Main Menu
 Home หน้าแรก
 login / สมาชิก
 BuyerBook
 รายการ TV
  คอร์ด / เนื้อเพลง
  วีดีโอ คลิป
  Webboard
  Classifieds
  ข่าวสารดนตรี
  Review & ทดสอบ
  งานคอนเสิร์ต
  บทความดนตรี
  Cools Links
  Artist Gear
 
  About Us

25743


 Interview :     พี่กิตติ กาญจนสถิตย์ หรือ กิตติ กีต้าร์ปืน    11/21/2007    Acid Head

สวัสดีอีกครั้งครับ วันนี้ Guitarthai จะพาทุกท่านไปพูดคุยกับมือกีต้าร์อีกท่านนึงที่จัดได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกวงการดนตรีร็อกในบ้านเรา อีกทั้งยังสร้างสรรสิ่งใหม่ๆในเรื่องของดนตรีอยู่ตลอดเวลา วันนี้เราจะพาไปพูดคุยถึงแนวทางและประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้จากเขาคนนี้กับพี่กิตติ กาญจนสถิตย์ หรือ กิตติ กีต้าร์ปืน

GT : ทำไมพี่ถึงสนใจที่เลือกเล่นกีต้าร์ครับ
พี่กิตติ : ก็ที่ชอบเล่นกีต้าร์เพราะชอบเพลงของ The Venture ,The Shadow สมัยก่อน ซึ่งเป็นเพลงบรรเลง
เราได้ฟังเสียงกีต้าร์ล้วนๆ ก็เลยชอบ

GT : ช่วงนั้นพี่เริ่มซ้อมจริงจังหรือยังครับ
พี่กิตติ : ยังๆ!! ช่วงนั้น ก็เล่นไปเรื่อยๆ ก็เล่นไปเรื่อยเปื่อย

GT : แล้วจากที่พี่ชอบเพลงพวกนี้มาก่อน แล้วพี่หันเข้าหาเพลงร็อกได้ยังไงครับ
พี่กิตติ : ก็..หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รวมวง ก็ไปเล่นที่สัตหีบ เล่นตามแคมป์ เราก็เล่นทั้งข้างในแคมป์บ้าง ข้างนอกบ้าง ก็เริ่มจากเล่นเพลงของ Rolling Stone ,The Beatles อะไรอย่างนี้ ก็มาเรื่อยๆ มันก็เริ่มเข้าใกล้ร็อกเข้ามาทุกทีแล้ว แล้วก็ข้ามไปเล่นที่ตาคลี อืม..บอกก่อนว่าพี่เริ่มเล่นกีต้าร์ตั้งแต่อายุ 13 แต่เล่นอาชีพเนี่ยอายุ 15 นะ

GT : เริ่มเร็วมากเลย
พี่กิตติ : ใช่!! ก็เล่นเลย (หัวเราะ)

VCD สอน How to be rock lead guitar No.1

GT : แล้วกับเรื่องของการฝึกโซโล่ในช่วงนั้นหละครับ ฝึกยังไงครับ
พี่กิตติ : สมัยก่อนถ้าจะฝึกโซโล่ เราจะฝึกจาก เพลงซะเป็นส่วนใหญ่เพราะ มันไม่มีตำราให้ฝึก ช่วงแรกๆนะ พอต่อมาตอนหลังที่มาอยู่ที่ตาคลี เราก็เริ่มรู้จักฝรั่งแล้ว แต่ตอนที่เราอยู่ที่สัตหีบใหม่ๆเราก็ยัง ไม่รู้จักฝรั่ง เรายังไม่มีแฟนเพลง พอตอนหลังที่มาอยู่ตาคลีก็เริ่มมีฝรั่งมาสอนให้ ตอนนี้ก็เริ่มฝึกมีแบบแผนแล้ว

GT : ช่วงแรกพี่แกะเพลงหนักเลยหรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : หนัก!! แกะหนักเลยแต่สมัยก่อนก็มีอาจารย์ท่านนึง ตาแกบอดนะ แกก็ช่วยสอนให้ ในด้วย อย่างว่านะช่วงที่เล่นดนตรีใหม่ๆ มันฟังเพลงก็ยังไม่รู้เลย ว่าอันนี้คอร์ดอะไรเล่นยังไง (หัวเราะ) ทำยังไงจะเล่นเหมือนแผ่นก็ยังไม่รู้

GT : แล้วกับการต้องมาซ้อมกับวงหละครับ
พี่กิตติ : คืออย่างนี้ สมัยก่อนกับเดี๋ยวนี้ก็เหมือนกันนะ คือต่างคนต่างแกะ แต่เราเป็นคนที่ฟังเพลงเยอะ เวลาฟังมา แล้วเราก็จะรู้ว่า เฮ้ย!! นี่มันไม่เหมือนนี่ มันเหมือนว่า แต่ละคนก็จะมาแชร์ฝีมือกัน แล้วเราเองก็เล่นแบบก็อบปี้อยู่แล้ว

GT : อย่างนี้ก็ต้องมีการฟังไลน์คนอื่นด้วย
พี่กิตติ : ใช่ !! เพราะว่าเวลาเล่นดนตรีเราจะฟังไลน์คนอื่นด้วย จะไม่ฟังแค่กีต้าร์อย่างเดียว ต้องฟังทั้งวงประกอบไปด้วยกัน

GT : ตอนมาอยู่ตาคลีก็เรียนกีต้าร์จริงๆจังๆมากขึ้น
พี่กิตติ : ใช่!! อืม พอมาอยู่ที่สัตหีบเนี่ย เราก็ยังไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง วงก็ยังไม่เข้าที่ พอมาที่ตาคลีก็เริ่มเข้าที่ แต่ก็ยังเป็นวง Stone อยู่นะ ตอนอยู่สัตหีบแรกๆใช้ชื่อ Seven Crown นะ แล้วจากตาคลีก็กลับไปอยู่สัตหีบอีก แต่ว่าคราวนี้ ก็เริ่มเป็นร็อกมากขึ้นแล้ว ช่วงแรกๆที่เล่นพี่จะวนเวียนอย่างนี้ก่อนระหว่างสัตหีบกับตาคลี สลับที่กันเล่นไม่ให้คนเบื่อ แต่พอกลับมาสัตหีบรอบสองนี่ เริ่มแกร่งกล้ามากขึ้น (หัวเราะ) แต่อยู่ไม่นาน ก็กลับมาอยู่ที่ตาคลีอีกครั้ง แต่กลับมาครั้งนี้ก็เริ่มเป็น Kaleidoscope แล้ว

