Main Menu
 Home หน้าแรก
 login / สมาชิก
 BuyerBook
 รายการ TV
  คอร์ด / เนื้อเพลง
  วีดีโอ คลิป
  Webboard
  Classifieds
  ข่าวสารดนตรี
  Review & ทดสอบ
  งานคอนเสิร์ต
  บทความดนตรี
  Cools Links
  Artist Gear
 
  About Us

7151


 Interview :     สัมภาษณ์มือกีตาร์ท่านนึงที่รอบจัดมากๆนั้นคือ Eric Mantel     2/11/2010    Peter Sow

สัมภาษณ์ Eric Mantel โดย Peter Sow

สวัสดีครับเพื่อนๆชาว Guitarthai ครั้งนี้ถือว่าเป็นเกียรติมากๆที่เรามีโอกาสได้สัมภาษณ์มือกีตาร์ท่านนึงที่รอบจัดมากๆนั้นคือ Eric Mantel และเขาเองเพิ่งได้เซ็นต์สัญญาเป็นศิลปินกับค่ายของ Steve Vai และเขาจะมาพูดถึงมุมมองการเล่นกีตาร์รวมไปถึงการจัดประกวดกีตาร์ออนไลน์ รับรองได้ว่าเด็ดมากๆ

GT: คุณเซ็นต์สัญญากับทาง Digital Nation ได้อย่างไรครับ?
Eric : ทุกอย่างเริ่มจากการ ที่ผมส่ง อีเมล์ แนะนำตัวไปยัง Digital Nation ครับ และทางนั้นก็ขอให้ผม CD ของผมไป หลังจากนั้น มันก็ผมก็ได้เป็นส่วนของประวัติศาสตร์ ผมรู้สึกภูมิใจมากๆ ที่ได้เซ็นต์สัญญา อย่างที่คุณรู้ๆกันเหละ Steve Vai เป็นเหมือน The Beatles ของวงการกีต้าร์เลยเหละ ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าเค้าอีกแล้ว มันเหมือนกับฝันเป็นจริง ผมมีความสุขมากๆ ที่ได้อยู่ร่วมค่ายกับมือกีต้าร์ที่เก่งที่สุดในโลกหลายๆคนครับ

GT: คุณเริ่มเล่นกีต้าร์ตั้งแต่เมื่อไหร่? ใครเป็นแรงบัลดาลใจของคุณ? ใครเป็นมือกีต้าร์ที่คุณชื่นชอบเป็นพิเศษ?
Eric : ผมเริ่มเล่นกีต้าร์ในปี 1968 โดยเริ่มจากการยืมกีต้าร์ของเพื่อนบ้านมาครับ แต่ผมเริ่มเล่นอย่างจริงจังตอนอายุ 10 ขวบครับ ผมเป็นน้องชายคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 6 คน ผมได้ไกล้ชิดกับดนตรีตั้งแต่ยังเด็กมากๆเลย John พี่ชายของผมเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมอยากเล่นกีต้าร์ เค้าอายุมากกว่าผม 8 ปี ซึ่งในตอนนั้นเค้าก็เล่นกีต้าร์ได้ดีมากๆแล้ว เค้าทำให้ผมได้รู้จักกับ YES, ELP, Moody Blues, Led Zeppelin, Robin Trower, Jimi Hendrix, Eric Clapton, Cream, และวงอื่นๆ

แต่ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย คือ The Beatles จริงๆแล้วผมอยากเป็น The Beatles เลยนะ และช่วงนั้นผมพยายามพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแบบ บริติช ตลอดเวลาเลย

ในช่วงกลางยุค 70’s บุคคลที่มีอิทธิพลกับผมมากๆคือ Peter Frampton โดยเฉพาะอัลบั้มแสดงสด “FRAMPTON COMES ALIVE” อีกคนที่ผมชอบมากๆคือ Alex Lifeson จาก RUSH ในช่วงปลายๆยุค 70’s ผมสนใจพวกมือกีต้าร์ Rock Fusion อย่าง Al Dimeola, John McLaughlin, Bill Connors, Allan Holdsworth, Steve Morse, Jeff Beck และอีกหลายๆคน

ส่วนในช่วงกลางปี 80’s Eric Johnson ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย เหมือนอย่างที่ The Beatles เคยทำ
แต่...คนที่มีผลต่อการเล่นกีต้าร์ผมที่สุด มากกว่าทุกๆคน ก็คือ ..Steve Howe จาก YES เค้าทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า คุณสามารถทำอะไรบนกีต้าร์ได้บ้าง!!

ดังนั้นมันคงไม่แปลกที่จะบอกว่าสิ่งที่ผมเล่น มันก็คงเป็นการ ทอยลูกเต๋าเลือกระหว่าง Eric Johnson, Allan Holdsworth และ Shawn Lane

ส่วนมือกีต้าร์ที่ผมชอบมากๆตอนนี้คือ Guthrie Govan คือมหัศจรรย์มากๆ มันเหมือนกับว่าเค้ามาจากอวกาศเลย ทุกคนควรจะลองดู Guthrie เป็นตัวอย่างเพราะเค้าสุดยอดจริงๆ ผมและ Guthrie เป็นมือกีต้าร์ที่คล้ายๆกัน เพราะ เราเล่นดนตรีทุกๆแนวเลย จริงๆแล้วมีกีต้าร์เก่งๆอีกเยอะมากเลยครับ ซึ่งคงพูดถึงยังไงก็ไม่หมด

GT: ช่วยพูดถึงตารางฝึกซ้อมของคุณหน่อย?
Eric : ช่วงที่ผมเป็นเด็กๆ ผมจะซ้อมประมาน 5 ถึง 8 ชั่วโมง โดยจะช่วงพักนิดหน่อย ผมจะรุ้สึกดีมากๆถ้าได้้ซ้อมซักวันละ ชั่วโมง ผมสอนนักเรียก 40-50 คนต่อสัปดาห์ นั่นหมายถึง 40-50 ชั่วโมงกับการสอน และผมยังมีห้องบันทึกเสียงอีก และ อย่างอื่นอีก เวลาที่ผมซ้อมกีต้าร์นั้น ผมจะพยายามหาเทคนิค และ สไตล์ใหม่ๆเสมอ ผมพยายามที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ เหตุผลนึงที่การซ้อมกีต้าร์เป็นอะไรที่น่าเบื่อก็เพราะเราทำในสิ่งที่เดิมๆนั่นเหละ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพยายามเรียนรู้อยู่เสมอ อย่าเป็นมือกีต้าร์ที่เล่นได้แคบๆ ไม่หลากหลาย

GT: เทคนิคที่คุณชอบที่สุดคืออะไร? มีวิธีการซ้อมอย่างไร?
Eric : มันมีเทคนิคที่ผมชอบอยู่เยอะมากๆเลย แต่ซึ่งที่ผมชอบมากๆคือการเล่น Fingerstyle แบบ Chet Atkins , การเล่น Chicken picking แบบ Albert Lee และ Brent Mason ซึ่งสำหรับผมแล้วมันเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการเล่นกีต้าร์ ยากกว่าพวกการเล่นเร็วๆอีก (ในมุมมองของผมนะ)

GT: คุณเล่นดนตรีหลายแนวมากๆ คุณศึกษาดนตรีเหล่านั้นอย่างไร? คุณเอามาหลอมรวมกันในเพลงของคุณได้ยังไง?
Eric : คงต้องมองย้อนกลับไปใช่ช่วงกลางปี 70’s ผมไม่อยากที่จะเป็นนักดนตรีที่เล่นๆเก่งแค่แนวเดียว ผมได้รับแรงบัลดาลใจจาก Steve Howe จาก YES และ Alex Lifeson จาก RUSHพวกเค้าเล่นดนตรีหลายหลากแนวมากๆ ผมใช้เวลาหลายปีในการเรียนกีต้าร์กับอาจารย์ ทั้ง Classic, Ragtime, Jazz, Blues, Country และอื่นๆ ผมเรียน ทฤษฎีดนตรี และการประพันธ์เพลงจาก มหาวิทยาลัย ซึ่งผมได้เรียน ไวโอลินในช่วงนั้นด้วย ผมเล่น เปียโน เบส และ กลองในบางครั้งด้วย ผมเรียนรู้ด้วยตัวเอง และผมแกะเพลงด้วยหูเยอะมากๆ ผมใช้เวลามากมายไปกับการแกะ Solo ของ Al Dimeola , Allan Holdsworth และ Steve Morse ซึ่งมันท้าทายมากๆ

GT: เพลงของคุณมีเมโลดี้ที่เพราะมาก รวมถึงมี ไลน์โซโล่ ทีลื่นไหล คุณ แต่งมันยังไงครับ?
Eric : เพราะว่าผมเป็นนักน้อง นักแต่งเพลงครับ ผมคิดถึงเมโลดี้ และโครงสร้างของเพลงก่อนเลย เพราะว่าผมเป็นแฟนแบบเข้าเส้นของ The Beatles ดังนั้นผมเรียนรู้จาก The Beatles มาเยอะมากๆ ผมใช้เวลาช่วงวัยเด็กของผมกับซึมซับดนตรีของเค้า และฟังเพลงของพวกเค้าซ้ำไปซ้ำมา ส่วนในไลน์ Soloนั้น สำหรับผม มันต้องมี เมโลดี้ที่ดี มีโทนมีที่ดี สามารถถ่ายทอดอารมณ์และจิตวิญญาณออกมาได้ มันต้องออกมาจากตัวคุณ มันต้องแสดงออกถึงความเป็นตัวของคุณได้ สิ่งเหล่านี่คือสิ่งที่ผมพยายามกลั่นกลองออกมาเวลาผมแต่งเพลง รวมถึงเวลา Solo ครับ

GT: อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมือกีต้าร์?

Eric : โยนอีโก้ และ การแข่งขันทิ้งไป พยายามเรียนรู้สิ่งต่างๆจากเครื่องดนตรี มากกว่าที่จะเป็นแค่มือกีต้าร์ ให้ดนตรีของคุณถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา เล่นกีต้าร์ด้วยหัวใจ ในโลกนี้มีมือกีต้าร์ที่มี เทคนิคดีๆมากมาย แต่จะมีซักที่คนที่มีพรสวรรค์ในการแต่งเพลง ที่มีเมโลดี้ที่สวยงามและเป็นที่จดจำ การแต่งเพลงที่มีเมโลดี้ที่ดี มันยากกว่าการเล่นเร็วๆไปทั่วคอกีต้าร์มากๆ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนเช่น Neil Zaza เป็นอัจฉริยะในการแต่งเพลงที่มีเมโลดี้ที่งดงาม เช่นเดียวกับ Steve Vai และ Joe Satriani ตัวผมเองก็พยายามคิดถึงการเป็นนักแต่งเพลงเป็นอย่างแรก ซึ่งต้องขอบคุณ The Beatles อย่างมาก

GT: คุณเริ่มเขียนเพลงของคุณเองตอนอายุเท่าไหร่ครับ?
Eric : น่าจะช่วยอายุประมาณ 12-13 นะ

GT: ในการแต่งเพลงคุณเริ่มจากอะไรครับ? คุณหาแรงบัลดาลใจมาจากใหน?
Eric : เมโลดี้ และ โครงสร้างของเพลง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ ส่วนแรงบัลดาลใจมันจากอะไรก็ได้ ที่ใหนก็ได้ เมื่อใหร่ก็ได้

GT: ช่วยพูดถึงอัลบั้มใหม่ของคุณ “The Unstuck Melody”?
Eric : อัลบั้มนี้ใช้เวลาถึง 2 ปีในการทำเลยครับ มันเป็นการใช้การทำงานที่หนักมากๆ แต่ผมมีความสุขกับมันมากๆเลยนะ ผมว่าจะรีไทร์ หลังจากอัลบั้มนี้เสร็จเลยหละ ฮ่าๆ ด้วยความสัจย์จริง ผมอยากให้คนทั้งโลกได้ฟังอัลบั้มนี้ เพราะ มันเป็นเพลงสำหรับทุกๆคน ผมทำอัลบั้มนี้ออกมาทั้งสำหรับ นักดนตรี และ ผู้ที่ไม่ได้เป็นนักดนตรี ก็สามารถฟังมันได้ ครึ่งนึงในอัลบั้มเป็นเพลงร้อง อีกครึ่งเป็นเพลงบรรเลง ซึ่งผมอย่างที่บอกไป ผมได้เซ็นต์สัญญากับ Digital Nations คุณสามารถซื้ออัลบั้มนี้ได้จากที่นั่นเลยครับ

GT: คุณใช้ระบบอะไรอัดเสียง? ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?
Eric : Pro Tools ครับผม ผมใช้ Digi 003 ซึ่งเป็น Rack ที่ได้รับการ โมดิไฟล์โดย Black Lion Audio จาก Chicago
ผมใช้ DIGI PRE, Apogee Rosetta, AVALON 737 ,AVALON U5 และ อีกเพียบเลย

GT: คุณมีประสบการณ์ในการบันทึกเสียงกีต้าร์มาตั้งแต่ช่วงปี 70‘s เคยผ่านมาแล้วทั้ง Analog จนถึง Digital ช่วยเล่าประสบการณ์เหล่านั้นให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับ?
Eric : Analog มันให้เสียงที่อุ่นกว่าครับ แต่ Digital ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น โดยเฉพาะการตัดต่อ มันมีข้อดี และ ข้อด้อยที่แตกต่าง แต่ในปัจจุบัน Digital เป็นที่นิยมกว่ามากๆ เพราะมันง่ายกว่าการใช้ เทป มีศิลปินหลายๆกลุ่มที่บันทึกเสียงด้วยระบบ Digital แล้ว ไปถ่ายลงเทป และ นำกลับมาสู่ระบบ Digital อีกครั้ง ซึ่งจริงๆแล้วมีอุปกรณ์หลายอย่างที่ช่วยให้การบันทึกเสียงในระบบ Digital มันอุ่นขึ้น เช่น Microphone Pream ที่เป็น หลอด ดีๆ

GT: คุณคิดว่าเทคโนโลยีดนตรีมีส่วนช่วยนักดนตรีในการบันทึกเสียงหรือปล่าวครับ?
Eric : 100% เลยครับ

GT: พูดถึง F3 กันหน่อยดีกว่า มันมีความเป็นมาอย่างไร? คุณได้เล่นร่วมกัน Neil Zaza ด้วยหนิครับ เล่าให้เราฟังหน่อยสิ?
Eric : F3 เนี่ยมันอยู่ในหัวผมมานานแล้ว และผมก็ไปชวน Neil Zaza มาเล่นด้วยกัน จริงๆแล้ว ผมเสนอไอเดียกับ Florain Opahle (มือกีต้าร์ชาวเยอรมัน) หลังจากนั้นผมก็ไปชวน Neil มาเล่นด้วยกัน จริงๆแล้วผมกับ Neil ได้เจอกันครั้งแรก ที่ กีต้าร์คลีนิค ด้วยกันเมื่อปี 2008 และเราก็สนิดกันตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นเราก็เริ่มโปรเจคที่คล้ายๆ G3 ขึ้นมา เราเรียกมันว่า F3 Tour (www.f3tour.com) เราได้ทัวร์ที่โปแลนด์อยุ่ สองอาทิตย์ กับ Florain Opahle ซึ่งเคยร่วมงานกัน Grag Lake และ Ian Aderson เราสนุกกันมากเลยทีเดียว ผมประทับใจในตัว Neil มากๆ เค้าทำงานหนักเสมอ เค้าเป็นมือกีต้าร์ที่ยอดเยี่ยม เป็นนักแต่งเพลงที่ยิ่งใหญ่ มีรสนิยมที่ดีมากๆในเรื่องของเมโลดี้ เป็นนักแสดงที่ดี และ ฉลาดมากๆ และเค้าเป็นคนที่ดีที่สุดที่คุณเคยเจอมาเลยทีเดียว Florian ก็เป็นมือกีต้าร์ที่เก่งมากๆ และ เป็นคนดีมากๆเช่นกัน ผมมีแผนที่จะทัวร์กับเค้าในหลายๆโปรเจคในอนาคตด้วยครับ

GT: ตอนคุณแจม หรือ อิมโพรไวส์อยู่ คุณมีไอเดียยังไง? มันแตกต่างจากตอนแต่งเพลงหรือปล่าว?
Eric : ผมพยายามที่จะเล่นออกมาจากหัวใจ และฟังว่าข้างในตัวของผมมันบอกอะไร ผมก็แค่เล่นมันออกไป จริงๆแล้วดนตรีมันก็สื่อเข้าไปในตัวเราทุกคนได้อยุ่แล้ว เพราะตัวเราก็เป็นแสง และพลังงาน ทุกอย่างในจักรวาลนี้มีการสั่น และ เคลื่อนไหวของตัวเองอยุ่แล้ว ดนตรีมันก็มาจากการสั่นสะเทือน เหมือนกัน (ในแง่ของคลื่นในเชิงวิทยาศาสตร์)

GT: ช่วยพูดถึง Cort Signature ของคุณหน่อยสิครับ?
Eric : ครับ ตอนนี้ผมมี Cort G285 ซึ่งเป็น Signature ของผมอยู่ จริงๆแล้วมันยังเป็นตัวต้นแบบอยู่นะ มันมีตัวเดียวในโลกเลย ถ้ามีกระแสตอบรับที่ดี ผมค่อนข้างมั่นใจว่าทาง Cort จะทำมันออกมาขายแน่ๆ ซึ่งมันจะเป็น G285 เนี่ยเหละ เราจะเรียกมันว่า TONE-MASTER ก็ได้ เพราะว่าคุณสามารถเอา Pickup แบบใหนก็ได้ไส่ลงไป มันจะประกอบไปด้วย Pickup ของ Seymour Duncan และมีลูกบิดแบบล๊อคสายของ Sperzel และมีสีขาวพร้อมกับ ปิ๊กการ์ด แบบ Tortiseshell ซึ่งมันคงจะดูย้อนยุคในสไตล์แบบ 60’s

GT: คุณสะสมกีต้าร์หรือปล่าว? ชอบตัวใหนเป็นพิเศษ?
Eric :
แน่นอนครับ โดยเฉพาะ Cort ผมชอบมันมากๆ

GT: แล้ว Amp กับ Pedals ละ?
Eric : ชัวร์ครับ หลักๆก็ Fender และ Marshall ครับ แต่ตอนนี้ผมอยากเล่น CORNFORD มากๆเช่นกัน

GT: ได้ยินมาว่าคุณจัด Cort Guitar VIDEO Contest?
Eric : ใช่ครับ ผมและ Cort Guitar ได้คุยกัน และคิดว่ามันเป็นไอเดียที่เจ๋งดีทีเดียว คุณลองเข้าไปใน youtube.com และพิมว่า “CORT GUITAR VIDEO CONTEST” ดู แล้วคุณจะพบกับคลิปอธิบายเกี่ยวกับการประกวดนี้ จริงๆแล้วมันมี การประกวด 2 รายการนะ รายการแรก เป็น เพลง “TRIBUTE” ส่วนอีกรายการ เป็นเพลง “TAI-CHI” ซึ่งทั้งสองเพลงมากจากอัลบั้ม “The Unstruck Melody” มีรางวัลใหญ่สำหร้บผู้ชนะด้วย มันเป็นการประกวดระดับโลกเลย ใครๆก็สามารถร่วมสนุกได้

GT: คุณมีแผนที่จะมาทัวร์เอเชีย และ ประเทศไทยปีหน้า?
Eric : ใช่ครับ ผมมีแผนจะมาไทยนะ ปีหน้า และหลายๆประเทศในเอเชียด้วย ผมจะมาโชว์ และ คงจะมีคลีนิคด้วย

GT: งั้นฝากอะไรถึงแฟนๆที่นี้หน่อยได้ใหมครับ ?
Eric : ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนนะครับผม ผมรอที่จะได้ไปเจอกับทุกๆคนปีหน้าแน่นอน ผมได้ยินที่ประเทศไทยสวยงามมากๆ


any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket