้ต่อกับ port printer
แต่ปัจจุบันจะเป็นหัวแบบ USB ซะมากเพราะมีความเร็วในการส่งข้อมูลและสะดวกเวลาใช้กับ notebook

วิธีเชื่อมต่อ
1. window ของคุณต้องมี java runtime ถ้าไม่มีให้ไปหาดาวโหลดมาลงซะ

http://java.sun.com/javase/downloads/index.jsp

เลือก Java Runtime Environment (JRE) แล้วเลือกแพลทฟอร์ม

2. นำสายต่อมาต่อ pod กับ com โดยเสียบหัว usb เข้ากับช่อง usb ส่วนอีกข้างที่เป็นหัว midi ให้เสียบกับช่อง midi in/out ของ pod โดยเสียบสลับช่องกัน คือ out เข้า in และ in เข้า out
3. เมื่อต่อเรียบร้อยให้เปิด pod ขึ้นมาก่อนแล้วเปิด program line6 edit
4.จะมี configure ให้ปรับก่อนเข้าโปรแกรมโดยให้เลือก รุ่นของ pod ที่คุณใช้และ port usb ที่คุณต่อ โดยตรงนี้อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นที่เลือก port ไม่ตรง
วิธีง่ายๆคือลองเลือกสลับไปเรื่อยๆดู โดยกรณีของผม midi in จะเป็น usb1 ส่วน midi out เป็น usb2 ถ้าหากคุณเลือกถูกก็จะสามารถ connecting กับ pod ได้
และสามารถเข้าไป edit เสียงได้ตามชอบ
5. ถ้าต้องการ download patch เสียงต่างๆ รวมถึง โปรแกรม line6 และการ update เข้าไปได้ที่ www.customtone.com ต้องสมัครสมาชิกก่อนโดยไม่ต้องเสียเงิน

   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:08:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 10  
 
บทที่ 10 การใช้ pod สำหรับเล่นสด

เนื่องจากแต่ละคนจะมีความถนัดความชอบในรูปแบบการใช้งานต่างกันไป แต่บทนี้จะขอพูดถึงการปรับเพื่อเล่นสดแบ่งเป็น 2 แบบคือ
โดยคำแนะนำที่มาจากคู่มือ และอีกส่วนนึงคือวิธีที่มาจากประสบการณ์โดยตรงและสอบถามผู้รู้

1. วิธีจากคู่มือ

อันดับแรก จูน Pod ให้เหมาะสมกับตู้ที่คุณใช้ก่อนเลย เลือก AIR เป็น Amp ด้วย(ถ้าผมแปลไม่ผิดซะก่อนนะครับ แต่บางทีผมก็ปรับ Direct นะ)
วิธีจูน กด Save ค้างไว้ตอนเปิดเครื่อง ทีนี้มันจะให้เลือก A B C D ซึ่งมีความหมายดังนี้
A= เสียบเข้า Return หรือ PWR In ของ ตู้แบบ 4*12
B= เสียบเข้า Return หรือ PWR In ของ ตู้แบบ 1*12
C= เสียบเข้า Input ของตู้แบบ 2*12\1*12
D=เสียบเข้า Input ของตู้แบบ 4*12

หลังจาก เลือก A B C D แล้วก็กด save มันจะเข้าสู่การทำงานปกติ
ทีนี้ก็วิธีการจัดการกับหน้าตู้ ผมเขียน2แบบแล้วกันครับ
1.การต่อเข้า Return กับตู้2*12หรือ4*12 ก็ตาม Eq หน้าตู้จะไม่มีผล ปรับเป็น 0 ให้หมดก็ได้ ไม่ต้องยุ่งก็ได้ครับ
2.การต่อเข้า Input ปรับ Eq ให้ปิดทุกอย่าง (Bass,Treb,Presence,Reverb) ยกเว้น Middle ให้เปิดที่ 5 หรือ 10 แล้วแต่กรณีของลักษณะเสียงตู้
กรณีของแบบ2 ควรจะเปิด Output ของ Pod ให้ สุดเลยครับ(เหมือนเวลาต่อเพื่อใช้อัด) แล้วปรับความดังเอาที่ Master Vol ของตู้เอามากน้อย ตามความเหมาะสม
เพราะ....เค้าว่ามันจะทำให้ pod ขับเสียงแท้ๆออกมาได้มากที่สุด ผมใช้แบบ2อยู่เพราะควบคุมความดัง-เบาได้ มากขึ้น เวลาต้องการเพิ่มลดส่วนอื่น
นิดๆหน่อยๆเล่นปรับที่หน้าตู้เอาพอได้ครับ[B]