GT : ทำไมต้องเป็นการเล่นแค่ ตาคลีกับสัตหีบครับ
พี่กิตติ : คือช่วงแรกเนี่ย เรารู้จักอยู่แค่สองที่ไง และเราเองก็ยังไม่กล้าจะไปที่ไหน เพราะวงยังไม่เจ๋งพอ คืออย่างนึง เวลาเราเล่นเนี่ยเราจะดูจากคนดูว่า เราเล่นแล้วคนชอบหรือไม่ ซึ่งมันก็เกี่ยวเนื่องกับรายรับด้วย เมื่อก่อนเราต้องการที่จะทำให้วงเป็นที่หนึ่งในจังหวัดเลย และอีกอย่างสมัยก่อนมีวงเล่นเพลงร็อกน้อยมาก เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ยากที่เราจะทำให้คนดูที่เป็นขาร็อกชื่นชอบ โดยส่วนมากเป็นฝรั่งทั้งนั้นเลย ส่วนชื่อของ Kaleidoscope เนี่ยได้มาจากฝรั่งคนนึง เขาเคยตั้งวงนี้ขึ้นมาอยู่ที่อเมริกา เขาก็ทำแอมป์ใหญ่กว่า Marshall อีกนะ แล้วอีกอย่าง พี่เริ่มเล่น Talk Box มาก็เพราะเขาเช่นกัน เขาก็เป็นคนสร้าง เราเองก็ได้อะไรมาหลายๆอย่างตอนอยู่ตาคลี

GT : ช่วงแรกของ Kaleidoscope เล่นเพลงของใครบ้างครับ
พี่กิตติ : วงตอนนั้น ช่วงแรกมีพี่ มีประจวบ สินเทศ เล่นเบส และ ร้องเพลง เขาเป็นนักร้องประกวดได้รับรางวัลรองชนะเลิศ รุ่นเดียวกับนันทิดา แก้วบัวสาย ซึ่งตอนนี้ประจวบเสียชีวิตแล้ว และก็มีนันตีกลอง จะเล่น 3 คน แบบ Cream หรือ Jimi Hendrix เลยต่อมาก็ได้ต้อยมาร้องเพลง

GT : เป็นกลอง, เบส, กีต้าร์
พี่กิตติ : อืม..ใช่เลย แล้วการที่เราเล่นอย่างนั้นเนี่ย มันต้องทำยังไงให้วงมันแน่นร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ได้ เพราะเราเล่นแค่ 3 คนเอง เราเคยผ่านตรงจุดนั้นมาจึงทำให้ไลน์บางไลน์เราต้องเล่น อะไรที่เงียบๆหายไปเราก็ต้องเล่น เพราะพี่คิดมาตั้งแต่สมัยก่อนเลยนะ บางครั้งอะไรบางอย่างหายไปก็ช่างมัน แต่ขอให้เล่นออกมาแล้ววงแน่น ต้องแน่นไว้ก่อน บางทีถ้าเราเล่นเหมือนแผ่นมากเกินมันจะเครียด หลายๆคนเป็นกันนะ เพราะว่าเล่นอย่างนั้นบางทีมันไม่สนุก เล่นดนตรีมันต้องสด ความรู้สึกต้องสด

GT : ถ้าอย่างนั้นอาจเรียกได้ว่า Kaleidoscope เป็นวงแรกๆเลยที่ มีการเล่นแบบอิมโพรไวส์เข้ามา
พี่กิตติ : อืม อาจจะมีหลายๆวงนะ พี่ก็ไม่รู้ แต่ที่วงเราเนี่ยมันใกล้ชิดฝรั่งมากๆ เวลาฝรั่งเขาเล่น มันไม่จำเป็นต้องเหมือนแผ่นเลยนะ แล้วสมัยก่อนนะพี่มีแผ่นเสียงเยอะมาก เพราะฝรั่งให้มา แล้วก็ได้ดูพวกหนังเพลงเยอะมาก เขาพาเข้าไปดูในแค้มป์ เมื่อก่อนมันไม่มีทีวี วีดีโออะไรก็ไม่มี แล้วทหารพวกนี้นะ ความเป็นอยู่มันดีกว่าทหารไทยนะ แล้วอีกอย่างบางคนชอบถามนะว่า แค้มป์มันเป็นยังไง มันจะเป็นเหมือนบ้านไม้ชั้นเดียว เป็นที่โล่งๆ แล้วทาสีแบบทหาร แล้วเพลงที่แกะเล่นกันก็มีพวก Cream,Led Zepplin ,Hendrix ,Deep Purple อย่างวง Cream นี่เล่นก่อนเลยนะ Eric Clapton นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ แล้วก็มี Jeff Beck บางเพลง

GT : ช่วงนั้น Kaleidoscope จัดได้ว่าเป็นวงที่ดังมากในสถานที่ตามแค้มป์
พี่กิตติ : ใช่ !! ตามต่างจังหวัดเลยนะ ตามที่ที่มีแค้มป์ ก็มี สัตหีบ,ตาคลี,อุดร,อุบล,โคราช,นครพนม

GT : ในการเล่นแต่ละครั้งพี่อยู่นานแค่ไหนครับ
พี่กิตติ : 3-6 เดือนนะ แต่บางที่ก็เป็นปี อย่างช่วงนึง Kaleidoscope ไปเล่นที่สัตหีบอยู่ 2 –3 ปีเลยนะ

GT : เล่นทุกคืนเลยหรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : ใช่ เล่นทุกคืน แต่อาทิตย์นึงเราจะหยุดวันนึง แต่คนดูนี่เป็นฝรั่งเลยนะ แน่นทุกคืนเลย ยิ่งตอนนั้นเราเป็นวัยรุ่น นี่ยิ่งเล่นแบบดุเดือดเลย คือพี่ชอบอย่างนี้ไง เล่นดนตรีนี่ต้องเล่นแล้วสนุก เรื่องของการผิดพลาดมันมี มันสามารถเกิดขึ้นได้ แต่จะทำยังไงให้มันสนุกเท่านั้นเอง เราต้องคิดจุดนี้ก่อน

GT : ในช่วงที่พี่ต้องเล่นแทบทุกวันกับเพลงเดิมๆ มีความรู้สึกเบื่อหรือเปล่าครับ แล้วพี่ทำยังไงให้ความรู้สึกนั้นหมดไป
พี่กิตติ : อืมมันทำได้ มันมีอยู่ 2 อย่างนะ คือ เปลี่ยนที่เล่น หรือออกไปโชว์ที่อื่นบ้าง แต่กับส่วนตัวพี่แล้วไม่เคยเบื่อนะ หากพี่จะเบื่อก็คือต้องเล่นเพลงที่เราไม่อยากเล่น เช่นมีอยู่ยุคนึงที่ไม่ได้เล่นกับฝรั่งแล้ว หันมาเล่นอยู่ตามโรงแรม ก็มาเล่นเพลงป๊อปสแตนดาร์ด ยืนบนเวที หลับเลยนะ (หัวเราะ) รับไม่ได้เลยนะ พี่รับไม่ได้ มันเป็นเรื่องของแนวทาง การทำงานเนี่ยใครๆก็ต้องการเงิน แต่เราไม่ต้องการเงินโดยที่เราไม่ชอบ พี่เป็นแบบหัวชนฝาเลยนะ แล้วพี่ก็บอกกับน้องๆ ตอนนี้หลายๆคนที่ชอบเพลงร็อก แต่ต้องไปเล่นเพลงโฟล์คบ้าง เพื่อชีวิตบ้าง เพื่อให้มีรายได้ พี่ก็ยังเสียดายเลยนะ กับจิตที่เขาตั้งใจไว้ แต่ว่าเขาต้องการความเป็นอยู่มากกว่า อย่างพี่แต่ก่อนก็ลำบากนะ แต่พี่ก็ต้องการแนวเพลงที่ตัวเองชอบ

GT : แล้วหลังจากยุค G.I เริ่มซ่าลง
พี่กิตติ : Kaleidoscope ก็ยังอยู่นะ แต่หันมาเล่นตามโรงแรมแล้ว แต่ก็เริ่มมีการเปลี่ยนสมาชิกนะ ด้วยเหตุผลบางอย่าง รู้สึกว่าพอมาครั้งแรก จะมาเล่นที่โรงแรมเพรสซิเดน แถวพระพรหม แล้วก็ไปเล่นต่อเชียงใหม่ ก็จะอยู่ตามโรงแรมชั้นหนึ่งทั้งนั้นเลย ก็ไปมาๆ แบบอยู่ที่ละ 6 เดือน พอครั้งหลังล่าสุด ก่อนจะกลับมาเล่นที่ โรงแรมเพรสซิเดนก็มาทำอัลบั้มชุดนึงกับ EMI สมัยก่อนคุณระย้าเป็นผู้จัดการ ก็ทำออกมาชุดนึง ก็เป็นพวกเพลง Y.M.C.A อะไรอย่างนี้

GT : เป็นเพลงป็อปสแตนดาร์ด
พี่กิตติ : ใช่!! ที่ทำอัลบั้มชุดนี้คือ ทำตามออร์เดอร์คุณระย้า แล้วเราก็กลับมาเล่นที่เพรสซิเดน ช่วงนั้นมีวงต่างประเทศมาเล่นบ่อย แต่มีวงนึงนักร้องเขาจะมาเล่น เขาก็ถามทางโรงแรมว่า วงที่เล่นประจำอยู่พอที่จะเล่นเป็นแบ็คอัพให้เขาได้หรือเปล่า พี่โยธิน ณ นครที่เป็นผู้จัดการ เขาก็ตอบไปว่าสบายมาก แล้วธรรมดาเนี่ยะ พวกวงที่มาโชว์จะเป็น ผู้หญิง 2 ชาย 1 ร้องประสานเสียงกัน แล้วส่วนมากเขาก็จะเปิดเป็นแบ็คกิ้งแทร็ค แต่พอวงพี่เล่นได้เขาก็เอาวงนี้เล่นเลย มันจะได้กลายเป็นเล่นสดดีกว่า พอเล่นกับเขาเสร็จประมาณซัก 2 อาทิตย์น่าจะได้นักร้องที่วงเรา Back up ให้ เขาก็มาชวนให้ไปเล่นกับเขาที่ นิวซีแลนด์ เราก็คิดในใจนะ ว่าเอาแล้ว มันก็คงพูดมั่วๆเหมือนทั่วๆไป (หัวเราะ) เราคิดอยู่นะ ว่ามันไม่มีทางหรอก เราก็ตอบๆไปงั้นๆ ก็ไปซิ พอเขากลับไปได้ไม่ถึงเดือน ก็มีโทรศัพท์มาหาจาก นิวซีแลนด์ ทางโน้นเขาถามมาว่าให้มาคุยเรื่องราคา เราฟังแล้วเราก็ขนลุกเลย (หัวเราะ) เราก็ตอบไปว่าอีกอาทิตย์นึงให้คำตอบนะ ขอคุยกับทางวงก่อน ว่าแต่ละคนเรียกค่าตัวเท่าไหร่แล้วต้องไปนานแค่ไหน เพราะว่าแต่ละคนเขามีครอบครัว ผลสรุปก็คือเขาอยากให้ไปหนึ่งปี แล้วค่าทุกอย่างเขาจะออกให้ ค่าตัวอีกส่วนหนึ่ง แล้วเขาจะให้เราเป็น Music Union ของ นิวซีแลนด์ 1 ปี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเจ้าของบาร์เป็นคนจ่าย แล้วหลังจากนั้นไม่เกินเดือนวง kaleidoscope ก็ได้ไปเล่นที่นิวซีแลนด์ เมือง Wellington
ที่คลับชื่อ Spat’s

GT : ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนเลย
พี่กิตติ : ใช่ !! เป็นจุดเปลี่ยน มันเป็นเรื่องที่ดีเลยนะ เราไปที่นั่นก็ไม่ใช่ร็อกสุดๆนะ ที่นั้นมันก็ใหญ่ประมาณ…. น้องๆโรงเบียร์พระราม 3 เลยนะ เรียกว่าใหญ่พอสมควรสำหรับนิวซีแลนด์ แล้วสมัยนั้นมีคนไทยอยู่ไม่เกิน 50 คน ช่วงนั้นเป็นโอกาสดีอีกอย่างเลยนะ ได้ดู G3 ยุคนั้น มี Frank Zappa ,Al Di Meola แล้วใครอีกคนจำไม่ได้แล้ว พอดีเขาไปทัวร์ที่นั่น ที่วงมีความประทับใจอย่างนึงเลยนะ คือมีรายการทีวีที่นั้นเขาเชิญไปเล่นออกอากาศเป็นรายการสดนะ แล้วก็ให้มีคนโทรเข้าไปบริจาค แต่เสียดายที่เมื่อก่อนเราไป เราไม่มีกล้อง ที่จะเก็บภาพไว้ แล้วพอเราเล่นเสร็จจากที่นั้นเราก็กลับมาเมืองไทย ส่วน Kaleidoscope ก็แยกวงกันไป หลังจากนั้นพี่ก็ไปรวมตัวกันใหม่กับมือเบส ที่เป็นหัวหน้าวง V.I.P ชื่อแป๋ง และ เกี๊ยก ที่เคยเป็นมือกีต้าร์วงคาไลโดสโคป ส่วนมือกลองก็คือชูชาติ ที่ตีให้กับคาราบาว ตอนนี้ แล้วก็ จี๊ด นักร้องอีกคน รวมตัวกันใช้ชื่อวงว่า New Wave สมัยก่อนวงนี้เป็นวงแรกเลย ลองถามใครรุ่นนั้นดูก็ได้ New Wave เป็นวงแรกเลยที่มีการเอา Mixer มาใช้ เพราะธรรมดานี่ทำกันเอง แล้วมันดังเบาไม่เท่ากัน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่มีคนมิกซ์ แล้วก็มีการเล่นไฟบนเวที แล้วเมื่อก่อนนะเวลาเดินทางไปเล่นแต่ละที ถ้าไปรถไฟเนี่ยต้องใช้ 2-3ตู้เลยนะ ก็มีทีมงาน, มีแฟนเพลง, คนขนของอะไรอย่างนี้ เต็มเลย New Wave เนี่ย เป็นวงที่มีระบบแสงสีเสียงดีมากๆ แต่ไม่ค่อยมีเงินกัน เพราะมันหมดไปกับค่าเดินทางกับเรื่องแสงและเสียง (หัวเราะ) คือเล่นแล้วเสียงใช่เลย

GT : แต่ก็ยังเล่นเป็นร็อกอยู่
พี่กิตติ : ใช่ๆ!! แต่ช่วงที่เป็น New Wave เล่นพวก The Police เยอะ

GT : อันนี้คือที่มาของ เมดเล่ย์ Smoke หรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : ยังๆ ไม่ใช่ (หัวเราะ) New Wave ไม่ได้ทำ New Wave มีเล่นที่ช่อง 5 ถ่ายทอดสดที่เดียว ตอนนี้ก็ยังอยากจะขอเทปจากเขาเลยนะ แล้วก็ไปเล่นอยู่หาดใหญ่ อืม..จริงๆก็เล่นอยู่ไม่กี่จังหวัดหรอกนะ แล้วก็ไปเยอรมัน ก็ไปอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนมั้ง ที่นั่นเล่นอยู่หลายที่นะ เหนื่อยมาก(หัวเราะ) คือบางทีเล่นในผับนะ แต่ผับที่นั้นมันจะอยู่ชั้น 2 ชั้น 3 ไอ้ตอนก่อนเล่นเนี่ยะ มันก็มีแฟนเพลงช่วยยกของนะ แต่เวลาเลิกเนี่ยมันก็ตัวใครตัวมันเลย (หัวเราะ) เหนื่อยมาก เป็นน้องๆคอนเสิร์ตเลยนะ เพราะเราไม่เล่นตู้แอมป์อะไรเล็กเลย เราต้องเช่าเขา สาเหตุที่ต้องเช่าตอนอยู่ที่โน่นก็คือ คือ ที่นั่นถ้าเราเช่าซื้อ เราจะจ่ายแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเราเช่าโดยที่มีคนยกให้เราต้องจ่ายถึง 100เปอร์เซ็นต์ ก็เลยตัดสินใจเช่าซื้อดีกว่า ก็เลยต้องมานั่งขนกันเอง ตอนเลิกเล่นเราก็เอากลับไว้ที่บ้าน แต่พออยู่ที่นั่นนานเข้ามันก็อยู่ไม่ไหวนะ เพราะไหนจะต้องเดินทางไปเล่น ไหนจะต้องขนของ คือมันเหนื่อยมาก (หัวเราะ) คือเวลาเล่นเสร็จเนี่ยะมันน่าจะได้มานั่งพักนะ นี่ขนาดเป็นวัยรุ่น มันยังไม่ไหวเลย (หัวเราะ )
GT : แล้วพี่เริ่มมาทำอัลบั้ม Medley Smoke หรืออะไรต่างๆ ได้ยังไงครับ
พี่กิตติ : อืม..พอหลังจากที่กลับมาเมืองไทย New Wave ก็แตก แล้วพี่ก็กลับมารวมตัวกันกับ Kaleidoscope อีกที ที่นี้คุณวิเชียร เจ้าของค่ายนิธิทัศน์เขาก็มาชวนทำอัลบั้ม Medley Smoke อืม..อีกอย่างนะ ก่อนที่พี่จะทำอัลบั้มชุดนี้ก็มาทำกีต้าร์ปืนก่อน

GT : แล้วที่มาที่ไปของกีต้าร์ปืนมาจากไหนครับ
พี่กิตติ : มันมาช่วงตอนที่กลับมาเล่นกับ Kaleidoscope ตอนนั้นเล่นที่โคราช วันนึงพี่ก็กลับมานอนที่โรงแรม ก็นอนคิดเพลินๆนะ พอดีมองไปเห็นขื่อ ก็นึกถึงมันเหมือนปืนเลย ก็เลยนึกไอเดียได้ว่าน่าจะลองทำกีต้าร์ที่เป็นรูปปืนดู แต่ว่าตอนทำตัวแรกเนี่ยะ ไม่ได้ทำเพื่อใช้แสดงนะ ครั้งแรกเลยออกมาเล่นกับเอ็ดเวิร์ด สองคน ใช้เล่นลิปซิ้งค์ (หัวเราะ) ตอนนั้นเล่นออกรายการของ ดำรง พุฒตาล แต่พอออกไปแล้ว เสียงตอบรับที่กลับมามันไม่ปรกติเลยนะ สุดยอดมาก มีแต่คนพูดถึงมาก มีแต่คนถามว่า กีต้าร์อย่างนี้มันเล่นได้จริงหรือเปล่า เราก็เลยมีแรงบัลดาลใจว่าจะต้องทำกีต้าร์ปืนออกมาให้ดีๆแล้ว ก็เลยพัฒนามันมาเรื่อยๆ

GT : กีต้าร์ปืนนี่ พี่ให้ใครเป็นคนทำครับ
พี่กิตติ : พี่ให้ลุงสมหมายเป็นคนทำคอให้ ส่วน body เนี่ย พี่กับเพื่อนช่วยกันทำ ก็ใช้ไม้มาวัดมาทำกัน แต่กว่าจะมาเป็นตัวปัจจุบันเนี่ย ทำมาเป็น 20-30ตัวเลยนะ คือเสียงมันไม่ได้เลย ต้องทดลองทำไปตั้งหลายตัว

GT : แล้วเล่นเข้ามือหรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : แรกๆไม่เข้าเลย (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบ ต้องเล่น (หัวเราะ) แล้วอีกอย่างที่คิดนะ บางครั้งเรื่องที่มันเป็นสัญลักษณ์หรืออะไรพวกนี้ เราไม่ได้ตั้งใจเลยนะ มันมาเหมือนฟ้าประทานให้มากกว่า เสร็จแล้วมันก็เหมือนกับมันกลายเป็นคาเร็คเตอร์ไป แล้วคนอื่นอยากลองมาเล่นก็เล่นไม่ได้นะ เราชินอยู่คนเดียว อย่างตอนนั้นที่ Michael Schenker มาเล่น เขาก็ไปเที่ยวที่พัทยา ก็ไปแจมกันที่บาร์ของแหลม เขาก็มาเล่นกีต้าร์ของเรา ก็เอาไปเล่นปุ๊ปต้องถอดออกเลย เพราะเล่นไม่ได้ เล่นไม่ถึงเพลง เพราะทัชชิ่งมันเล่นไม่ได้ มันลำบาก แล้วเราเป็นคนตัวเล็ก ก็เลยทำกีต้าร์ตัวนี้มา ให้เหมาะกับรูปร่างด้วย

