 |
|
 |
|
On the Rock |
|
|
|
|
|
 |
Hard Rock หนึ่งในรูปแบบของดนตรีจังหวะ Rock and Roll ในยุค 1960 ดนตรี Rock ได้แตก
แขนงขึ้นมากมาย Hard rock ความนิยมสูงที่สุดในระหว่างปี 1969 และ 1985
Hard Rock จำกัดความอย่างง่ายๆ คือดนตรีมีนำดนตรีร๊อคนำมาเล่นในหนักขึ้น และ ได้เป็นต้นแบบของ
ดนตรี Heavy Metal แต่มีความแตกต่างเล็กน้อย คีย์ที่ปรับบ่อยๆ สเกลที่ใช้บ่อยๆ คือ Pentatonic
scale สำหรับการสร้างดนตรีนี้เริ่มจาก การใช้ Power chord จากแทนที่จะเล่นคีย์ธรรมดาแต่ปรับมาเล่น
ต่างจากปกติ 4-5 คีย์ ของ สเกลHard Rock มักจะใช้ effect เสียง Trebly Overdrive บนกีตาร์ กลอง ตีอยู่ใน 100 - 150 Beats ,
กับ 120 BPM โดยทั่วไป โดยปกติโดยปกติเสียงโทนต่ำใน Bass guitar เสียงความอบอุ่นและเป็นลักษณะ
ของเพลงโทนต่ำ เหล่านั้นที่ค้นพบในดนตรี Hard Rock และ Heavy Metal ในต่อมาด้วย
ในบทเพลงจะมีคล้าโคลงโดยเริ่มจาก intro , verse1 , chorus1 , verse2 , chorus2 , solo ,
chorus3 และ ending หรืออาจจะวนมาที่ Chorus2 อีกรอบก็ได้
ในขณะดนตรีฮาร์ดร๊อคเกิดขึ้นก็ได้มีสายต่างๆแยกมาด้วยเช่นกัน เช่น Punk rock , Grunge ,
Industrial rock และ Heavy Metal อีกด้วย ซึ่ง Hard Rock ได้พัฒนามาเป็น Heavy Metal ในเวลาต่อมา
วง Hard Rock ที่แนะนำ
Black Sabbath , Deep Purple , Queen , Led Zeppelin , Van Halen , The Stooges
, MC5 , AC / DC , Gun ‘N Roses , Jimi Hendrix , The Who , Thin Lizzy , Aerosmith ,
Def Leppard , UFO , Cream etc.
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:35:00
พิมพ์
แจ้งลบ IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 1 |
|
|
อะบรึ้ยยยย สุดย้อดดดดดดดดด !!
ร้ายกาจจริงๆ
ลูกชายAngus
23 มี.ค. 51
เวลา 0:53:00 IP = 124.120.155.185
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 4 |
|
|
"Rock Never Die"
Slow blues
27 มี.ค. 51
เวลา 11:08:00 IP = 118.174.43.170
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 5 |
|
|
เเจ่มมากๆครับ ยกนิ้วให้ อยากอ่านข้อความดีๆเเบบนี้มานานเเล้ว
rockonyou
29 มี.ค. 51
เวลา 5:19:00 IP = 24.193.77.56
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 6 |
|
|
Still Heavy Metal !!!
ford_bw
29 มี.ค. 51
เวลา 11:04:00 IP = 125.24.135.120
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 7 |
|
|
BLACK METAL(ภาค1) ถ้าจะพูดถึงแนวเพลง heavy metal(โลหะหนัก) หรือเพลงmetal คนทั่วๆไปอาจจะนึกถึงบรรดาเพลงหนักกระโหลกหนวกหูทั้งหลาย ฟังไม่รู้เรื่อง (ถ้าพวกเธอเป็นสาวกเพลงโลหะ เคยไหมที่มีคนถามว่า “ฟังรู้เรื่องเหรอ”)แล้วพวกคนดูก็แต่งตัวมืดๆ ทึมๆ ดำๆ เครื่องประดับ หนาม โลหะมันวาวแว้บ หน้าตานักดนตรีผิดระเบียบสุดๆ รอยสักแบบมาสมัครงานใครก็ไม่รับ แล้วคนทั่วๆไปก็จะรวบเพลง metal ทุกแขนงไว้ใน setเดียวกัน คือ metal (แค่นั้น..!) แต่ตอนนี้เราจะมาพูดถึงแขนงหนึ่งของเพลง metal หรือเป็นsub-set ของ metal คือ BLACK METAL (โลหะดำ!) ว่ามันคืออะไร ทำไม metal ธรรมดาว่าดำมืดแล้วแม่_ยังมีคุณศัพท์ของมันว่า BLACK (ดำ) เข้าไปอยู่ข้างหน้าอีก แสดงถึงความสุดขั้วทางด้านมืดเลยหรือ(วะ)? หรือคนที่มีความเข้าใจในโลกโลหะมากกว่านั้นหน่อย อาจสงสัยและถามกันมามากว่าพวกblack metal เป็นพวกบูชาซาตานจริงหรือ? แล้วต่อต้านพระคริสต์จริงหรือ? แล้วพวกนี้มักมีถิ่นกำเนิดกระจุกกันอยู่แถบๆ Scandinavia (ยุโรปทางเหนือ พวก นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก) แสดงว่าพวกเค้ามาจากพวกบรรพบุรุษไวกิ้งป่าเถื่อนนอกรีตหรือ? แล้วพวก(มัน)แต่งหน้าทำไม แล้ว.......?ฯลฯ ฉันเลยนึกขึ้นได้มาว่าจะลองไปขุดขุ้ยเขี่ยข้อมูลที่พอจะหาได้รวบรวมมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าแก่นแท้ของ black metal เป็นอย่างที่พวกเธอคิดหรือเปล่า แล้วเด็กสมัยนี้ที่อวดอ้างกันหนักหนาว่ากูนี่ metalของแท้, brutalเจ๋งกว่า ,blackดีที่สุด ฉันอยากจะบอกว่าไอ้แนวดนตรีพวกนี้กว่าจะมาปรากฎเป็นอัตตลักษณ์ของตัวเองนั้น ที่มาที่ไปมันไม่ต่างกันหรอก เหมือนออกมาจากรังไข่เดียวกันมากกว่า ถ้าจะมาคอยอวดอ้างกัน กรุณาขุดกันให้ถึงที่มาที่ไปของดนตรี metal ด้วย ว่าการแบ่งแนวดนตรีมันละเอียดอ่อนมากเหมือนนิ้วบนตีนกบ มันมีผังผืดเชื่อมเข้าหากัน (ฉันไม่นับ emo นะ เพราะฉันรู้สึกว่ามันเป็นการสนธิระหว่าง metal กับการตลาดที่ผิดๆ จนได้ลูกผสมหน้าตาประหลาดออกมา)
ODYSSEY OF THE BLACK. Black metalเป็นกิ่งแขนงหนึ่งของแนวดนตรี metal มันไม่ได้หล่นตุ้บลงมาจากสวรรค์หรือผุดพรวดมาจากนรกแล้วตั้งชื่อมันว่า black metal ทันทีเลย ทั่วๆไปเชื่อกันว่า น่าจะมีที่มาจากยุครอยต่อของยุค และรอยแตกแขนงจาก trash metal โดยมหากาพย์แห่ง black มีความเป็นมาที่แบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ
The first wave. ภาพของ black metal ที่เห็นกันในปัจจุบันมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ ในปี 1982 คณะ Venom ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกดนตรีแนว black ซึ่งกลายพันธ์มาจาก trash metal ซึ่งตัว Venom เองสื่อของฝรั่งเค้าก็ไม่ได้จัดเข้าไว้ในหมวดหมู่ของ black metalแต่อย่างใด จัดเอาไว้เป็น trash metal ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวดนตรี black metal ด้วยเนื้อหา ภาพลักษณ์ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความลึกลับ ดำมืด และซาตาน ประกอบกับซาวนด์ที่หนักหน่วงสุดตีนถีบ ดิบกระด้าง และเสียงร้องปนสำรอก กรีดโหยหวนประดุจเสียงปีศาจจากอเวจี และยังเริ่มมีการใช้ชื่อนามแฝง (pseudonym) แทนที่ชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของสมาชิกในวง ซึ่งเป็นต้นแบบให้วง black รุ่นหลังทำตามกันเป็นทิวแถว ซึ่งสมาชิกในยุคนั้นประกอบด้วยCronos,Mantas,Abaddon (สังเกตได้ว่า ชื่อนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งร้ายๆแน่นอน) ซึ่งเป็นวงที่สร้างปรากฏการณ์แห่งชาติพันธุ์ black metal ให้โลกได้สัมผัส แต่ภาพของ black metal ที่แท้จริงกลับปรากฏขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างหลังจากอัลบัมชุดแรกของ venom ในปี1981 (Welcome to hell) เป็น10ปีเลยทีเดียว กว่าจะผ่านห้วงวิวัฒน์แห่งเวลากลายเป็น black metal ในปัจจุบัน ซึ่งเอกลักษณ์ของVenomที่ กลายมาเป็นแม่พิมพ์และแรงบันดาลใจของวง black ก็เช่น ลักษณะการร้องสำรอก รก แหกปาก ร้องไม่สะอาดเลย ดนตรีเร็ว หนัก การใช้ชื่อนามแฝง ปลอกแขนหนาม เป็นต้น
คณะVenom
อาจมีบางท่านแย้งว่า “ถ้าวัดกันโดยเนื้อหาและท่วงทำนองเพลงที่หม่นมืด กับภาพลึกลับ ทำไมถึงไม่นับคณะ Black sabbath ไปเป็นต้นกำเนิดของ black metal ล่ะ” ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่ถ้านับ Black sabbath เข้าไปอยู่ในหมวด black ด้วยแล้ว อาจจะมีที่ดูเก๋าเกมกว่า Black sabbath สักหน่อย คือวงprogressive rock จากเมือง Leicester (คนไทยรู้จักในชื่อเลสเตอร์)แดนผู้ดีอังกฤษ Black widow ซึ่งอยู่ในวงการเพลงช่วงยุคต้น70 ร่วมสมัยร่วมแดนอังกฤษกับ Black sabbath (บ้างก็ว่าคนอังกฤษยุคนั้นถึงกับจำสลับสับสนกันระหว่าง2วงนี้) โดยเนื้อหาเพลงและการแสดงสดของBlack widowนั้นมุ่งเน้นไปที่ซาตาน sexและมนต์ดำ อย่างลึกซึ้งรุนแรงมากกว่า Sabbath (เค้าบอกว่าศึกษาเรื่องพรรค์นั้นมาอย่างดีกว่า) แต่ด้วยความที่Black sabbath มีจุดขายชัดกว่า อยู่ค่ายใหญ่กว่า และมี Ozzy Osbourne จึงดังกว่า คนจึงรู้จัก Black sabbath มากกว่าในฐานะตัวแทนเพลงโลหะ (metal) แห่งยุค70 และกลายเป็นแรงบันดาลใจของ heavy metalรุ่นหลัง
ข้ามไปยังอีกซีกหนึ่งของทวีป ณ ดินแดนสวีเดน คณะ Bathory เป็นคณะแรกในแถบนั้นที่เป็นผู้หยั่งรากความดำมืดลงบืนแผ่นดินไวกิ้ง ซึ่งนำโดยQuorthon(Thomas Forsberg) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ให้กำเนดดนตรีแนวนี้ในเขตยุโรปซีกน้ำแข็ง ซึ่งได้ดึงมาตรฐานดีๆของ venom มาทำให้มีความดิบและโหดมากขึ้นเร็วแรงขึ้น ซึ่งปรากฎในอัลบัม the return และยังมีส่วนดีๆที่ Bathory ริเริ่มเพิ่มเข้าไปคือ การนำเครื่องดนตรีคลาสสิก ดนตรีพื้นเมือง และเนื้อหาเกี่ยวกับเทพ ปีศาจ และตำนานพื้นเมืองของ Scandinavian (Norse Mythology) ใส่ลงไปในบทเพลง ซึ่งนั่นก็ถือเป็นต้นแบบให้วง black รุ่นหลังๆ ทำตามอีกเช่นกัน(พวกถือขวาน ถือดาบเนี่ย มาจากวัฒนธรรมนักรบแถบไวกิ้งโบราณน่ะ)
*******************************
The Story of Power Metal
ดนตรีเมทัลที่มาจากยุโรปอีกแขนงหนึ่งที่น่าสนใจ และน่าศึกษาคือ “เพาเวอร์เมทัล (Power Metal)” ซึ่งถ้าพูดถึงวงดนตรีในแนวเพาเวอร์เมทัลแล้ว หลายคนคงนึกถึงวงอย่าง Angra, Dragonforce, Nightwish หรือ Helloween มากกว่าวงดนตรีวงอื่นในแนวนี้ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะวงเหล่านี้ถือว่าเป็นหัวหอกสำคัญของวงการเพาเวอร์เมทัลเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามยังมีวงเพาเวอร์เมทัลที่น่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งบทความนี้จะเกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ และพัฒนาการที่สำคัญว่ากว่าจะมาเป็นเพาเวอร์เมทัลในยุคนี้นั้นเป็นอย่างไร ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรกรุณาติชมนะครับ เนื่องจากข้อมูลของดนตรีแนวนี้ยังคลุมเครืออยู่มาก ถ้ามีเกร็ดความรู้อะไรน่าสนใจก็โพสลงได้เลยครับ
เพาเวอร์เมทัลมีประวัติมายาวนานมากแล้ว ถ้าจะสืบกลับไปคงต้องพูดถึงยุคที่เมทัลจากอังกฤษเข้ามาบุกตลาดอเมริกาในช่วงปลายยุค 70 ถึงต้น 80 อย่าง New Wave Of British Heavy Metal หรือ NWOBHM วงที่ถือว่าเป็นวงหัวหอกในกระแสนี้คือ Iron Maiden กับ Judas Priest โดยเฉพาะวงหลังนั้นเปรียบเสมือนแม่พิมพ์ของดนตรีเพาเวอร์เมทัลเลยทีเดียว
Power in the Beginning
ดนตรีเพาเวอร์เมทัลมีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศเยอรมันในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีวงแรกที่ถือว่าเป็นวงเพาเวอร์เมทัลก็คือ Running Wild ซึ่งฟอร์มวงกันตั้งแต่ยุค 70 แล้ว แต่กว่าจะมีผลงานก็ยุค 80 ซึ่งดนตรีของ Running Wild นั้น มีความรุนแรงและเร็วกว่าวงดนตรีในยุคนั้น แต่ก็ยังไม่มีศัพท์เรียกว่าเพาเวอร์เมทัล จึงเรียกรวมๆไปเลยว่า เมทัล หรือ เฮฟวี่เมทัล ถึงแม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมายนักแต่ก็ทำให้นักฟังเพลงเมทัลหันมาสนใจดนตร เมทัลที่มาจากเยอรมันไม่มากก็น้อย วงดนตรีที่มาจากเยอรมันในยุคนั้นได้แก่ Grave Digger, Rage, Accept, Warlock เป็นต้น (ซึ่งวงเหล่านี้ภายหลังถูกเรียกว่าเป็นเพาเวอร์เมทัลแทบทั้งสิ้น)
วงดนตรีที่ทำให้เพาเวอร์เมทัลประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักวงกว้างในยุโรปคือ Helloween อัลบั้มคู่ที่ออกมาในปี 1987 อย่าง Keeper of the Seven Kays Part 1 และ 2 ทำให้วงการดนตรีทั่วยุโรปตื่นตลึงกับดนตรีเมทัลที่มีภาครึธึ่มหนักแน่น กลองควบตะบึง ทวินกีตาร์ลีด โซโล่ และเสียงร้องแหลมสูงปรี๊ดที่ถอดแบบของ เมทัลก๊อดยอดเกย์ Rob Halford แห่งวง Judas Priest มาเลย แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความไพเราะและเมโลดี้ รวมทั้งเนื้อเพลงแบบคอนเซ็ป (Concept) ที่ออกไปทางแฟนตาซี นักรบ ดาบ เกราะ การผจญภัยตามหากุญแจศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 7 หรือเนื้อหาแฟนตาซีไซไฟโลกอนาคต เหล่านี้กลายเป็นมาตรฐานให้กับวงเพาเวอร์เมทัลยุคหลังทุกวง
เพราะเนื้อหาที่ออกไปทางแฟนตาซีเช่นนี้ ทำให้มีศัพท์มาเรียก Helloween ว่าเป็น “Happy Metal” (ไม่ใช่แฮปปี้มีล) แต่หลังจากที่มือกีตาร์และนักแต่งเพลงหลักของทางวงอย่าง Kai Hansen ลาออกจากวงไป Helloween ก้ไม่สามารถทำงานเยี่ยมๆแบบ Keeper 1 และ 2 ได้อีกเลย ส่วน Kai เองก็ออกไปฟอร์มวง Gamma Ray และได้ดิบได้ดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยความสำเร็จที่ Helloween ทำไว้ ทำให้เกิดวงเพาเวอร์เมทัลตามมามากมายเป็นดอกเห็ด ได้แก่ Brainstrom, Primal Fear, Gamma Ray เป็นต้น และทำให้เกิดซาวนด์ในแบบ เยอรมัน เพาเวอร์เมทัล (German Power Metal) ขึ้น นั่นก็คือ เมทัลที่มีรึธึ่มพาร์ทหนักแน่น ทวินกีตาร์ลีด เสียงร้องสูงแต่ก็หนักแน่นและเข้มแข็ง (โดยเฉพาะ Primal Fear นี่สูงมากๆ) แต่ดนตรีไม่ได้เน้นความเร็วถึงขั้นทะลุโลก แต่เป็นความเร็วที่หนักแน่นมั่นคงตลอดทั้งเพลง และเนื้อหาแนวแฟนตาซี ซึ่งทั้งหมดนี้ถอดแบบมาจาก Helloween แทบทั้งสิ้น
นอกจากในเยอรมันแล้วกระแสเพาเวอร์เมทัลจากประเทศแถบทางเหนืออย่าง สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ ก็แรงไม่แพ้กัน วงดนตรีจากประเทศฟินแลนด์อย่าง Stratovarius ก็เป็นวงที่ทำให้คนฟังหันมาสนใจวงเพาเวอร์จากแถบนี้ สไตล์การเล่นของ Stratovarius นั้นแตกต่างจากวงเพาเวอร์เมทัลจากเยอรมันค่อนข้างมาก กล่าวคือ เน้นความเร็วของทวินลีดที่ผสมซาวด์ของสวีดิชซึ่งมีส่วนประกอบของดนตรี Neo Classic สูง ซึ่งคนเล่นต้องมีนิ้วที่ไวเป็นกรดเลยทีเดียว ดนตรีเน้นออกไปทางความไพเราะ งดงาม พริ้วไหว ซึ่งมีความเป็นป๊อปค่อนข้างสูง ติดหูง่าย ซึ่งเราอาจจะเรียกดนตรีในแถบประเทศนี้ว่า “สวีดิช เพาเวอร์เมทัล (Swedish Power Metal)” หรือเรียกรวมไปว่า Melodic Power Metal วงดนตรีในแถบนี้ที่ประสบความสำเร็จตามมาคือ Sonata Artica, Nocturnal Rites, Hammerfall (Hammerfall เป็นวงเมทัลที่มาจากสวีเดนแต่เล่นซาวด์แบบเยอรมัน) นอกจากนี้วงเมโลดิกเดธชื่อดังอย่าง Children of Bodom ก็มีส่วนผสมของ เมโลดิก เพาเวอร์เมทัลที่มาจากแถบนี้
ส่วนวงการเพาเวอร์เมทัลในอเมริกานั้นไม่เติบโตเท่าที่ควร อาจเนื่องมาจากวงเมทัลในอเมริกาส่วนใหญ่มักเป็นแธรชและเดธแทบทั้งนั้น วงเพาเวอร์เมทัลที่ถือว่าสร้างชื่อเสียงแก่อเมริกาได้แก่ เทพเจ้าแห่งกล้ามเนื้อ (และเหงื่อไคล) “Mano War” นั่นเอง ซึ่งเล่นดนตรีเพาเวอร์เมทัลในแบบเยอรมัน Mano War ประสบความสำเร็จอย่างมากจนได้รับสถิติวงดนตรีที่เล่นได้ดังที่สุดในโลก (กี่เดซิเบลจำไมได้) และทำให้เกิดศัพท์คำว่า “Battle Metal” ซึ่งหมายถึงวงเพาเวอร์เมทัลที่เขียนเนื้อเพลงเกี่ยวกับสงครามนั่นเอง นอกจาก Mano War แล้ว American Power Metal ยังประกอบไปด้วย Iced Earth, Nevermore, Kamelot และ Symphony X ซึ่งประสบความสำเร็จในยุโรปแทบทั้งสิ้น (มันน่าไปเกิดยุโรปจริงๆพับผ่า)
Power in Mid
ในช่วงยุค 90 นั้นเพาเวอร์เมทัลก็ได้มาถึงทางตันของตัวมันเอง เนื่องจากเพาเวอร์เมทัลมีแพทเทิร์นที่ค่อนข้างตายตัว ทำให้วงแต่ละวงเล่นซาวนด์ออกมาไม่แตกต่างกันเลย (ฟัง 10 วงก็เล่นเหมือนกัน 10 วง) ท่ามกลางความน่าเบื่อนั้นเองก็มีวงเพาเวอร์เมทัลจากเยอรมันวงหนึ่งซึ่งทำเพลงฉีกไปจา กระแสเลยนั่นก็คือ “Blind Guardian” อัลบั้มแรก “Battalion of Fear” ซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากวงเพาเวอร์อื่นๆ แต่พอถึงอัลบั้ม “Tales from the Twillight World” ก็เริ่มมีการนำซาวด์เครื่องดนตรีพื้นเมืองเข้ามาใช้ผสมผสานมีการร้องประสานเสียงในแบ โอเปร่า และสัดส่วนโครงสร้างดนตรีในแบบโปรเกรซซีฟ ทำให้ Blind Guardian โดดเด่นไปจากวงเพาเวอร์เมทัลในยุคนั้นมาก และเป็นสไตล์ที่ยากจะหาผู้ใดลอกเลียนแบบ
ในอิตาลีเองก็มีวงเพาเวอร์เมทัลสุดอลังการนั่นก็คือ Rhapsody ซึ่งแตกต่างไปจากวงเพาเวอร์เมทัลในรุ่นเดียวกันคือนำเอาซาวด์แบบซิมโฟนี ออเครสตร้า เข้ามาประกอบ ทำให้มีคนเรียกเพาเวอร์ชนิดนี้ว่า ซิมโฟนิก เพาเวอร์ เมทัล (Symphonic Power Metal) ซึ่งเมื่อฟังงานของ Rhapsody จะให้ความรู้สึกเหมือนกับได้ฟังสกอร์ภาพยนตร์ของหนังแฟนตาซีอย่างลอร์ด ออฟ เดอะ ริงค์ ขึ้นมาทันที นอกจากความอลังการของดนตรีแล้ว เนื้อเพลงยังเขียนออกมาเป็นคอนเซปต่อเนื่องยาวเหยียด ซึ่งยาวติดต่อกันถึง 5 อัลบั้มเลยทีเดียว เนื้อหาออกไปทางนักรบ ดาบ เกราะ การต่อสู้กับมังกรไฟ ต่อสู้กับปิศาจร้ายเพื่อตามหาดาบศักดิ์สิทธิ์ และทำให้เกิดศัพท์ตามมาว่า Epic Power Metal คือวงเพาเวอร์เมทัลที่แต่งเนื้อหาเป็นเรื่องราวยาวเหยียดนั่นเอง ซึ่งนอกจาก Rhapsody แล้วก็ยังมีวงอย่าง Avantasia ซึ่งเป็นโปรเจคของนักร้องนำของวง Edguy
ส่วนในฟินแลนด์นั้นก็มีวง Nightwish ซึ่งโดดเด่นด้วยการผสมเอาซาวด์ในแบบของ Gothic เข้าไปที่เห็นได้ชัดคือในชุด Oceanborn ซึ่งมีดีกรีของดนตรีสวีดิชเพาเวอร์เมทัลสูงมาก แต่หลังจากนั้นทางวงก็ลดดีกรีความแรงลง แล้วหันมาทำดนตรีที่ออกไปทางกอธิคมากกว่า ซึ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือ น้ำเสียงของ Tarja (ปัจจุบันออกจากวงไปแล้ว) ที่ทรงพลังและดูลึกลับ และเป็นนักร้องที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในวงการนี้ (นอกจาก Nightwish ก็มี Sinergy และ Doro แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่า) ซึ่งผมเองก็หวั่นเกรงว่าหลังจากการออกไปของ Tarja Nightwish จะยังประสบความสำเร็จอยุ่อีกไหม
ถึงแม้บราซิลจะตกรอบ (นอกเรื่องๆ) ก้ยังมีงานเพาเวอร์เมทัลดีๆให้ฟังอยุ่คับ อย่าง Angra นั่นไง ซึ่งนำดนตรีของบราซิลอย่างฟลามิงโก้ เครื่องเคาะ และความเป็นโปรเกรซซีฟ เข้ามาผสมผสาน เพลงดังๆที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีคงไม่พ้น Nova Era, Carry On, Angle Cry หรือเพลงเพาเวอร์บัลลาดอย่าง Rebirth เป็นต้น นอกจาก Angra แล้วก็ยังมี Shaman ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกของ Angra
Power Metal in Future
วงที่ถือว่าเป็นอนาคตของวงการเพาเวอร์เมทัลในตอนนี้ในทัศนะของผู้เขียน มี 3 วงคือ Angra, Edguy และ Dragonforce สำหรับ 2 วงแรกนั้นไม่ใช่วงหน้าใหม่ถอดด้ามแต่อย่างใด มีผลงานออกมาหลายชุดแล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จมากขึ้น และสามารถขยายกลุ่มแฟนเพลงออกไปได้เรื่อยๆ จนเป็นความหวังของวงการไปโดยปริยาย โดยเฉพาะ Edguy ซึ่งถือได้ว่าเป็นวงเพาเวอร์เมทัลที่เขียนเมโลดี้ออกมาดีมาก นอกจากนี้ยังเป็นวงที่สืบทอดเจตนารมย์ของ Happy Metal ได้ดีและชัดเจนที่สุดวงหนึ่งเลยทีเดียว กับเนื้อเพลงที่สนุกสนาน กับการเอนเตอร์เทนที่เฮฮาและยียวนกวนโอ๊ยที่สุดเวลาที่พวกขึ้นแสดงบนเวที พวกเขาจึงเป็นวงเพาเวอร์เมทัลที่มาแรงที่สุดวงหนึ่งในช่วงเวลานี้ ซึ่งอัลับ้มใหม่อย่าง Rocket Ride ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง
ส่วนอีกวงที่มาแรงมากๆใน่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคือ Dragonforce วงเมโลดิก เพาเวอร์เมทัลจากเกาะอังกฤษซึ่งเคยมาเปิดคอนเสิร์ตที่เมืองไทยไปแล้ว (ซึ่งผมพลาดไปอย่างน่าเสียดายและไม่น่าให้อภัย) ดนตรีของ Dragonforce เป็นเพาเวอร์เมทัลที่เล่นเร็วและแรงมากๆ โดยผสมสัดส่วนไลน์กลองในแบบเดธเมทัลเข้าไปด้วย จึงเรียกว่ากระหน่ำกันจริงๆ โซโล่ยาวเหยียดเปี่ยมเทคนิกในแบบของนีโอ คลาสสิค และประกอบด้วยลูกทวีนโซโล่ที่สร้างชื่อให้กับวง ที่เรียกว่า Twin Blast (เอาเข้าไป) ใส่กันแบบไม่มีเกรงใจและไม่มียั้ง Dragonforce ประสบความสำเร็จมากๆจนได้เซ็นสัญญากับทาง Roadrunner ซึ่งเป็นวงเพาเวอร์เมทัลไม่กี่วงที่ได้มาอยู่กับสังกัดนี้
แต่อย่างไรก็ตามในความเห็นของผู้เขียน รู้สึกว่าดนตรีของ Dragonforce จะค่อนข้างหยาบกระด้างในเรื่องอขงเมโลดี้ คือเน้นมีนกันอย่างเดียว ไม่ได้เน้นการเขียนเมโลดี้ออกมาให้ปราณีต ซึ่งอาจจะไม่ถูกใจขาเพาเวอร์บางท่าน แต่ถ้าคนที่ชอบวงนี้ขอบอกได้เลยว่าอนาคตของทางวงไกลมาก (ถ้าเกิดไม่มีอันแตกดับไปก่อน) เพราะนับวันดนตรีจะยิ่งโหดและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะเปิดมิติใหม่แก่วงการนี้ได้ในที่สุด
ในประเทศไทยเองวงการนี้ยังไม่เจริญเติบโตมากนัก วงที่ถือว่าเป็นที่เชิดหน้าชูตาได้ของดนตรีในสายนี้คือ Nathania ซึ่งมีผลงานออกมาแล้ว 1 อัลบั้ม กับ 1 อีพี ส่วนชุดเต็มชุดที่ 2 อยู่ในระหว่างการทำ คงต้องรอกันต่อไปซักนิด (เพลงแรกผมได้ฟังแล้ว ฮึกเหิม อลังการดี) ส่วนอีกวงที่พึ่งมีผลงานในอัลบั้มรวมเพลง Metal Farm Vol.1 อย่าง Eurasia ซึ่งเขียนเนื้อร้องออกมาเป็นภาษาไทยก็น่าติดตามผลงานต่อไปในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามวงการนี้คงเจริญไม่ได้ถ้าคนไทยไม่ช่วยสนับสนุนกันครับ ถ้าท่านสนใจเพาเวอร์เมทัลก็ลองหาฟังกันดูครับแล้วจะไม่ผิดหวัง
บทความนี้ได้มาจากคุณโรมนะครับ
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:39:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 8 |
|
|
เยี่ยมเลยครับ บทความนี้ทำให้รู้ที่มาที่ไปของแนว Rock ได้ดีทีเดียวครับ
Ogrish
29 มี.ค. 51
เวลา 9:23:00 IP = 124.121.55.90
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 9 |
|
|
"Rock Is My Life" ^_^
Noppy
29 มี.ค. 51
เวลา 16:56:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 10 |
|
|
เพลินเลย
oldschool
21 มี.ค. 51
เวลา 0:14:00 IP = 124.120.205.208
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 11 |
|
|
สุดยอดครับอ่านไม่หมดเลย ขอบคุณมากครับ
only_fender
21 มี.ค. 51
เวลา 1:33:00 IP = 125.24.7.51
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 12 |
|
|
 |
ระเอียดยิบเลย..เจ๋งจิงๆคับท่าน คาราวะ..คาราวะ
Tua_top 2008
4 พ.ค. 51
เวลา 21:47:00 IP = 222.123.220.187
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 13 |
|
|
ขอถามเพิ่มนิดนึงนะครับ Manowar เนี้ยะ วงจาก เมกา หรอครับ
ผมว่าน่าจะมาจาก เยอรมัน นะ
seek and destroy
5 พ.ค. 51
เวลา 23:33:00 IP = 124.157.220.239
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 14 |
|
|
Heavy Metal
Heavy Metal คือดนตรีรูปแบบหนึ่ง รูปแบบของเพลงคือความบ้าคลั่ง,จังหวะที่กำลังขับ ของ Rhythm
อันหนักหน่วง และที่ดังขึ้นอย่างมากของ Effect Distorted ของกีตาร์ Heavy metal คือการพัฒนา
หนึ่ง การพัฒนาของ Blues rock , Rock and Roll และ Prog rock แหล่งกำเนิดของมันอยู่ในสาย
Hard Rock ซึ่งระหว่าง 1967 และ 1974 หยิบเอา Blues rock , Rock and Roll มาสร้างลูกผสม
กับ Rock อีกด้วย กีตาร์ และ กลอง คือส่วนสำคัญของ Heavy metal มีความนิยมของมันใน 1980’s
ระหว่างนี้ Heavy Metal ยังคงมีโลกมากมายและไม่มีวันตาย โดยมีแฟนๆหรือเรียกว่า Metalheads
และ Headbangers เป็นผู้ฟัง และ สนับสนุนต่อไปเรื่อยๆ
วง Heavy metal ที่แนะนำ
Decapitated , Black Sabbath , Metal Church , King Diamond , Manowar ,
Motorhead , AC/DC , Ozzy Osbourne , Primal Fear , Mercyful Fate etc.
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:35:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 15 |
|
|
Speed Metal
Speed Metal คือประเภทของ Heavy Metal ซึ่งคล้ายกับ Thrash Metal ซึ่งไม่ตั้งใจให้ไพเราะและ
แสดงอิทธิพลเล็กน้อยของดนตรี Punk rock วง Judas Priest และ Accept คือซึ่งได้รับการพิจารณา
จะผู้พัฒนาหลักของประเภทนี้ โดย Judas Priest ได้ออกอัลบั้ม Painkiller ออกมาในปี 1990’s คือ
ตัวอย่างที่ดีจากประเภทนี้ โดยการผสม Riff ไวนรก โดยมีเสียงร้องของ Rob Halford เสียงแหลมสุดๆ
แบบ Heavy แต่ Speed จะเร็วกว่าเยอะ
วง Motorhead ได้ form วง ในปี 1975 โดยเล่น Speed Metal ผสมกับ ดนตรี Punk หรือเรียก
sound แบบนี้ว่า Heavy punk-influenced sound ซึ่ง เมทัลสายนี้ แบ่งแยกได้ยากมากๆ และส่วน
มากจะเรียกรวมกับ Thrash ว่า Speed Thrash Metal ไปเลย
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:35:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 16 |
|
|
Thrash Metal
Thrash Metal คือดนตรี ประเภทย่อย ของ Heavy Metal แหล่งกำเนิดของ Thrash Metal เกิดขึ้น
ใน 1970’s และเสื่อมใน 1980’s ล่าสุดเมื่อเริ่มต้นของวงต่างๆ ก็มีการรวบรวมวงต่างๆในฝั่งอังกฤษ และใช้
ชื่อว่า NWOBHM ย่อมาจาก New Wave of British Heavy Metal ดนตรี Thrash metal เป็น
สายที่มีความก้าวร้าวมาก คล้ายกับ Speed Metal ที่กล่าวไว้ข้างต้น
Thrash metal ถือว่าเป็นเมทัลแขนงหนึ่งที่จัดได้ยาก เพราะมีการนำดนตรีอื่นๆเข้ามาผสมมากมาย แฟนๆ
จำนวนหนึ่งและนักดนตรีมีความคิดมั่นคงของประเภทนี้ ได้ต่อต้านวงที่นำดนตรีอื่นๆเข้ามาผสม Thrash
แท้ๆ อาจเป็นเพราะไร้ประโยชน์ ก็ได้ เช่นการนำ ดนตรี Hardcore , Punk , Classical และ Jazz เข้า
มาผสม
โดยทั่วไป พื้นฐานแห่งดนตรีของ Thrash ประกอบด้วยความเร็ว และเสียงโทนต่ำ กีตาร์เร็วขยี้และความซับ
ซ้อน Riff กีตาร์ด้วยบางครั้งทำให้เป็นชั้นสูงเพลงร้องแล้วเล่นกีตาร์ไปพร้อมกันเลย
โดยปกติความเร็วพื้นฐานของกลองในรูปแบบ Thrash Metal นี้อยู่ใน 1/2 beat หรือ 2nd และ 4th
beats ของเครื่องมือวัด ใช้กลองเสียงต่ำกว่าใช้ธรรมดาอีกด้วย และใช้ กระเดื่องคู่ ตีกลองแบบสับๆดนตรี
Thrash นี้ เป็นต้นกำเนิดของสายเมทัลอีกมากมายเช่น Death Metal , Black Metal ก็โดยวง
Slayer , Venom ฯลฯ
วง Thrash metal ที่แนะนำ
Destruction , Kreator , Sodom , Anthrax , Megadeth , Metallica , Slayer ,
Annihilator , Artillery , Coroner , Dark Angel , Death Angel , Exodus , Nuclear
Assault , Overkill , Sadus , Sepultura ,Skitzo , Stormtroopers Of Death , Pantera ,
Testament , Vio-lence , Voivod , Venom etc.
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:35:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 17 |
|
|
Death Metal
แนว Death มีลักษณะที่ ใกล้เคียงกับ Black แต่ว่าเนื้อหาของ Death จะเน้นไปที่ การกระทำมากกว่า
Black พูดง่ายๆ
Death เน้น กระทำ ส่วน Black เน้น ทางความคิด เน้นเนื้อหาไปทางความตาย การหลอกหลอน การทำลาย
ล้าง เลือด
Sound จะบาดหูทำลายทำร้าย เยื่อหู
แนะ นำ Morbid Angel , Vader , Death
Black Metal
แนว Black แนวนี้ เน้นเนื้อหาที่ลึกลับ เรื่องเล่า ตำนานโบราณ ปีศาจ ภูติผี ภูติ
การ บูชาซาตาน พิธีกรรมมืด ใช้ Sound ในโทนต่ำ ดูม่นหมอง
และการเหยียดหยาม ทุกศาสนา อย่างตรงไปตรงมา การทำลายล้างความ สันติสุข นิยมสงคราม การฆ่า
ส่วนใหญ่อยู่แถว สแกนดิเนเวีย
แนะนำ Mayhem , DarkFuneral , Marduk
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:36:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 18 |
|
|
Power Metal
เป็นเมทัลที่มีรีฟกีตาร์หนา และอื่นๆ(บอกไม่ถูก) เช่นวง Iron Maiden Helloween
มี2สายนะ คือ Power Thrash ในรู้แบบของ Pantera (วงโปรดผม) ในไทยก็มี Clone (โคลน)
Heavy Power Metal ด้วย
Industrial Metal
ต้นกำเนิดมาจากซาวนด์ในโรงงานอุสาหกรรมบวกกับความคับแค้นของสังคมเมือง ดนตรีสายนี้มีอายุมานานเช่นกัน
แต่ได้รับความนิยมน้อยลง มี วง Fear Factory ในไทยก็ Nerve นี้ละ
Doom Metal
เป็นดนตรีคล้ายๆเพื่อชีวิต เนื้อหาจะเกียวกับชีวิตอาจเป็นความตายได้ในบางครั้ง ทรงพลัง แต่ ช้าเนิบๆ
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:37:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 19 |
|
|
Gore metal
Gore metal อันนี้ต้องยกยอดไปรวมกับ Brutal เพราะว่าจะเน้นดนตรีที่รวดเร็ว กดประสาท เสียงต่างๆ
ประดังเข้ามา จนปวดกะโหลก เสียงร้องที่ สำราก กดตำ ตะโกน เหมือนกำลังจะตาย แต่ว่า ภาคดนตรีรับประกันความ ปึ๊ก!
เพราะจะเล่นแนวนี้ได้เอ็งต้อง เก่งโคตรอย่างแน่นอน ( สงสารหลอดลม นักร้องนำที่สุด ) ขอแนะนำ
Disgore ของอเมริกา เป็น กอร์เมทั่ล พันธ์แท้
Brutal Death
เป็นแนวดนตรีที่มาจาก Death Metal แท้ๆแต่เอามาสำรอกจนฟังไม่รู้เรื่องและจะเน้นในคีย์ต่ำๆ แต่บางช่วง
จะแว๊กออกมาแหลมๆบ้างแต่น้องกว่ากดเสียงต่ำๆ และกลองจะเน้นเร็วเพียงอย่างเดียว(พลังไม่ต้อง มั่ว+รก
เดี๋ยวโหดเอง) สังเกตุว่าแนวนี้จะมีเสียงสแนร์ที่รัวตลอดเวลา ท่อนส่งจะรัว Tom ทุกไปไล่เสียงไป หาฟังได้
จากวง Canibal Corpe , Broken Hope
Gore Grind(Death)
อยู่ใน ไกรน์คอร์อยู่แล้ว แต่แตกมา แต่โหดร้ายกว่า บลูทัล และ ไกรน์คอร์ อีก สายพันธุ์นี้แยกยาก จะสับสนกับ
บูลตัล และ ไกร์นคอร์ เสียงร้อง,โครงสร้างไม่ต่างกันมากนัก ไม่เน้นเทคนิกแบบบูลทัล ชอบมีซาวนด์สยองขวัญ
นำมาเป็นไตเติล ดูง่ายๆตรงเนื้อเพลง เกียวกับ การ หั่น,สับ,ควักไส้ เช่น Mortician
Porn Grind (Death)
เหมือนกับ ไกรน์คอร์ แต่ต่างตรงที่เนื้อหาจะเกียวกับ ความวิปริตทางเพศ เช่นวง Lividity ไทยก็มี She's Gorn
****************
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:37:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 20 |
|
|
The History of Hard Rock Part 1
1964 - 1969 ยุคเริ่มแรก
ในช่วงปี 1960 ดนตรีแนว Art, Acid, Progressive, Avantgarde Rock กำลังเฟื่องฟูสุดขีด ในปี 1964 ก็มีวงดนตรีวงนึงเพิ่มความรุนแรงใส่เข้าไปในการแสดงสดบนเวที พังข้าวของ เครื่องดนตรีจนชิบหายวายป่วงทุกครั้งที่เล่นก็คือ The Who และหลังจากนั้นในช่วงกลางๆ ปี 1964 ท่อน Riff ท่อนแรกที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของดนตรีแนว Hard Rock และอีกหลายๆ แนวในยุคปัจจุบันก็ถือกำเนิดขึ้นมาซึ่งเพลงๆ นั้นก็สร้างความโด่งดังขึ้นมาถึงขีดสุด You really got me ของ The Kinks นั่นเอง ซึ่งเพลงนี้มีการใช้เอฟเฟกต์ Distortion ที่มีเสียงแตกสนั่นกว่าเพลงอื่นๆ ก็เลยได้รับการยกย่องว่าเป็น Riff แรกๆ ของดนตรีแนว Hard Rock นี้เลยนะ
หลังจากหมดยุค 1960 ที่เป็นช่วงทดลองของ Hard Rock ก็เข้าสู่ปี 1970 ที่ถือว่าดนตรีในช่วงนี้เป็นต้นกำเนิดของแนวดนตรีเมทัลทุกแขนงก็กำเนิดขึ้นจากฝีมือก ตาร์อันดุเดือดและสวยงามของ Jimi Hendrix ก็มีหลายๆ วงดนตรีรับแรงบันดาลใจมา จนถึงวันนี้นักดนตรีแนวเมทัลก็ยังมีการนำเพลงของ Hendrix มาเล่นกันบ่อยๆ แต่ถ้านับกันจริงๆ แล้วดนตรีแนว Hard Rock นี่ถือกำเนิดมาจากอังกฤษนะ เพราะอะไร...? ก็เพราะว่าในช่วงปลายๆ ยุค 60 เนี่ย หลายๆ วงดนตรีที่เล่น Blues Rock นั้นมาจากฝั่งอังกฤษแทบทั้งนั้น เช่น The Rolling Stones, The Yardbirds, The Who และ The Kinks ซึ่งวงดนตรีเหล่านี้จะมีการใช้ท่อน Riff ของกีตาร์ที่โดดเด่นรวมไปถึงไลน์เบสหรือกลองก็จะเริ่มรุนแรงขึ้นกว่าดนตรี Rock and Roll หรือ Blues Rock ในอดีต
ในช่วงเวลาเดียวกัน (ปลายยุค 60) ที่ฝั่งอเมริกาก็มีนักกีตาร์มือซ้ายที่ถือว่าเป็นตำนานถือกำเนิดขึ้น Jimi Hendrix ผู้สร้างตำนานแห่ง Psychedelic Rock จากแนวทางของดนตรี Blues Rock โดยมีส่วนผสมอย่างลงตัวจาก Jazz และ Rock and Roll ซึ่งตัวของ Jimi เองนั้นก็นำเอฟเฟกต์มาใช้เพื่อสร้างเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นมาก็พวก Fuzz, Feedback และ Distortion หลังจากนั้น ปี 1968 วงดนตรีแนว Hard Rock หลายๆ วงก็ถือกำเนิดขึ้นเช่น Deep Purple, Rush, The Jeff Beck Group, Led Zeppelin* และ Steppenwolf ( *Led Zeppelin แตกวงมาจาก The Yardbirds) ในปี 1968 นี่แหละก็ถือว่าวง Deep Purple เป็นวงดนตรีแนว Hard Rock วงแรกของโลก เนื่องจากอัลบั้มออกมาก่อนเพื่อนนั่นเอง ไม่มีอะไรมากหรอก Shade of Deep Purple ก็ถือว่าเป็นอัลบั้ม Hard Rock อัลบั้มแรกของโลกไปโดยปริยาย... ในปีเดียวกันเรือเหาะสะท้านฟ้า Led Zeppelin ก็ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับอัลบั้ม Led Zeppelin I ก็ออกวางตลาด เช่นเดียวกันกับมหากาพย์ Tommy ของ The Who รวมไปถึง In the gadda da vida ของ Iron Butterfly หลังจากนั้นในปี 1969 วงดนตรีที่ถือว่าสร้างแรงบันดาลใจให้กับ Metal ในปัจจุบันเกือบทุกวงก็ถือกำเนิดขึ้น Black Sabbath นั่นเอง (รวมไปถึง Judas Priest ด้วยนะ) มหกรรมดนตรี Woodstock เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 15-18 สิงหาคม 1969 และอีกมหกรรมดนตรีที่จัดในปีเดียวในช่วงส่งท้ายยุค 1960 ก็คือ Altamont ในวันที่ 6 ธันวาคม 1969 (จะเขียนอีกทีเมื่อว่างนะ) และ The Rolling Stones ก็ดันไปจ้างกลุ่มสิงห์มอเตอร์ไซค์นามว่า Hell's Angel มาควบคุมงาน ผลก็คือตีกันเละแถมยังโดนแทงตายอีก 1 หน่อ...
1970 กำเนิด Hard Rock เต็มรูปแบบ
เริ่มมาก็เปิดกันด้วย Black Sabbath กับอัลบั้มสุดสะเด่า Black Sabbath ที่ออกวางตลาดในวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 1970 อัลบั้มนี้ Toni Iommi ได้ใช้คุกใต้ดินของปราสาทแห่งนึงเป็นที่แต่งเพลงด้วยนะ Sound ของอัลบั้มนี้ได้รับการยกย่องจากนักดนตรีแนว Metal ทุกผู้ทุกนามว่ามันคือต้นแบบของ Heavy Metal มาจนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นไม่นาน อัลบั้ม In Rock ของ Deep Purple ก็ออกวางตลาด เสียงร้องของ Ian Gillan ในเพลง Child In Time ก็ระเบิดออกมา ทุกวงการงง ทำไมมันแหกปากได้ขนาดนี้ เช่นเดียวกันกับ Grand Funk Railroad ที่สร้างท่อน Riff อันว่องไวของ Mark Farner ที่สะกดคนดูที่เป็นสาวๆ ได้อยู่หมัด... ในปีนี้เอง Jimi Hendrix และ Janis Joplin ตายในเวลาใกล้เคียงกันด้วยอายุ 27 ปี!!!
1971 ระเบิดลูกแรกและเพลงชาติของ Heavy Metal
Master of Reality ของ Black Sabbath และ Fireball ของ Deep Purple ออกวางตลาด เพลง Lord of this world ของ Black Sabbath ได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นกำเนิดของดนตรีแนว Doom Metal ในเวลาต่อมา... ส่วนสิ่งที่ถือว่าบังเอิญก็คือ อัลบั้ม Fireball นั้น สองนักดนตรีที่มีอิทธิพลในยุคต่อมาก็คือ James Hetfield และ Lars Ulrich จาก Metallica ได้ซื้ออัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกในชีวิต!!! ส่วนอัลบั้มประวัติศาสตร์อีกอัลบั้มหนึ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้ก็คืองานของ Led Zeppelin ที่มีชื่อชุดว่า Led Zeppelin IV นั่นเอง อัลบั้มนี้ได้เป็นการถือกำเนิดของเพลงชาติของเหล่าบรรดา Heavy Metal ทั้งปวง Stairway to Heaven และก็มีการค้นพบว่าถ้านำเพลง Stairway to Heaven นี้มาเล่นแบบถอยหลังก็จะเป็นคำสวดบูชาซาตานด้วยล่ะ... อ่อ... ในปี 1971 นี้ Jim 'The Lizard King" Morrison แห่งวง The Doors ก็ตายเมื่ออายุ 27 เนื่องจากเสพยาเกินขนาด
1972 Riff อมตะของ Blackmore
Scorpions และ Kiss ฟอร์มวงขึ้นมาเป็นครั้งแรก ส่วน Black Sabbath ก็ออกอัลบั้ม Vol.4 ส่วน Deep Purple ก็ออกมาสองอัลบั้มก็คือ Machine Head ออกมาเช่นกัน เราพูดถึง Hard Rock แล้วจะไม่พูดถึง Machine Head มันก็กระไรอยู่ใช่ไหม เพราะอะไร? ก็เพราะว่า Highway Star และ Smoke on the water ไงเล่า เพลงแรก ท่อนโซโลอันว่องไวดุจสายฟ้าแล่บนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่า Neo-Classic รุ่นหลังมากมายเช่น Yngwie J. Malsteen และ Steve Vai ส่วนเพลงหลังนี่ท่อน Riff ที่อมตะนิรันดร์กาลถือว่าโดนใจจิ๊กโก๋ในสมัยนั้นมาจนถึงวันนี้...
1973 กำเนิด Supergroup
การรวมตัวกันครั้งแรกของ AC/DC และอัลบั้มแรกของ Aerosmith รวมไปถึงอัลบั้มเปิดตัวของ Queen ส่วนเรือเหาะสะท้านฟ้า Led Zeppelin ก็ออกอัลบั้ม House of the holy ซึ่งมาการนำคันชักไวโอลินมาใช้เป็นครั้งแรกกับเพลง The Rain Song ซึ่งอัลบั้มนี้มีคนบอกว่ากล่าวถึงซ่องโสเภนีในเมืองไทยด้วย ภูมิใจชิบหายเลยวุ้ย... อีกอัลบั้มที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Beck, Bogert & Appice ซึ่งถือว่าเป็น Supergroup วงแรกๆ ของโลก (Jeff Beck, Tim Bogert และ Carmine Appice)
1974 ระเบิดลูกที่สอง
ในปีนี้เอง อัลบั้มสร้างชื่อให้หนุ่มน้อยจากเยอรมันก็ออกมาถล่มโลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย Phenomenon ของ UFO. นั่นเอง อัลบั้มนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับจิ๊กโก๋ในยุคหลังๆ มากมายมหาศาล เพลงนี้ดังสุดๆ เพลงอะไรเหรอ? Rock Bottom ไงเล่า วู้วววว ยังไม่พอ Kiss ก็แต่งหน้ามาเต็มเหนี่ยวพร้อมๆ กับอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวง ยังไม่หมดนะ ยังมี อัลบั้มเปิดตัวของ Judas priest และ Rush ก็ออกมาในปีนี้เช่นกัน (ช่วงปลายปี John Rutsey มือกลองลาออกจากวง แล้วได้ Neil Peart ทำให้ Rush ขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงในอนาคต) ในปีนี้ Sammy Hager ลาออกจาก Montrose ส่วน Van Halen และ Twisted Sister ก็ถือกำเนิดในปีนี้เช่นกัน
ในปีนี้เอง Led Zeppelin ขึ้นครองโลกทั้งใบด้วย Physical Graffiti ด้วยอัลบั้มคู่ที่โชว์ฝีมือของวงได้อย่างสมบูรณ์แบบ Black Sabbath ก็ออกอัลบั้ม Sabotage ที่ออกมาในสภาพที่เมายากันแบบเละตุ้มเป๊ะ นี่ยังไม่นับ Ritchie Blackmore ที่ลาออกมาจาก Deep Purple แล้วมาตั้งวง Rainbow นะ Ronnie James Dio เข้ามาร้องนำให้ ซึ่งก็ถือว่าเป็น 1 ในสุดยอดนักร้องคนนึงของวงการ Metal เลยล่ะ เอ้า... ขึ้นเครื่องบินแล้วไปกันที่ออสเตรเลียกัน ที่นั่นมีอะไร ทำไมต้องมา? Abba เหรอ? ไม่ใช่โว้ย AC/DC ต่างหากเล่า ในปีนี้เอง AC/DC ออกอัลบั้มแรก High Voltage ที่สร้างความฮือฮาด้วยการที่นำ Bon Scott ซึ่งออกจากคุกมาเป็นนักร้องนำ (Bon Scott ติดคุกอยู่ 3 เอนมั้ง ถ้าจำไม่ผิด และสมาชิกในวงก็มีส่วนพัวพันกับคดีลักขโมยเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ความเป็นเด็กเลวแห่งวงการนั่นเอง) เอ้า... บินกลับมาอังกฤษอีกที ที่อังกฤษมีการฟอร์มวง Iron Maiden นะ แต่ยังไม่ออกอัลบั้มเน้อ... ยังไม่หมด UFO. ออกงาน Force It ส่วน Kiss ก็ออกอัลบั้มแสดงสดที่มันส์สะแด่วก็คือ Alive! มาถล่มชาร์ตบิลบอร์ด ส่วนอัลบั้มที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ A Night at the Opera ของ Queen งานชุดนี้ขึ้นอันดับหนึ่งอย่างไม่ยากเย็นนักกับเพลง Behemian Rhapsody ซึ่งได้รับการยอมรับว่า Queen คืออัจฉริยะทางดนตรีอย่างแท้จริง
*****************
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:38:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 21 |
|
|
The History of Hard Rock Part 2
1976 เริ่มเข้าสู่ยุคตกต่ำ
ในช่วงปี 1976 นั้นก็ได้มีการนำแนวเพลงต่างๆ เข้ามาผสมทำให้ดนตรี Hard Rock เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างอัลบั้ม Technical Ecstasy ของ Black Sabbath หรือการสานต่อความสำเร็จของ A Night at the Opera ของ Queen รวมไปถึงงานชุด Hotel California ของ The Eagles ที่ทำยอดขายมหาศาล แต่กระนั้นเลยดนตรีแนว Hard Rock ก็ยังคงผลิตผลงานออกมาเช่น UFO กับงานชุด No Heavy Petting และงานของ Ted Nugent กับผลงานชุด Free for All อ่อ... ยังมีงาน High Voltage ของ AC/DC ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน ส่วนทางด้านเรือเหาะสะท้านฟ้า Led Zeppelin ก็ยังออกงาน Presence รวมไปถึงบันทึกการแสดงสด The song remains the same แต่ถึงกระนั้นแนวเพลงแนวอื่นที่กำลังก่อร่างสร้างตัวอย่างเงียบๆ ก็คือ Punk รวมไปถึงงานระเบิดโลกของ ABBA และ Bee Gees ซึ่งมีส่วนที่ทำให้ดนตรีแนว Hard Rock ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงทีละนิดๆ
1977 - 1978 เข้าสู่ยุคตกต่ำ
ในช่วงปี 1977 - 1978 นี้ดนตรีแนว Hard Rock ถือว่าตกต่ำถึงขีดสุด เนื่องจากแนวดนตรีดิสโกของ Bee Gees, Boney M และ ABBA แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมโลก รวมไปถึงการก่อกำเนิดโดยสมบูรณ์แบบของดนตรีแนว Punk อันมี Sex Pistols เป็นหัวหอกที่ทิ่มแทงจนดนตรีแนว Hard Rock เริ่มหมดลมหายใจทีละเล้กทีละน้อย แต่ถึงกระนั้นเลย บรรดาชาว Hard Rockers ก็ยังออกผลงานเยี่ยมๆ มาบ้างนั่นก็คืองานของ UFO นั่นก็คือ Light Out และ Rush สุดยอดวง Progressive Rock กับอัลบั้ม A Farewell to Kings รวมไปถึงว Queen กับงาน Opera Rock ที่ทำออกมานั่นก็คือ News of the world ที่มีบทเพลงอมตะอย่าง We will rock you และ We are the champion และในช่วงกลางๆ ปี 1977 วงการ Hard Rock ก็ได้สูญเสียมือกีตาร์อัจฉริยะไปอีกคนนั่นก็คือ Marc Bolan แต่ในปี 1978 ล่ะมีอะไรมั่ง... การก่อกำเนิดของฮีโร่ที่เข้ามากอบกู้วงการ Hard Rock ด้วยสำเนียงอันเป็นเอกลักษณ์ ใครวะ...? Eddie Van Halen ไงพวก... ผลงาน Van Halen นั้นทำให้เกิดความตื่นเต้นไปทั่วโลก... แต่ถึงกระนั้นวงดนตรีแนว Hard Rock ที่เคยยิ่งใหญ่สุดๆ ก็เสื่อมความนิยมลงไปทีละเล็กทีละน้อย เนื่องจากภาพยนตร์ Grease ที่ทำให้ Bee Gees ครองใจคนทั่วโลกได้มากกว่า รวมไปถึงวงดนตรีแนว Punk ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมาก... สูงมากจนทำให้ Hard Rock ค่อยๆ หมดลมหายใจลงไปเรื่อยๆ
1979 เมล็ดพันธุ์ใหม่ก่อกำเนิด
ในช่วงที่ดนตรีแนว Punk และ Disco กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงสุดอยู่นั้นเอง ก็มีวงดนตรียุคใหม่จากเกาะอังกฤษค่อยๆ ทยอยเปิดตัวขึ้นมาตามผับเล็กๆ เช่น Saint Vitus และ Venom แต่วงดนตรีที่ออกผลงานมาในช่วงปี 1979 นั้นก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวดนตรีที่เรียกว่า New Wave of British Heavy Metal เช่นวง Motor Head, Judas Priest [พึ่งได้รับความนิยมในวงกว้างกับอัลบั้ม Hell bent for leather] ทางฝั่งอเมริกาก็มี Van Halen ที่ออกอัลบั้ม Van Halen II ออกมา ฝั่งออสเตรเลียก็มี AC/DC กับผลงาน Highway to hell ส่วนเหตุการณ์สำคัญในปี 1979 นี้ก็คือการโดนไล่ออกของ Ozzy Osbourne จาก Black Sabbath สำหรับการโดนไล่ออกนี้ก็ทำให้ในอนาคตของวงการ Metal เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล (จะกล่าวถึงในภายหลัง) ส่วนผู้ที่เข้ามาแทน Ozzy Osbourne นั้นก็คือสุดยอดนักร้องนำแนว Metal อีกคนก็คือ Ronnie James Dio (ลาออกมาจาก Rainbow ของ Richie Blackmore แต่ก็ได้ Graham "น้าแหบ" Bonnet มาแทน)
1980 จุดจบของ Hard Rock และเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเป็นทางการ...
ในปี 1980 นี้เองที่ถือว่าดนตรีแนว Hard Rock ได้ถึงกาลอวสานโดยสมบูรณ์แบบด้วยสาเหตุหลักๆ คือกระแสความนิยมของ Heavy Metal เข้ามาแทนอย่างสมบูรณ์แบบ และเหตุการณ์ที่ถือว่าดนตรีแนว Hard Rock สิ้นสลายไปก็คือการออกอัลบั้ม Heaven and Hell ของ Black Sabbath ที่เป็น Heavy Metal เต็มรูปแบบและการตัดสินใจยุบวงของ Led Zeppelin เนื่องจากการเสียชีวิตของมือกลอง John Bonham รวมไปถึงการออกอัลบั้ม Blizzard of Ozz ของ Ozzy Osbourne นั่นเอง... ในปี 1980 นี้วงดนตรีที่เรียกตัวเองว่า NWOBHM ก็มาแรงสุดๆ ซึ่งก็มีหัวหอกอย่าง Iron Maiden, Def Lappard, Saxon, Diamond Head, Angel Witch, Girlschool ฯลฯ และแน่นอน ... AC/DC กับนักร้องนำคนใหม่ Brian Johnson ก็ได้แจ้งเกิดสำเร็จกับผลงานที่ดังสุดๆ Back in Black นั่นเอง... อ่อ... Judas Priest กับอัลบั้มสุดคลาสสิก British Steel ส่วนเหตุการณ์สำคัญๆ ในปีนี้ก็คือ การเสียชีวิตของ Bon Scott นักร้องนำของ AC/DC ที่เสียชีวิตเพราะดื่มเหล้ามากไปนิด...
หลังจากปี 1980 เป็นต้นไปก็เข้าสู่ยุค Heavy Metal แล้วล่ะ ส่วนอัลบั้มแนว Hard Rock ที่ผมจะแนะนำให้ลองฟังก็มีดังนี้ครับ...
- Machine Head และ Burn ของ Deep Purple - Led Zeppelin IV และ Pyscical Graffiti ของ Led Zeppelin - Phenomenon ของ UFO - Master of Reality และ Sabbath Bloody Sabbath ของ Black Sabbath - Demon & Wizard ของ Uriah Heep - Tyrany and Mutation ของ Blue Oyster Cult - We're an American Band ของ Grand Funk Railroad - Beck, Bogert & Appice อัลบั้ม Beck, Bogert & Appice - A night at the opera ของ Queen - Alive! ของ Kiss [Live Album]
*************************************
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:38:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
 |
|
 |
|
คำตอบที่ 22 |
|
|
อีโมคือ...
สืบเนื่องมาจากการที่โลกดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดจึงทำให้เราเริ่มได้ยินคำว่า "emo" หรือ "screamo" กันมากขึ้น ซึ่งจริงๆ มันเป็นแนวดนตรีที่เพิ่งถูกเรียกกันขึ้นมาใหม่ไม่กี่ปีมานี้เอง บางคนบอกไว้ว่า emo ไม่ใช่แนวดนตรี เหมือนคำว่า Rock , Pop , Punk หรือ Hardcore ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วยครับ โดยต้นกำเนิดของ emo นั้นมาจากการการผสมผสานกันของแนวดนตรีหลักๆ คือ Punk , Rock , Hardcore เข้าด้วยกันครับ ลักษณะเด่นที่สุดของเพลง emo ผมสามารถยืนยันได้เลยว่า มันเป็นการผสานระหว่างความแข็งกร้าว โกรธเกรี้ยว รุนแรง ที่อยู่ภายนอก เข้าไว้กับความอบอุ่น นุ่มนวล แต่มีพลังที่อยู่ภายใน เข้าไว้ด้วยกัน ตรงนี้จะสังเกตได้ชัดจากวิธีการร้องแบบ emo จะต้องมีการร้องท่อนที่เรียกว่า Scream หรือ การตะคอก , ตะโกน , แหกปาก แล้วก็ตัดจังหวะ เปลี่ยนอารมณ์เป็นท่อนที่เบาลง หรือบางทีก็เป้นอคูสติคไปเลย แต่ที่สำคัญก็คือ emo จะไม่ร้องท่อน scream ไปตลอดจนจบเพลงนะครับ..ขอเน้น นี่คือสิ่งที่จะสังเกตได้ชัดเจน และง่ายที่สุดว่าวงไหนเป็น emo และเป็นที่มาของคำว่า emo ซึ่งมันย่อมาจากคำว่า "emotional" แปลให้ฟังได้ว่าอารมณ์ .. หุหุ คุณคงจะแปลกันออกอยู่แล้วผมรู้ ซึ่งเมื่อก่อนสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ผมสับสนอยู่นานพอสมควรเหมือนกันว่าวงไหนถึงจะเป้น emo บ้าง ถัดมาจากเรื่องการร้องก็เป็นเรื่องเนื้อหาของเพลง .. emo จะมีเนื้อหาที่ เน้นหนักไปในทางประชดชีวิต ความรักที่ผิดหวัง หรือไม่ก็เป็นบทกวี บทกลอน ถึงขั้นนั้นทีเดียว สำหรับเนื้อหานั้นผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาฝรั่งมากนัก ก็พอจะเข้าใจในความหมายที่ไม่ลึกซึ้งแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น อันนี้ก็ต้องขออภัยด้วย สำหรับวงไหนเป็นอีโมบ้าง ? วงอีโมที่แนะนำให้ฟังมีอะไรบ้าง ?
วงที่ผมจะแนะนำมีดังนี้ครับ Thursday , Funeral For A Friend ,The Used , Story Of The Year, Saosin , Taking Back Sunday , Matchbook Romance , Finch , Senses Fail วงเหล่านี้หากคุณเป็นคนชอบฟังเพลง Rock / Alternative มาก่อนแล้ว รับรองว่าฟังไม่ยากครับ ผมยกตัวอย่างมาไม่กี่วง เอาที่คิดว่าเพลงฟังง่ายๆ ที่สุดแล้ว จริง ๆ วงที่เป็นแนว emo ยังมีอีกมากมาย เอามาเขียนคงไม่หมดนะครับ ผมเคยไปเจอท่านนึงบอกไว้ว่า "อย่าคิดว่าคุณรู้จัก emo ถ้าคุณไม่ได้ฟัง Saosin" อ่านแล้วอยากหามาฟังบ้างมั้ยครับ
saosin ไม่ได้อ่านว่า เซาซิน เขาอ่านว่า เซโอเชี่ยน ได้มาจากภาษาจีน วงแนว Emo / Screamo มาแนะนำ 1.วง Phoenix Mourning เป็นแนว screamo / hardcore และผสม metal ด้วย น่าจะดังในไม่ช้า ลองหามาฟังดู สุดยอด 2. วง Aiden เป็นแนว Emo Punk วงนี้เท่มากๆ ขอบอก ยิ่งถ้าได้ดู mv เพลง i set my friend on fire และเพลงสุดที่รัก night blood nightmare master แล้วยิ่งน่าจะรักพวกเขาได้ไม่ยาก ออกมาแล้ว 2 อัลบั้ม 3. Satanic Surfers เล่นแนว Hardcore Punk มันมากเลยจะบอกหั้ย 4. a static lullaby เป็น emo punk / hardcore ออกมาแล้ว 2 อัลบั้ม เพลงเพราะมากๆ โดยเฉพาะ lipgloss & letdown 5. Fear Before The March Of Flames เป็นแนว emo hardcore + metal ด้วยนะหนักหน่วงดี ชอบมาก 6. Flyleaf นักร้องนำเป็นผู้หญิงนะ ร้องแนว emo rock + alternative ด้วยนะจะบอก เสียงสำรอกใช้ได้เลย ลองฟัง i'm so sick ดูก้อแล้วกัน 7. comeback kid วงนี้เป็นแนว hardcore เจ๋งมากๆ เสียงใช้ได้เลย ตะโกนได้เสียงดีมากเลย 8. secret lives of the freemasons เป็นแนว screamo / posthardcore นะ บอกคำเดวว่าสุดยอด เพลงแนะนำ it only took a whisper
****************************************
Noppy
20 มี.ค. 51
เวลา 20:39:00 IP = 64.254.116.14
|
|
|
 |
|
 |
|
|