   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:13:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 11  
 
2. วิธีที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับผม

หลายๆคนไม่สามารถหาวิธีปรับ pod เพื่อการเล่นสดแล้วได้ sound ดีๆได้เลย เนื่องจากระบบของ pod ถูกออกแบบมาเพื่อการต่อตรงเข้า mixer เป็นหลักมากกว่าต่อแอมป์
ปัญหาที่เจอส่วนใหญ่(ไม่ว่าคุณจะเลือก AIR ไป mode ในก็ตาม) คือ
- เสียงที่ set ไว้ตอนใช้อัดทำเพลง ไม่เหมือนกับเวลาไปต่อตู้
- เจอตู้แอมป์คุณภาพไม่ดี
- เจอตู้แอมป์ที่ไม่มีช่อง return หรือ pwr amp in ( fender จะเป็นช่องนี้) สำหรับกรณีที่ชอบ mode direct มากกว่า
- แม้ว่าจะต่อ return แล้วเสียงก็ไม่เหมือนที่ set ไว้อัดอยู่ดี

ทำไมถึงเจอปัญหาเหล่านี้?

เหตุผลคือ pod เป็น amp simulation ที่จำลองเสียงของ หัวแอมป์รวมไปถึง cabinet ดังๆไว้หลายแบรนด์ หรือพูดง่ายๆคือ จำลองเสียงตู้แอมป์ดีๆดังๆมาให้ใช้ทั้ง set
(จะเหมือนมากน้อยแล้วแต่คนชอบแล้วแต่การปรับ)
ดังนั้นการต่อเข้าช่อง input ของ amp เพื่อเล่นสดเจอเกิดอาการ pre amp (หน้าตู้) ซ้อนกัน เป็นผลให้เสียงบี้แบนและบาง แม้ว่าจะมี AIR mode amp มาให้ใช้แต่เสียงที่ได้
ก็ไม่เหมือนกับเวลาที่ใช้ระบบ direct เพราะ Mode amp จะเป็นแค่การยกเลิก ไมค์จำลองและ cab จำลอง ดังนั้นก็จะเกิดปัจจัยที่ทำให้เสียงต่างออกไปคือ ตู้แอมป์ที่คุณใช้นั้นเอง
เพราะแอมป์แต่ละรุ่นแต่ละตัวก็ให้เสียงไม่เหมือนกัน ใน mode amp นี้การจำลองเสียงจากตู้ที่ว่าดีๆก็จะลดคุณภาพความเหมือนลงไป

แล้วทำไมต่อให้ต่อเข้า return หรือ pwr amp in ก็ไม่เหมือนเสียงที่ตั้งไว้ใช้อัดอยู่ดี?

เพราะหลายๆคนอาจจะลืมไปว่า pod ไม่ได้จำลองแค่หัวแอมป์และ cab เท่านั้น.. แต่มันจำลองระบบการวางไมค์และroomเอาไว้อีกด้วย รวมไปถึงการจำลอง cabinet อยู่แล้ว การที่เรา
ไปใช้ cabinet จากตู้แอมป์จริงก็ทำให้เสียงเพี้ยนไป เพราะฉะนั้นการใช้ไมค์จ่อตู้ การเล่นในสถานที่ต่างกันและการใช้ตู้ลำโพงจากแอมป์จริง เป็นส่วนที่ทำให้คุณภาพเสียงที่คุณ set เอาไว้ไม่เหมือนเดิม

ว่าด้วยการเชื่อมต่อ pod เพื่อการเล่นสดและขับเอาศักยภาพของ POD ออกมาให้มากที่สุด

จากปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น เราต้องทำให้ปัจจัยเหล่านั้นหมดไป แล้วใช้ศักยภาพจากตัว pod เองให้มากที่สุด ... ใช้ amp sim ,cabinet sim, micing ,room จาก pod เพียวๆ
เราจะทำได้ยังไง
คำตอบคือเราต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่มคือ DI BOX ( Direct box ) ขออนุญาติข้ามการอธิบายว่าเจัาตัวนี้คืออะไรมีหน้าที่อะไร เนื่องจากผู้เขียนไม่มีความรู้ตรงนี้
แต่เจ้า di box นี่ล่ะทำให้เราสามารถใช้ ศักยภาพของ pod ได้เพียวๆ โดยตัดปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเสียงออกไปได้หมด

   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:13:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 12  
 
เลือก AIR เป็น direct ให้ใช้สายแจ๊คปกติต่อ out จาก pod ไปที่ DI Box แล้วในส่วน out ของ DI BOX จะเป็นแบบ 3 ขาหรือ XLR
ซึ่งเจ้าตัวนี้เราจะหาสายที่ไหนมาต่อ??
ให้ถอดสายนี้ออกจากท้ายไมค์ที่เราใช้จ่อตู้แอมป์ของเรา แล้วไปเสียบเข้า out ของ DI แทน
เพราะฉะนั้นตอนนี้ POD ของเราจะถูกส่งสัญญาณไปที่ Board Mixerโดยตรงเลย ไม่ต้องผ่านปัจจัยต่างๆ ซึ่งก็เหมือนเวลาเราปรับเพื่อใช้อัดเสียงนั่นเอง

ไมค์จ่อก็ไม่ต้องใช้จึงตัดปัญหาระบบจำลองการวางไมค์จะซ้อนกับของจริง
ไม่ต้องใช้ cabinet ของตู้แอมป์ ปัญหาเสียงจาก cab และจำนวนดอกของ cab ที่ไม่เท่ากันอันเป็นผลให้เสียงเพี้ยนไปก็หมดไป
ไม่ต้องกลัวว่าตู้แอมป์จะไม่มีช่อง return หรือ pwr amp in
ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอตู้แอมป์ไม่ดีหรือตู้เสีย
ได้เสียงที่เหมือนเดิมแน่นอนทุกครั้ง

แล้วตู้แอมป์ไม่ต้องใช้เลยเหรอ??

อันนี้แล้วแต่ครับ อาจจะไม่ต้องใช้เลยก็ได้ หรืออาจจะต่อใช้เป็นแค่ Monitor โดยต่อออกจาก line out ช่องธรรมดาของ di (จากที่เห็นในรูป)
ก็ได้ครับถ้าไม่ชินแต่เสียงอาจจะแปลกไปตามปัจจัยที่บอกไว้ข้างต้นครับ
ให้ฟัง monitor จริงเป็นหลักไว้ก่อน

ศิลปินที่ใช้วิธีนี้อยู่ก็เช่น คุณ แจน So cool และพี่เอก Black head ลองไปหาฟัง ได้ตามงานคอนเสิร์ตนะครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ชอบ บางคนอาจจะชอบต่อ input โดยปิด cab sim แล้วปรับเอาหรือจะมีวิธีอื่นๆต่างกันไปก็แล้วแต่ชอบครับ พี่พิเชษฐ์ Farenhiet ก็ใช้วิธีต่อเข้า input ครับ


   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:15:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 13  
 
บทที่ 11 พวก POD ตระกูล Pro ต่างกับ POD ธรรมดาอย่างไร?

เอาที่สำคัญสุดเลยก็คือมันมี DI Box มาในตัวครับไม่ต้องไปซื้อเพิ่มสามารถยิงสัญญาณตรงจาก pod เข้า mix ได้เลยโดยใช้สาย xlr จากท้ายไมค์เช่นกัน

บทที่ 12 การทำ By pass

อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อย work สำหรับ POD เนื่องจากระบบ By Pass ไม่เป็น True by pass แถมเสียงยังเพี้ยนไปจากเดิมเยอะอีกด้วย
แต่หากใครต้องการทำก็ให้เลือก amp model ไปที่ Tube Preamp และ Cabinet ไปที่ off รวมถึงเลือก fx เป็น off และ ปิด reverb ด้วย
อีกวิธีก็คือ กด tuner แล้วหมุนปุ่ม vol.

บทที่ 13 การ reset เครื่องใหม่

ปิดเครื่องแล้วกดปุ่ม up down ค้างไว้พร้อมกัน pod จะกลับไปเป็น preset เดิมจาก โรงงานที่ให้


ขอจบเพียงเท่านี้ครับ หากใครมีเทคนิคอะไรหรือยากเสริม เพิ่มเืติม่แก้ไขตรงไหนก็เชิญด้วยนะครับ
หวังว่าจะมีประโยชน์กับชาว Line6 mania ทุกท่าน เพราะสำหรับผม POD จำลองเสียงแตกพวก Hi gain ได้ดีที่สุดแล้วครับ ราคาปัจจุบันก็ไม่แพงอีกด้วย คุ้มค่ามากๆ

หากข้อมูลใดผิดพลาดก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ

   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:15:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 14  
 
จาก http://www.guitarthai.com/webboard/question.asp?QID=303603

โดย por8051

   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:16:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 15  
 
ก่อนอื่อท่านต้องเข้าใจก่อนครับว่า การเปลี่ยนค่า Preset ของ POD 2.0 คือการใช้สัญญาณ MIDI Program Change (หรือ PC) โดยการส่ง จะประกอบด้วย MIDI Channel และตามด้วย MIDI PC

สำหรับ Preset ของ POD 2.0 สามารถ Mapping กับ MIDI PC ได้ดังนี้ครับ


========================================================================

Manual = 00 (PC# 0)

1A = 01 (PC#1)
1B = 02 (PC#2)
1C = 03 (PC#3)
1D = 04 (PC#4)

2A = 05 (PC#5)
2B = 06 (PC#6)
2C = 07 (PC#7)
2D = 08 (PC#8)

3A = 09 (PC#9)
3B = 10 (PC#10)
3C = 11 (PC#11)
3D = 12 (PC#12)

4A = 13 (PC# 13)
4B = 14 (PC# 14)
4C = 15 (PC# 15)
4D = 16 (PC# 16)

5A = 17 (PC#17)
5B = 18 (PC#18)
5C = 19 (PC#19)
5D = 20 (PC#20)

6A = 21 (PC#21)
6B = 22 (PC#22)
6C = 23 (PC#23)
6D = 24 (PC#24)

7A = 25 (PC#25)
7B = 26 (PC#26)
7C = 27 (PC#27)
7D = 28 (PC#28)

8A = 29 (PC#29)
8B = 30 (PC#30)
8C = 31 (PC#31)
8D = 32 (PC#32)

9A = 33 (PC#33)
9B = 34 (PC#34)
9C = 35 (PC#35)
9D = 36 (PC#36)

========================================================================




โดย ปกติแล้ว Standard MIDI Equipment จะเริ่มที่ MIDI PC#0 ซึ่ง FCB4N2 ก็เหมือนกัน จะเริ่มที่ PC#0 โดยตำแหน่ง Bank#1 - P1

คร่าวๆ ตามด้านล่างครับ

Bank#1-P1 = 00 (PC#0)
Bank#1-P2 = 01 (PC#1)
Bank#1-P3 = 02 (PC#2)
Bank#1-P4 = 03 (PC#3)

Bank#2-P1 = 04 (PC#4)
Bank#2-P2 = 05 (PC#5)
Bank#2-P3 = 06 (PC#6)
Bank#2-P4 = 07 (PC#7)

Bank#3-P1 = 08 (PC#8)
Bank#3-P2 = 09 (PC#9)
Bank#3-P3 = 10 (PC#10)
Bank#3-P4 = 11 (PC#11)
.
.
.
.
.
Bank#32-P1 = 124 (PC#124)
Bank#32-P2 = 125 (PC#125)
Bank#32-P3 = 126 (PC#126)
Bank#32-P4 = 127 (PC#127)


ซึ่ง FCB4N2 สามารถส่ง MIDI PC# ได้ตั้งแต่ PC#0 - PC#127 (ทั้งหมด 128 PCs) แต่ POD 2.0 รองรับแค่ 37 PCs (PC#0 - PC#36)

อีกทั้ง MIDI PC สั่งงานไม่ตรงกันอีก คือ

--------------------------------
(FCB4N2 = POD2.0)
--------------------------------
Bank#1-P1 = Manual
Bank#1-P2 = 1A
Bank#1-P3 = 1B
Bank#1-P4 = 1C

Bank#2-P1 = 1D
Bank#2-P2 = 2A
Bank#2-P3 = 2B
Bank#2-P4 = 2C




ดังนั้ง ท่าานต้อง Reset FCB4N2 ให้ใช้ค่า MIDI PC เริ่มต้นที่ PC#1 ตรงกับ POD 2.0 โดยสามารถทำได้ดังนี้

1) ถอดไฟเลี้ยง ออกจาก FCB4N2
2) กดปุ่ม P3 ของ FCB4N2 ค้างไว้
3) จ่ายไฟคืนให้ FCB4N2 (จังหวะนี้ท่านจะมองเห็นหน้าจอของ FCB4N2 กระพริบเป็น จุด)
4) ปล่อยมือออกจาก ปุ่ม P3 และรอให้กระบวนการ Reset เสร็จสิ้น หน้าจอจะกลับมาเริ่มต้นที่ Bank#1



   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:19:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 16  
 
หลังจาก Reset FCB4N2 เสร็จสิ้น จะได้ค่า MIDI Channel เริ่มต้นกลับไปเป็นที่ MIDI Channel#1 ดังนั้นท่านต้องมั่นใจว่าท่านได้ตั้งค่า MIDI Channel ของ POD2.0 เป็น MIDI Channel#1

***** สำคัญนะครับ ถ้า MIDI Channel ไม่ตรงกัน จะไม่สามารถสั่งงานได้ *****


สำหรับวิธีการโปรแกรม ผมยกตัวอย่างดังนี้...


---------------------------------------
(POD2.0 ===> FCB4N2)
---------------------------------------
1A = Clean ===> Bank#1-P1
2A = Crunch ===> Bank#1-P2
2D = Dis ===> Bank#1-P3
3B = Solo ===> Bank#1-P4

ก่อนอื่น ท่านต้องทราบค่า MIDI PC ของเสียงที่ท่านจะโปรแกรมก่อน ซึ่งจากตัวอย่างด้านบน สามารถเขียนได้ดังนี้

1A = Clean ===> Bank#1-P1 <===== 01 (PC#01)
2A = Crunch ===> Bank#1-P2 <===== 05 (PC#05)
2D = Dis ===> Bank#1-P3 <===== 08 (PC#08)
3B = Solo ===> Bank#1-P4 <===== 10 (PC#10)


ดังนั้น ท่านสามารถโปรแกรม FCB4N2 ได้ดังนี้ (อย่าลืมนะครับว่า POD 2.0 ของท่านต้องตั้ง MIDI Channel#1)


================================================
BANK#1 - P1
================================================
1) กดเลือก Bank#1 - P1 ของ FCB4N2 ท่านจะเห็น ไฟติดที่ตำแหน่ง P1 (ไม่ต้องสนใจว่า POD 2.0 จะเป็นเสียงอะไร)
2) กด Bank up และ Bank Down พร้อมกัน ท่านจะเห็นหน้าจอขึ้นว่า Pr (ซึ่งหมายถึงโปรแกรม)
3) ปล่อยมือ แล้วป้อนค่าตามนี้

P1 = 01 (MIDI Channel#1)
o1 = 01 (PC#1 หรือ POD 2.0 Preset - 1A)
P2 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P3 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P4 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
CC = oF (off หรือ ไม่ใช้)

4) กด Save


================================================
BANK#1 - P2
================================================
1) กดเลือก Bank#1 - P2 ของ FCB4N2 ท่านจะเห็น ไฟติดที่ตำแหน่ง P2 (ไม่ต้องสนใจว่า POD 2.0 จะเป็นเสียงอะไร)
2) กด Bank up และ Bank Down พร้อมกัน ท่านจะเห็นหน้าจอขึ้นว่า Pr (ซึ่งหมายถึงโปรแกรม)
3) ปล่อยมือ แล้วป้อนค่าตามนี้

P1 = 01 (MIDI Channel#1)
o1 = 05 (PC#1 หรือ POD 2.0 Preset - 2A)
P2 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P3 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P4 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
CC = oF (off หรือ ไม่ใช้)

4) กด Save


================================================
BANK#1 - P3
================================================
1) กดเลือก Bank#1 - P3 ของ FCB4N2 ท่านจะเห็น ไฟติดที่ตำแหน่ง P3 (ไม่ต้องสนใจว่า POD 2.0 จะเป็นเสียงอะไร)
2) กด Bank up และ Bank Down พร้อมกัน ท่านจะเห็นหน้าจอขึ้นว่า Pr (ซึ่งหมายถึงโปรแกรม)
3) ปล่อยมือ แล้วป้อนค่าตามนี้

P1 = 01 (MIDI Channel#1)
o1 = 08 (PC#1 หรือ POD 2.0 Preset - 2D)
P2 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P3 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P4 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
CC = oF (off หรือ ไม่ใช้)

4) กด Save


================================================
BANK#1 - P4
================================================
1) กดเลือก Bank#1 - P4 ของ FCB4N2 ท่านจะเห็น ไฟติดที่ตำแหน่ง P4 (ไม่ต้องสนใจว่า POD 2.0 จะเป็นเสียงอะไร)
2) กด Bank up และ Bank Down พร้อมกัน ท่านจะเห็นหน้าจอขึ้นว่า Pr (ซึ่งหมายถึงโปรแกรม)
3) ปล่อยมือ แล้วป้อนค่าตามนี้

P1 = 01 (MIDI Channel#1)
o1 = 10 (PC#1 หรือ POD 2.0 Preset - 3B)
P2 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P3 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P4 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
CC = oF (off หรือ ไม่ใช้)

4) กด Save






สำหรับ Enter, Save หรือ Cancel ให้ดูตัวหนังสือกำกับ บนสวิทช์ครับ
หากท่านไม่แน่ใจว่ากำลังใส่ค่าอะไรอยู่ ให้กดปุ่ม P1 ค้างไว้ครับ ซึ่งหมายถึง Menu เพื่อแสดง Menu ที่ท่านกำลังโปรแกรม

สำหรับการป้อนค่า โดยใส่ตัวเลข ให้กด Bank up หรือ Bank Down ครับ เพื่อเลื่นตัวเลข

   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:22:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 17  
 
สมมุติว่าท่านต้องการ Tap Delay กรณีท่านตั้งเสียง Delay ไว้ และต้องการ Tap delay สามารถทำได้ โดยการเหยียบ Preset นั้นๆ 2 ครั้ง (หรือมากกว่า แต่ต้องเป็นเลขคู่ เช่นเหยียบ 2 ครั้ง, 4 ครั้ง หรือ 6 ครั้ง เป็นต้น)

ผมขอยกตัวอย่างเสียงนะครับ

---------------------------------------
(POD2.0 ===> FCB4N2)
---------------------------------------
1A = Clean ===> Bank#1-P1
2A = Crunch ===> Bank#1-P2
2D = Dis ===> Bank#1-P3
3B = Solo ===> Bank#1-P4


เสียง 3B หรือ Solo เราใส่ Delay ไว้ และต้องการ Tab Delay ด้วย เมื่อเปลี่ยน Preset สามารทำได้ดังนี้ครับ


================================================
BANK#1 - P4
================================================
1) กดเลือก Bank#1 - P4 ของ FCB4N2 ท่านจะเห็น ไฟติดที่ตำแหน่ง P4 (ไม่ต้องสนใจว่า POD 2.0 จะเป็นเสียงอะไร)
2) กด Bank up และ Bank Down พร้อมกัน ท่านจะเห็นหน้าจอขึ้นว่า Pr (ซึ่งหมายถึงโปรแกรม)
3) ปล่อยมือ แล้วป้อนค่าตามนี้

P1 = 01 (MIDI Channel#1)
o1 = 10 (PC#1 หรือ POD 2.0 Preset - 3B)
P2 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P3 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
P4 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
CC = 01 (MIDI Channel#1)
C1 = 64 (POD 2.0 tap CC# command)
c1 = 2.7 (POD 2.0 tap delay ON)
C2 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
C3 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
C4 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
C5 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
C6 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
C7 = oF (off หรือ ไม่ใช้)
C8 = oF (off หรือ ไม่ใช้)

4) กด Save



เพียงเท่านี้ Bank#1 - P4 ท่านก็สามารถ tap delay โดยการเหยียบ 2 ครั้ง



ท่านสามารถประยุกต์ใช้ ปิด/เปิด effect block ต่างๆ ใน POD 2.0 ได้ โดยให้ศึกษาเพิ่มเติมเรื่องของ MIDI CC# ในคู่มือ POD 2.0 นะครับ



ขอให้สนุกครับ...



   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:23:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 18  
 
The FCB4N has factory default presets mode F1 – F8 and U1 – U2 mode for users setting.
ผมซัดโหมดนี้ไปแล้วครับ ต้องขออภัย ของผมที่ได้มา มันเป็นรุ่น PEAK FCB4N น่ะครับ การกดปุ่มบึนทึกโปรแกรม เลยน่าจะใช้ของ ที่น้า por8051 ให้มาไม่ได้ ครับ ของผม Pr มันใช้ปุ่ม P1 กดเอาน่ะครับ ไม่ได้ใช้ แบบ สองปุ่ม Up Down แต่ก็ขอบคุณมากครับ แค่มันเปลี่ยน Bank ได้ผมก็พอใจแล้ว แล้วยังใช้คู่กับ FBV Express ได้ด้วย งานไส้เลยคราวนี้


Factory default mode F1 – F8
The Factory default presets mode contains mode F1 – F8 have different Bank totally and MIDI PC# starts.
This setting is completely setting for user that means you just select a preset mode which you want and
choose a MIDI channel. That’s ready to control your MIDI device in a program change function.
MODE F1
Bank rank: Bank#1 – Bank#4
MIDI Program Change rank: PC#0 – PC#15
MIDI Channel: CH#1 – CH#16 (selectable but default is CH#1)
Total = 16 Presets.
MODE F2
Bank rank: Bank#1 – Bank#4
MIDI Program Change rank: PC#1 – PC#16
MIDI Channel: CH#1 – CH#16 (selectable but default is CH#1)
Total = 16 Presets.
MODE F3
Bank rank: Bank#1 – Bank#9
MIDI Program Change rank: PC#0 – PC#35
MIDI Channel: CH#1 – CH#16 (selectable but default is CH#1)
Total = 36 Presets.
MODE F4
Bank rank: Bank#1 – Bank#9
MIDI Program Change rank: PC#1 – PC#36
MIDI Channel: CH#1 – CH#16 (selectable but default is CH#1)
Total = 36 Presets.
MODE F5
Bank rank: Bank#1 – Bank#20
MIDI Program Change rank: PC#0 – PC#79
MIDI Channel: CH#1 – CH#16 (selectable but default is CH#1)
Total = 80 Presets.
MODE F6
Bank rank: Bank#1 – Bank#20
MIDI Program Change rank: PC#1 – PC#80
MIDI Channel: CH#1 – CH#16 (selectable but default is CH#1)
Total = 80 Presets.
MODE F7
Bank rank: Bank#1 – Bank#32
MIDI Program Change rank: PC#0 – PC#127
MIDI Channel: CH#1 – CH#16 (selectable but default is CH#1)
Total = 128 Presets.
MODE F8
Bank rank: Bank#1 – Bank#32
MIDI Program Change rank: PC#1 – PC#127 and back to PC#0
MIDI Channel: CH#1 – CH#16 (selectable but default is CH#1)
Total = 128 Presets


   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:23:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 19  
 

ใครที่มี ทำตามผม ง่ายๆ(เอาง่ายเข้าว่า เหอๆๆ) พอเราโปรแกรมไว้แล้วใน preset 1A 1B 1C 1D/2A 2B 2C 2D ไล่ไปจนครบ 9โหมด

ใครได้เจ้า Peak มาก็ หาสาย Midi 5 pin มาต่อ

พอไฟเข้าทำงาน ก็ถ้าจะ Reset ให้ เอาสายไฟที่ จ่ายให้ Peak ออก แล้ว กดปุ่ม P4ค้างไว้

แล้วเอาไฟเสียบเข้า จะเห็น จอโชว์ เป็น จุดไข่ปลา เอาสายไฟออก เริ่มเปิดใหม่(เอาสายไฟเสียบอ่ะน่ะ) จะเป็นการตั้งเดิมจากค่าโรงงาน ครับ

ทีนี้ ถ้าจะให้ได้ โปรแกรม ครบ 9 โหมด 36 Preset ก็ให้ เอาสายไฟ ออก กดปุ่ม P1 ค้างไว้ เอาสายไฟ เสียบใหม่ แล้ว ปล่อย ปุ่ม ซัก 1 วินาที กด ปุ่ม P1 ค้างไว้ จะเห็นเป็นค่าเริ่มแรก กดกระพริบๆ เราก็ ไปกดปุ่ม P2แทน เลือกมาที่ F4 กด Ch 1 แล้ว ก็ กด Save คือปุ่ม P4 นั่นแหละครับ เราก็จะได้การควบคุม ครบทั้ง 36 Preset เท่าที่ POD 2.0 เค้ามีมาให้น่ะครับ ง่ายดี วิธีนี้ เอามาใช้ร่วมกับ FBV Express อย่างที่บอกได้ครับ (ตอนแรกผมนึกว่ามันจะใช้ร่วมกันไม่ได้)

กีตาร์เถื่อน 11 ก.ย. 54 เวลา 14:59:00 IP = 124.120.240.45


   norgesic      15 พ.ค. 55   เวลา 10:24:00   IP = 125.27.127.245
 


  คำตอบที่ 20  
 
โคตรแจ่ม

   Force      11 ก.ย. 56   เวลา 22:39:00   IP = 27.55.155.230
 


  คำตอบที่ 21  
 
สาระสำคัญ...

   เอ๋ครับ      24 ธ.ค. 56   เวลา 13:17:00   IP = 27.55.172.75
 


  คำตอบที่ 22  
 
สวัสดีครับทุกท่าน ผมอยากกจะขอลิ้งที่เป็นตัวโหลดโปรแกรมpod2.0 เพื่อแก้ใขเสียงในจอคอม (หรือมันสามารถโหลดเสียงใหม่ๆได้ไหมครับ) โดยผ่านMidi USB ที่เพิ่งซื้อมาครับ แล้วมันทำอะไรได้บ้างครับ ขอบคุณพื้นที่ดีๆครับ


   สมาชิกแบบพิเศษ      guitar_teck      16 เม.ย. 57   เวลา 12:06:00   IP = 171.7.161.70
 


  คำตอบที่ 23  
 
good

   arty1916@hotmail.co.th      7 ก.ค. 59   เวลา 1:57:00   IP = 119.76.98.112
 


  คำตอบที่ 24  
 
อยากให้พี่ norgesic ช่วยแนะนำเคล็ดลับการใช้งาน ฟุตสวิทช์ peak เพิ่มเติมอีกได้ไหมครับ ผมกำลังเลือกอยู่ว่าจะซื้อยี่ห้อนี้ เพื่อใช่ร่วมกับ ถั่วแดง 2.0 จีน นี่แหละครับ
ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับผม

   หวานๆ      13 เม.ย. 62   เวลา 4:16:00   IP = 118.172.66.129
 


  คำตอบที่ 25  
 
ขอคู่มือ BASS POD 2.0 บ้างได้มั้ยครับ

   Baicha.nt   28 ต.ค. 63   เวลา 22:01:00   IP = 182.232.236.58
 




any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
All Rights Reserved (C) Copyright 1999 - 2005


Thailand Web Stat