GT : พอพูดถึงเรื่องกีต้าร์ก็จะมีอีกอย่างครับ คือเรื่องเสื้อผ้า ทรงผมพี่ เพราะยุคนั้นไม่เคยมีใครแต่งอย่างนี้มาก่อน อันนี้พี่คิดออกมายังไงครับ
พี่กิตติ : คือ..มันก็เกิดจากการที่พี่คิดนู้นคิดนี่ แล้วเราก็เป็นคนที่อยู่กับฝรั่งมาตลอด แล้วพี่ก็ถือว่าการเล่นดนตรีเนี่ย มันไม่ใช่แค่เล่นดนตรีนะ มันเป็นการแสดงด้วย ซึ่งมันก็ต้องผสมเรื่องของแฟชั่นเข้าไปด้วย แล้วสมัยก่อนเวลาที่ขึ้นเล่น เวทีเนี่ย ไอ้เวที มันเป็นเวทีจริงๆ บางครั้งไฟมันก็น้อย แล้วเราก็มานั่งคิดว่า จะทำยังไงให้มันเกิดสีสันขึ้น แล้วไอ้ที่ย้อมผมเนี่ย ก็เพราะแต่ก่อนพี่ดู Johnny Winter เวลาเขาเล่น ไฟส่องมา มันได้สีจริงๆ แบบเหลืองก็เหลือง ม่วงก็ม่วงเลย นี่คือจุดประกายให้พี่ทำผมอย่างนี้เลยนะ เวลาทำผมเนี่ย แล้วอยู่บนเวที มันสวยไง เวลามันเจอไฟ แล้วลองคิดดู สมัยก่อนทำสีผมแล้วเดินไปไหนมาไหน มันดูแปลกมากเลยนะ (หัวเราะ)
ใครเขาเจอ เขาก็คิดเลยนะ ว่า เอ๊ะ เราต้องการอะไร ครั้งนึงเคยไปสอนกีต้าร์ให้กับ สุกี้ วงพรู อยู่ครั้งนึง ไปสอนแทนเพื่อน คุณกมลา เขาก็ถามเลยว่า ย้อมผมอย่างนี้ตลอดเลยเหรอ (หัวเราะ) คือเขานึกว่าเราทำผมอย่างนี้เฉพาะตอนอยู่บนเวทีไง

GT : ที่นี้กลับมาเรื่องของอัลบัม หลังจากที่เป็น อัลบั้ม Medley Smoke
พี่กิตติ : อ๋อ !! หลังจากนั้นก็เป็น Rod Stewart

GT : ทั้ง 2 ชุดก็เป็นลักษณะ เมดเล่ย์
พี่กิตติ : แต่ดีมากๆเลยนะ งานเยอะมาก พี่ยังจำภาพตอนที่ไปเล่นที่ยะลา นราธิวาสได้เลยนะ คือเรามีแฟนเพลงที่เป็นคอร็อกเยอะมาก ทางใต้ใครเขาบอกสมัยก่อนน่ากลัว เนี่ยนะ พี่เดินกันแบบสบายเลย แล้วในช่วงนั้นเราก็ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ เป๊ปซี่ด้วย แล้วก็มาออกเป็น King Of Rock n’ Roll ก็ดึงแหลมเข้ามาช่วยเล่น พอช่วงหลังๆก็เริ่มรู้สึกเบื่อกับวงการดนตรี คือพี่รู้สึกเบื่อกับพวกที่ประจบสอพลอ แล้วในวงการนี้มันก็ไม่ค่อยจริงใจอยู่แล้ว ช่วงนั้นพี่ก็จะไปอยู่อเมริกา แล้วที่นี้เล็ก คาราบาวเขาก็มาชวนพี่ว่าอย่าไปเลย อยู่นี้แหละมาทำโปรเจ็คอะไรกันดีกว่า พี่ก็ไปแจมกับคาราบาว ก็แจมกันบ่อยมาก ที่นี้ก็เลยไม่ได้ไป ก็มาทำ อัลบั้ม สายธารใต้ขุนเขา กับคุณ ระย้า พอทำชุดนี้ คุณระย้า เขาก็บอกว่า น่าจะร้องเพลงด้วยนะ เราก็โอ้โห !! ให้เราร้องเพลงนี่มันไม่ใช่เลย มันไม่ร็อกเลย (หัวเราะ) เราก็ร้องแต่มีข้อแม้นะ ว่าผมต้องมีเพลงบรรเลงเลงนึงนะ เขาก็บอกว่า เพลงบรรเลงไม่มีใครฟังหรอก เราก็บอกไปว่าไม่มีใครฟังไม่เป็นไรแต่ผมก็จะทำ พอทำเพลงบรรเลงเสร็จ เขาก็บอกว่า เพลงนี้ น่าจะใสเนื้อร้องนะ เราก็อ้าว !! ถ้าใส่เนื้อร้องมันก็ไม่ใช่เพลงบรรเลงนะซิ (หัวเราะ)

GT : แต่กลับเป็นเพลงที่มีคนฟังและรู้จักเยอะเลย
พี่กิตติ : นั่นนะซิ ขนาดพี่ไปที่ไหน ไปคนเดียวนะ มีแต่คนขอให้เล่น (หัวเราะ) แล้วพออัลบั้มชุดนี้ออกไป
เขาก็โปรโมทเพลงนี้เลย แล้วตอนนั้นเขาก็ทำ มิวสิคให้เราสุดๆเลยนะ จ้างทีมถ่ายหนังเลย ไปถ่ายที่
ดอยอินทนนท์ กล้องก็ถูกวางไว้ 3ตัว เลยนะเรื่องนี้พี่แฮปปี้มากเลยนะ แล้วงานก็ออกมาดูดีมากๆ ในยุคนั้น

GT : แล้วหลังจากชุดนี้ พี่ก็หายไปจากวงการดนตรีเลย
พี่กิตติ : ใช่ !! พี่หายไปเลย เพราะว่า พี่ก็รู้สึกเบื่อ หลังจากที่เลิกเล่นดนตรีก็หันมาเปิดสอนกีต้าร์อยู่ที่บ้านมีนักเรียนอยู่ไม่กี่คนนะ ลงโฆษณาเป็นกรอบเล็กๆ ในวัฎจักร 125 บาทเอง แล้วมีเหตุการณ์นึง คือมีพ่อแม่ของเด็กเขามาจากต่างจังหวัด เขาก็บอกว่า ทำไมต้องมาเรียนกับกิตติด้วย มันเลยทำให้เราฮึดเลยนะ เราก็เลยเดินเรื่องขอ กับกระทรวงให้มันเป็นเรื่องเป็นราวให้ได้ ถ้าเขาไม่รู้จักเราไม่เป็นไร เด็กรู้จัก และให้เขาแฮปปี้กับการที่เรียนจบแล้วได้ใบประกาศณียบัตรด้วย หลังจากนั้นก็มาเปิดบริษัทของตัวเอง ทำอัลบั้มสูงสุดสู่อัศจรรย์ พอเปิดเอง เนี่ย เรื่องยอดเทปเราก็เช็คเองไม่ได้ ก็มีปัญหาอยู่บ้าง ก็เลยเปลี่ยนแผนไปเลย ไปปั้นลูกทุ่ง (หัวเราะ) ปั้นแป๊ปเดียวก็ดังเลย แล้วที่นี้ทางกรุงเวียนนา เขาก็บอกให้พี่กับนักร้องลูกทุ่งไปโชว์ แต่เวลาที่เราปั้นใครเราจะเหนื่อย
มากอย่างเช่นตอนที่ทำเพลงลูกทุ่งเนี่ย พี่ก็จะไปอยู่ตามร้านลูกทุ่งร้านหมอลำ คือเราอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร สุดท้ายพี่ก็เลยเลิก เพราะมันเหนื่อยมาก

GT : ที่นี้ก็เป็นที่แรกเลยก็ว่าได้ที่มีการรองรับ เรื่องสอนดนตรีเน้นแนวร๊อคอย่างนี้
พี่กิตติ : ใช่ๆ !! แล้วกว่าจะได้เรื่องนี้นะ พี่เดินเรื่องเพื่อขออนุมัติหลักสูตรประมาณ 3 ปี คือถ้าสมัยก่อน ถ้าใครจะเรียนแล้วได้ใบประกาศ ก็ต้องไปเรียนที่ Yamaha บางครั้งคนเราก็ต้องมีลูกฮึดนะ เหมือนวันนั้นที่เขามาพูดต่อหน้า เขาพูดอย่างนั้นเลยนะ แต่อย่างว่า เขามาไกล สมัยก่อนคนที่มาเรียน ก็เป็นคนที่มาจากต่างจังหวัดเยอะ เลย มาเรียนก็มาเช่าหออยู่ แล้วพี่สอนคนเดียวเลยนะ บางทีข้าวเย็นกว่าจะได้กินคือดึกเลย แต่ที่นี่เราก็ยังสอนทุกคนแบบตัวต่อตัวเหมือนเดิมนะ ถ้าเรียนหลายคนแล้วมันไม่ได้ผล ครูมักจะไม่ค่อยดูคนที่เล่นไม่ได้

GT : พี่เองก็เป็นคนนึงที่ผันตัวเองมาเป็นศิลปิน แล้วก็มาทำธุรกิจ อยากให้พี่ช่วยให้คำแนะนำกับหลายคน ในเรื่องของตัวอย่างของพี่ ว่าพี่มีแนวทาง แนวคิดอย่างไรกับการบริหารเรื่องต่างๆ
พี่กิตติ : คือพี่ไม่ได้เป็นคนที่คิดไกลมากนะ แต่ขอคิดแค่ว่าทำงานออกมาให้มันดีที่สุด อย่างเวลาทำโรงเรียน เราก็คิดขั้นแรกว่า จะต้องทำยังไงให้เขาได้ในสิ่งที่เขาหวังไว้ก่อน จะเนื่องด้วยการปฎิบัติหรือทฤษฎี ก็ต้องให้เขาได้ แล้วพี่ก็จะสอนนักเรียนทุกคน ขอให้ขยัน แล้วก็จริงใจกับมัน แล้วก็ทุ่มเท แล้วก็จะประสบความสำเร็จ

GT : ช่วงนึงที่วงการร็อกค่อนข้างซบเซา ในขณะที่เราไม่ค่อยได้เจอพี่ หรือพี่แหลม
ช่วงนั้นพี่เองก็ยังเล่นดนตรีกันอยู่
พี่กิตติ : ใช่ แต่เราก็มีการสร้างกิจกรรมของเรานะ คือ ถ้าไม่มีใครจ้างก็ไม่เป็นไร เราก็ทำเอง หลายๆงานถึงแม้ว่าจะเล็กบ้างใหญ่บ้าง ก็ไม่เป็นไร คือเมื่อเราเดินทางเส้นนี้แล้ว เราก็ต้องอยู่กับมัน เราต้องทำมัน คนภายนอกอาจจะไม่ได้เห็นว่าเราทำอะไร

GT : การที่พี่ต้องหันมาทำเองหลายๆอย่าง ก็ต้องมีเรื่องอุปสรรคเข้ามา
พี่กิตติ : ใช่ !! ก็จะมีปัญหาเรื่องของการขอสปอนเซอร์ บางทีก็โอเค บางที่ก็ลำบาก อย่างนึงที่พี่มีไอเดียให้นะ คือ เวลาที่เราจะไปขอสปอนเซอร์ แล้วเราไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า โปรเจ็คของเราจะไม่ทำต่อเนี่ย มันไม่ใช่นะ ขอให้ทำเถอะ ทำมันต่อ ทำเล็กลงมาก็ยังดี ไม่งั้นมันก็จะล้มไปกับสปอนเซอร์เลย หลังๆมาพี่ก็ทำเช่นนี้ มาตลอด เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่ต้องพึ่งกันนะ ถ้าเราจะไปขอเขาแล้วเราไม่มีอะไรให้เขา เขาก็ไม่ให้เราหรอกเพราะฉะนั้นเราน่าจะได้จัดอะไรได้มากกว่าสปอนเซอร์ เพราะเราเป็นคนจัด สปอนเซอร์เป็นคนคัฟเวอร์เท่านั้นเอง

GT : มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการครีเอทล้วนๆ
พี่กิตติ : ใช่ๆ

GT : อย่างงาน Battle Of the Band หรือการที่พี่เชิญ Garry Baden ร่วมแจม อยากให้ช่วยเล่ารายละเอียดของงานนี้หน่อยครับ
พี่กิตติ : คือที่โรงเรียนเราเนี่ย เราไม่ค่อยได้จัดงานกิจกรรมอะไรเลย แล้วลูกสาวพี่เขาก็บอกว่า เราน่าจะจัดงานบ้างนะ ให้มันมีสีสันของโรงเรียน แต่มันก็เหนื่อยพอสมควรเลยนะ (หัวเราะ) เพราะงานมันใหญ่ และมันควรที่จะต้องมีครั้งต่อๆไป ต่อเนื่อง แต่ทีนี้ด้วยความที่เราต้องไปทำอย่างอื่น มันก็เลยต้องหยุดไป ก็หันมาทำเรื่องของ
วีซีดีสอน ก่อนนั้นก็เคยทำ ตั้งแต่สมัยเป็นม้วนวีดีโอ ก็ทำแบบถ่ายเอง ไม่มีการตัดต่อ แต่ก็มีการก็อบปี้กันเยอะ ก็เลยหยุด ตอนหลังก็เริ่มกลับมาทำอีกครั้ง แล้วทาง Tony ที่พัทยา เขาก็เชิญให้พี่ไปเล่น พี่ก็เลยเริ่มกลับมาเล่นจริงจัง

GT : ถ้าอย่างนั้นก็มีช่วงนึงที่พี่ห่างการเล่นกีต้าร์ไปเลย ด้วยความที่ต้องไปทำอย่างอื่น
พี่กิตติ : ใช่ ห่างไปเลย แล้วก็กลับมาเล่นใหม่ อย่างแต่ก่อนพอจะซ้อมเพื่อเล่นงานอะไรแต่ละทีเนี่ย พี่เองเป็นคนที่ชอบอัดวีดีโอ ที่ตัวเองซ้อมหรือเล่น เอาไว้ดู มันก็บอกได้เลยนะ ว่าเรายังกลับมาได้ไม่ดีอย่างที่เคยเป็น มันยังไม่ใช่ แต่ช่วงนี้พี่ก็กลับมาเล่นได้ซักปีกว่าๆ ก็ซ้อมเยอะขึ้น มีเล่นทุกศุกร์ เสาร์ ที่ Tony’s Entertainment
Walking Street พัทยาใต้

GT : แล้วหลักในการซ้อมในอดีตของพี่กับปัจจุบันนี้เป็นยังไงบ้างครับ
พี่กิตติ : อย่างสมัยก่อนเราก็เล่นก็ซ้อมทั้งวันอยู่แล้ว เพราะไม่ได้ทำอะไร ก็ซ้อมแต่เพลงที่เราเล่นๆอยู่ ส่วนปัจจุบัน พี่ก็จะมาฝึกอะไรที่เราไม่ค่อยได้เล่น ฝึกอะไรเช่นให้โทนเสียงมันแปลกๆออกไปดู แต่มันก็ยังนำไปใช้ไม่ได้ เพราะเราติดตรงที่มันเป็นตัวเราอยู่ นอกจากที่เราจะสร้างเพลงใหม่ แล้วเราก็จะเอาไอ้พวกนั้นมาใช้ แต่ถ้าฝึกอย่างเดียวแล้วเราเล่นอิมโพรไวส์เนี่ยะ มันก็จะกลับมาเป็นตัวเราอย่างเดิมอีก

GT : ทุกวันนี้พี่ยังมีการแกะเพลงอยู่บ้างหรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : ไม่ค่อยได้แกะเท่าไหร่นะ แต่ว่า ก็ดูลูกบางลูกที่เราชอบๆหรือโดนๆ

GT : ช่วงนี้ฟังหรือสนใจใครบ้างครับ
พี่กิตติ : ตอนนี้ที่ฟังก็มี Yngwie ,Greg Howe และก็อีกหลายคนที่เป็น กีต้าร์ฮีโร่น่ะ

GT : ก็ยังเป็นพวกรุ่นคลาสสิก
พี่กิตติ : ใช่ อย่างบางทีก็ย้อนกลับไปฟังพวก Joe นะ ช่วงที่เขาฮ็อตๆ พี่ชอบยุคนั้นมากกว่า (หัวเราะ)

GT : พี่มีมือกีต้าร์ในดวงใจ ใครบ้างบางครับ
พี่กิตติ : เยอะเหมือนกันนะ ถ้าเอามือกีต้าร์ที่เป็นแรงบัลดาลใจก็ต้องเป็น The Venture,The Shadow เลย Hank Marvins , ต่อมาก็ Jimi Hendrix พี่จำได้เลยนะ สมัยก่อนที่ซื้อกีต้าร์ เมื่อซัก 30 ปีแล้ว hendrix เขากีต้าร์สีขาวใช่ไหม แล้วต้องเป็น USA นะ ก็ราคาไม่ถึงหมื่น ประมาณ 7-8 พันเอง แต่เดี๋ยวนี้มันขึ้นไป 3-4 เท่าแล้ว ตอนนั้นพี่ก็เอาเลื่อย มาเลื่อยเลย ให้ตัวมันเล็กลง เพราะว่าพี่มือเล็ก ตัวเล็ก ใครเขาก็บ่นว่าเสียดาย แต่เราไม่เสียดายเลยนะ เพราะเราต้องการภาพ ให้มันเข้ากับเรา (หัวเราะ)

GT : อย่างกับการที่พี่เป็นคนตัวเล็ก ในการเล่นกีต้าร์กับลูกบางลูก ที่เล่น พี่ต้องมีการปรับตำแหน่งหรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : มีเลย อย่างเช่นสมัยนี้นะ ก็จะมีเรื่องของ Tap ไอ้คนที่เขาเขียนมามันก็เป็นทางนิ้วของเขา แต่เราก็เป็นคนเล่น เราก็ต้องมานั่งจัด นั่งวางรูปนิ้วของเราด้วย

GT : แล้วเรื่อง แอมป์แล้วก็พวกเครื่องดนตรีที่ใช้ยี่ห้อของพี่เอง ตรงนี้ เริ่มต้นมาได้ยังไงครับ
พี่กิตติ : อ๋อ (หัวเราะ) ก็ตอนนั้นคือ พี่รู้จักกับคุณ สุวิทย์ ที่ทำ Rock Music นะ ก็คุยกัน ตอนนั้นยังไม่มี แอมป์หรือเครื่องดนตรี ยี่ห้อไทยๆเลย ก็คุยกันไปคุยกันมา เขาก็ให้พี่ทำเสียงที่พี่ต้องการ เราก็บอกไปว่าเราต้องการโทนเสียงอย่างนี้ก่อน เขาก็สร้างมาให้ เราก็ลองกันมา ก็เปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ อันแรกที่ทำก็คือ แอมป์หลอดก่อนเลยนะ เป็นลายทหาร เสียงดีมากเลยนะ แต่หมดแล้ว พี่เก็บไว้ตัวเดียวเอง แล้วก็มีตัวอื่นๆตามมา เอฟเฟ็ก ก็มี ดีเลย์ กับ ดิสทรอชั่นช่วงแรกเนี่ยขายราคาสูงหน่อย พอมันผ่านยอดที่ต้องทำได้แล้ว เราหั่นราคาลงครึ่งเลย เพื่อให้หลายคนได้เล่นมัน แล้วเวลาเราไปต่างจังหวัดเนี่ย เจอเยอะเลย เด็กจะใช้อันนี้เยอะ เพราะราคาไม่แพงแล้วก็โอเคเลยนะ แล้วก็มีกีต้าร์โปร่ง กับ กลอง (หัวเราะ)

GT : พี่เองก็เป็นคนนึงที่ ครีเอทอะไรใหม่ๆให้กับวงการดนตรีในบ้านเรา อยู่เสมอ
พี่กิตติ : ถ้าดูในวีซีดีสอน Rock Bottom ของพี่ จะเห็นเลยว่า จะมีแอมป์ตัวใหญ่ๆ ก็คือแอมป์ตัวที่บอกนั้นแหละ พี่เองยังคิดที่จะทำแอมป์ที่มีอกีต้าร์ฝรั่งวง Kaleidoscope เขาเคยสร้างให้พี่สมัยอยู่ที่ตาคลีเลยนะ ตัวใหญ่มากเลยนะ ใหญ่ประมาณ2เท่าของ Marshall แต่ถ้าเราเล่น เราคงไม่มีปัญญายก แน่นอน (หัวเราะ)

GT : แล้วกับการเล่นกับ Gary Barden พี่จะมีโปรเจ็คอะไรในอนาคตหรือเปล่าครับ เหมือนกับงานที่เขามาร่วมแจมกับพี่อย่างที่ผ่านมา
พี่กิตติ : กับ Gary เนี่ย เรารู้จักกันตั้งแต่เขามากับ Michael Schenker เมื่อคอนเสิร์ต 20 ปีที่แล้ว
และปกติ Gary เขาก็จะมาเที่ยวเป็นประจำอยู่แล้ว เขาก็จะมาพักอยู่ที่พัทยา แล้วอย่างตอนงานประกวด
Kitti Guitar Gun Battle Of Bands ครั้งที่ 1 นั้น ก็คุยกับเค้าว่า เราจะจัดงานประกวดดนตรี พอเค้าฟังแล้วก็อยากมาร่วมแจมด้วย ส่วนอีกงานก็ Rock Phenomenal ที่เป็นคอนเสิร์ตที่เล่นด้วยกัน ทัวร์ตามต่างจังหวัดทางภาคใต้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเพิ่มนะ ก็ติดต่อกันเรื่อยๆ

GT : แล้วในเรื่องของเครื่องและ อุปกรณ์หละครับ
พี่กิตติ : ถ้าเป็นคอนเสิร์ต พี่ก็จะใช้ GT-8 แล้วก็กีต้าร์ปืน แล้วก็มีกีต้าร์อีกตัวที่จะใช้คือ Fenandes กำลังฝึกให้เข้ามืออยู่ ไม่อยากจะเลื่อยมัน (หัวเราะ) รุ่นของ Ken วง L’Arc-en-Ciel ทัชชิ่งดีมากเลย เข้ามือมาก แล้วก็ถ้าเป็นกีต้าร์ทั่วๆไปถ้าใส่สายแล้วมันยังแข็งพี่จะมาใช้ 0.8 แต่กับตัวนี้ใส่ 0.9 แล้วมันก็ยังนิ่ม เล่นสบายเลย

GT : แต่ธรรมดาพี่ใช้ 0.8 หรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : ใช่ๆ 0.8 แต่ตอนนี้พี่กำลังจะมาเปลี่ยนใช้ 0.9 แล้วเพราะว่า 0.8กับ Fenandes มันนิ่มเกิน ก็เลยติด 0.9 มาจนใช้กับกีต้าร์ปืนด้วยเลย ส่วนตู้แอมป์พี่ใช้ Johnson มันค่อนข้างที่จะสะดวกในการยกไปไหนมาไหน

GT : แล้วพี่จะมีโครงการที่จะทำอะไรอีกหรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : ตอนนี้ยังนะ แต่คิดๆไว้ มีอยู่แล้ว แต่ต้องขอกลับมาฝึกกีต้าร์ก่อน แล้วพี่คิดว่าพี่เป็นหน้าใหม่เลยนะ จริงๆ เพราะว่าเรากลับมารื้อใหม่ ซ้อมเยอะๆ แล้วเราก็มีจุดมุ่งหมายด้วยนะ เหมือนตอนที่เราเริ่มเล่นกีต้าร์พี่ก็ตั้งเป้าไว้ว่าพี่จะต้องไปเล่นต่างประเทศให้ได้ แต่เราก็ยังมีเรื่องต้องคิดต้องทำอีกเยอะ คิดไว้เยอะมาก แต่ไม่ใช่ว่าคิดเรื่อยเปื่อยนะ แต่มันมีแบบแผน เพราะถ้ามันเป็นนักดนตรีอย่างเดียวเนี่ยะ มันเหมือนการไปแล้วกลับมามันก็จบ เลี้ยงตัวเองก็ไม่ได้มาก เราก็เคยเห็นบางคนนะ ที่เป็นนักดนตรี ที่กินเหล้าเมายาแล้ว ก็ยิ่งแย่ใหญ่ เราต้องทำให้ตัวเองและครอบครัวอยู่รอด รวมถึงคนรอบข้างด้วย

GT : กับงานเพลงชุดใหม่จะมีโอกาสได้ฟังหรือเปล่าครับ
พี่กิตติ : มีนะ แต่มันจะเป็นอย่างนี้ พี่อาจจะไม่ได้ทำขาย พี่อาจจะให้เป็น gift voucher ตอนนี้ก็ทำไปประมาณครึ่งทางแล้ว

GT : สุดท้ายแล้วครับ พี่มีอะไรที่อยากฝากถึงน้องๆที่เล่นกีต้าร์อย่างไรครับ
พี่กิตติ : ก็ขอให้เต็มที่กับมัน เพราะการเล่นดนตรีเนี่ยะ ถ้าเราไม่ฝึกซ้อมมันก็จะไม่เกิดประโยชน์ แล้วถ้าเราเล่นดนตรีแล้วมันมีความสนุก แล้วก็ความสุข ซึ่งในช่วงเวลานั้น เงินก็ซื้อความสุขอย่างนี้ให้กับเราไม่ได้ เราเล่นแล้วเราก็ไม่ได้ก้าวร้าว เราไม่ได้ว่าร้ายใคร เราเล่นมันออกมาจากใจ จากตัวของเรา แล้วที่สำคัญอย่าพยายามทะนงตัวว่าตัวเองเก่ง อย่างไปเที่ยวว่าคนอื่น คนอื่นที่เขาไม่เก่งเขาก็มีอะไรดี การเล่นดนตรีควรดูคนอื่นบ้างว่าเขาเป็นยังไง เขาเล่นยังไง แล้วเป็นมิตรที่ดีกันดีกว่า อย่างสมัยก่อนเวลาที่เราเล่นดนตรีกัน เราก็มักจะเจอหน้ากันบ่อยๆ มันเล่นอยู่เวทีเดียวกัน มันก็กลายเป็นการผูกผันกัน แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เจอกันอย่างนั้น มันควรเจอกันแล้วก็ทักทายกันบ้าง ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่เล่นดนตรีทุกคนแล้วกันครับ


any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket