Main Menu
 Home หน้าแรก
 login / สมาชิก
 BuyerBook
 รายการ TV
  คอร์ด / เนื้อเพลง
  วีดีโอ คลิป
  Webboard
  Classifieds
  ข่าวสารดนตรี
  Review & ทดสอบ
  งานคอนเสิร์ต
  บทความดนตรี
  Cools Links
  Artist Gear
 
  About Us

19613


 Interview :     ปั๋ง ประกาศิต โบสุวรรณ    8/21/2007    Acid Head

สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปคุยกับมือกีต้าร์อารมณ์ดีกับสไตล์เพลงบอสซาโนว่า,แจ็ส กับมุมมองที่แตกต่างอีกมุม  ทั้งยังเป็นศิลปินผู้ที่ทำให้ภาพของเพลงสไตล์เพลงที่เรียกว่าอะคูสติกเกิดขึ้น ซึ่งเรารู้จักเขาเป็นอย่างดีกับการเล่นสไตล์ดูโอที่เรียกชื่อตัวเองว่า สุเมธ & เดอะปั๋ง กับเขาคนนี้ ประกาศิต โบสุวรรณ

GT : พี่เริ่มต้นเล่นกีตาร์ยังไงครับ ?
พี่ปั๋ง :ที่เล่นเพราะว่าเห็นพี่ชายเค้าเล่นก่อนรู้สึกว่ามันเท่ห์ดี ใช้จีบหญิงได้ (หัวเราะ) ตอนนั้นอายุน่าจะประมาณ.... น้อยมากเลยนะ 7-8 ขวบ  ดีดกีตาร์เป็นเนี่ยะ 8 ขวบ คือที่โรงเรียนตอนเรียนเนี่ยะ  ทุกๆต้นปีจะต้องแสดงความสามารถหน้าชั้นเรียน บางคนเค้าก็ร้องเพลง เราเนี่ยะหรูมากเลยเล่นกีตาร์ด้วยร้องเพลงด้วยตอนป.3 เพลงแบบแฟนฉัน วงชาตรีเนี่ยแหละ  และก็เล่นกีตาร์ ก็เล่นมาเรื่อยๆ ไม่รู้โน๊ตก็ถามเค้าเอา ถามคนโน่นคนนี้ จนกระทั่งจากประมาณ 8 ขวบ เลิกเล่น แล้ว 11-12 ขวบ  ไปตีกลอง ถ้าถามว่าทำไมไปตีกลองเพราะว่ามันเริ่มจากเพื่อนๆรุ่นพี่เวลาเค้านั่งกินเหล้ากินอะไรกัน เราก็นั่งดูเค้าชอบแบบว่านั่งตีขาอย่างเนี่ยะ และก็ดู เออ!!  เว้ย!!  ทำอะไรกันวะ ก็ไปถามก็อ๋อ.. ตีกลองอย่างเนี่ยหรอ จนกระทั่งดูแล้วทำตามนะ  ตีขาตามได้ ตีมือได้ แล้วก็เที่ยวไปโม้กับเพื่อน บอกเฮ้ย!! กูตีกลองเป็นแล้วนะเว้ย ทั้งที่ในชีวิตยังไม่เคยเลยยังไม่เคย (หัวเราะ) เพียงแต่ว่าแยกประสาทได้จากมือจากตีขา รุ่นพี่เค้าสอนอะไรอย่างเนี่ย แล้ววันนึงไอ้พวกเพื่อนๆมันจะตั้งวงกัน แล้วแบบเฮ้ย !! เดี๋ยวให้ไอ้ปั๋งตีกลอง เราก็นึกในใจ  เฮ้ย!! ฉิบหายแล้ว(หัวเราะ) กูยังไม่เคยเลยในชีวิต แต่มันไปโม้แล้วไง พี่เป็นคนไปโม้กับมันไว้เอง (หัวเราะ) แล้วก็นัดไปซ้อมที่บ้านเพื่อนคนนึง มันมีเครื่องครบเลย เราไปเช้าตรู่เลย เพราะเราจะไปหัดก่อน (หัวเราะ) แบบไอ้เหี้ยกูยังตีไม่เป็นเลย (หัวเราะ) ก็รู้แต่ว่าทำตามที่เข้าใจเท่านั้นเอง แบบว่าโต๊ะ ตึก โต๊ะ ตึกตึก !! พอไปถึงเช้าปุ๊บก็ไปหาดูก็แบบว่ายังไม่รู้เลย ว่าเฮ้ยตรงนี้แม่งเหยียบอะไรอย่างไง ก็ต้องไปนั่งปล้ำอยู่เอาเองนะ ก็จนได้ จนพอสายๆ เพื่อนมากัน แล้วก็ซ้อมไปก็มั่วๆไปตามสภาพนั้นนะ ก็คือครั้งแรกที่ตีกลองและก็ตีมาตลอดมีวง ก็มีวงตอนประมาณป.5 ป.6 แล้วก็เล่นมาเรื่อยๆเลย

GT : แล้วกลับมาเล่นกีตาร์อีกทีได้ยังไงครับ  ?
พี่ปั๋ง: กลับมาเล่นกีตาร์อีกทีตอนประมาณสักอายุ อืม..16-17 เริ่มรู้สึกว่าตัวเองตีกลองลำบาก แม่ง!! จีบหญิงยากเหลือเกิน ไปไหนก็ไม่มีกลอง (หัวเราะ) คั้นจะไปจีบเคาะโต๊ะเค้าก็หนวกหู(หัวเราะ) ก็ไม่ต้องทำดีกว่า กลับมาเล่นกีตาร์เหมือเดิม ก็เล่นไปตามประสา  คราวนี้ความรู้จะได้มากตอนไหน ตอนเล่นกีตาร์ อย่างแรกเลยคือว่าจากไอ้นี่ก่อน จากวงเหล้า!! ได้จากวงเหล้า   เพราะว่าอย่างหนึ่งเลยที่ผมจะสอนๆทุกคนอยู่เสมอเลย  แบบไม่ต้องอะไรมากหรอกคือ “อย่างแรกก็คือหาคีย์ให้เจอก่อน หาคีย์แล้วเล่นให้ได้ “ พอได้ตรงนี้ปุ๊บ ลองซิ เพลงอะไรก็ได้  หรือเพลงที่เล่นได้อยู่แล้วเนี่ยอย่างคล่องแคล่วเลย ต้องเล่นคีย์อะไรก็ได้ อย่างน้อยมันจะสอนอะไรเราหลายๆอย่าง อย่างแรกคือโพสิชั่นของคอร์ดที่อยู่บนเนี่ยะ เอาแค่นี้ให้ได้มันก็จะเก่งในระดับนึงแล้ว  หมายถึงอย่างคล่องแคล่วนะ

GT : อันนี้เริ่มแรกที่พี่ใช้วิธีนี้เริ่มหัด ?
พี่ปั๋ง :อืม!!   ก็เริ่มแรกจากวงเหล้าก่อนก็หาคีย์ไง ก็ร้องมาซิ พอเราคลำๆได้อา..เจอแล้ว

GT : คือจะคิดต่างไปจากคนอื่นเลยนะพี่ ?
พี่ปั๋ง :เออ!!  แล้วมันก็จะมีวิธี จะเป็นพวกคู่ 5 คู่ 4  1,4  หรือ1,5 เนี่ย จะเป็นเสียงที่มันจะอยู่ คนถ้าเกิดร้องเพลงแล้วมันจะเพี้ยน ถามว่า ขึ้นคอร์ด 5 อย่างเนี่ยะแล้วร้อง  บางที ถ้าไม่ตรงเป็นหนึ่ง มันก็จะนับไปเป็นสี่ หรือไปเป็นห้าสังเกตได้ อืม จะคลำเจอ แล้วก็จะเกิดความชำนาญบางส่วนจากตรงเนี่ยะ เราจะเดาได้ ก็เล่นมั่วๆไปกับวงเหล้า จนกระทั่งไปเจอคนนู้นเจอคนนี้คนนั้น เค้าก็จะบอกว่าเฮ้ย ไอ้นั้นก็เล่นกีตาร์เก่ง ไอ้นี่ก็เล่นกีตาร์เก่ง ก็ลองมาเล่นด้วยกัน ก็จะเจอ  เราก็จะเห็นคนอื่นแล้วว่า อ๋อ..เนี่ยหรอไอ้นี่เล่นเก่งแบบนี้หรอแล้วก็จำ คนไหนเล่นอะไรเก่งเราก็เก็บแล้วก็จำ ก็จำมาตลอดส่วนมากจะเป็นรุ่นพี่ๆทั้งนั้นเลย

GT : ทำแบบครูพักลักจำ ?
พี่ปั๋ง: ถูกเลย จนกระทั่ง… อ๋อใช่อีกอย่างนึงคือว่าเราเป็นคนเล่น คือเล่นเพลงอะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็นแบบที่เราอยากเล่น ถ้าย้อนกลับไปคิดให้ดีนี่นะ อันนี้ข้ามก่อนนะข้ามช่วงเวลาแป๊ปนึง  ถ้าคิดกันให้ดีเมื่อก่อนเนี่ยะสมัยก่อนมันไม่มี คนชาวบ้านไม่ทีใครรู้จักคำว่าอะคูสติก  สุเมธ&ปั๋งเนี่ยะเป็นอันแรกเลย คอนเซ็ปต์คือไอ้พวกนั้นเนี่ยไม่มีแบบ ไม่มีเหี้ยอะไรเลย  ก็คือกูอยากเล่นเพลงอะไรก็ได้ แต่แบบเล่นแบบของกูอะเท่านั้นเอง เพราะสมัยก่อนถ้าเล่นกีตาร์ 2 ตัว นั่งคุยกันอย่างนี้มันคือโฟล์คซองค์ แล้วก็โฟล์คซองค์เล่นเพลงอะไรเล่นเพลงคันทรี ไม่คันทรีก็พวกเพื่อชีวิต มีแค่เนี่ย!! แต่วันนั้นที่เราทำงานครั้งแรก เราไปทำจริงๆพี่คนแรกที่เล่นกีตาร์กับพี่ 2 คนเนี่ยคือรุ่นพี่คนนึงนะ ไม่ใช่สุเมธนะ เออ…ชื่อน้าอ้วนคนนึง นั้นแหละพี่ก็เล่นกีตาร์ตัวนึงอยู่ในนั้น กีต้าร์ทำเองด้วยนะ จริงๆมันมาจากกีตาร์ธรรมดาของยามาฮ่านะ และก็ไปหาปิคอัพที่มันไว้ติดเปียโน ติดไวโอลิน มาติดเองแล้วก็เจาะรูทำเอง โอ้ยหาตังค์ได้หลายแสนเลยกีตาร์ตัวเนี่ยขอบอก  แล้วจากที่เราเริ่มเล่นกีตาร์ เริ่มเรียนรู้จากวงเหล้าแล้ว เราก็ได้มาเจอรุ่นพี่หลายๆคนจนกระทั่ง คนนึงที่เล่นดนตรีด้วยกันก็คือคนที่พูดถึงเนี่ย ว่าเป็นนักดนตรีครั้งแรกในชีวิตเนี่ยเล่นเป็นอาชีพครั้งแรกชีวิตไม่นับในโรงเรียนนะ เออ..โอโหถ้าเล่นดนตรีแล้วได้ตังค์ครั้งแรกในชีวิตนั้นคืออายุน้อยมากก็วงนี้แหละวงที่โรงเรียนนั้นแหละ ก็ไปเล่นงานของบริษัทพ่อเพื่อนอะไรอย่างเนี่ย 2-3 ครั้ง

GT : ตอนนั้นเล่นอะคูสติกเหรอครับ ?
พี่ปั๋ง :ไม่ใช่ ตอนนั้นยังตีกลอง แต่พอมาเป็นมาเล่นอะคูสติกกับพี่คนนึงชื่อน้าอ้วน ตอนนั้นอายุประมาณ 18 -19 มั้ง เล่นอยู่ร้านแถวพหลโยธิน 11 จะมีคอกเทลเล้าจ์ ที่นึงชื่อสเปค พับค์ หรือบาร์อะไรเนี่ย ก็ไปเล่นอยู่นั้น 2 คน แต่เดิมทีเขาจะเล่นกีตาร์โปร่ง 12 สาย แล้วเราเล่นสายเอ็นก็เล่นกันไป ก็คือคอนเซ็ปต์ก็อย่างนี้เลยก็คือเล่นเพลงที่เราอยากเล่น และก็เอามาเรียบเรียงเป็นแบบที่เราอยากทำ

GT : แล้วเล่นทุกวันหรือเปล่าครับ ?
พี่ปั๋ง :ไม่ทุกวัน เล่นอาทิตย์ละประมาณ 2-3 วัน อะไรอย่างนี้ และก็พอเล่นๆไปก็เออ บางคนมันก็จะรู้สึกแปลกไงตอนนั้นมันไม่มี อะไรวะมึงมาเล่นเพลงอะไรแล้วมึงมาเล่นโฟล์คซองค์หรือมึงมาเล่นเพลงอะไรก็ไม่รู้ แต่คนก็ฟังกันเพราะมันแปลกดี

GT : แล้วตอนนั้นพี่เอาเพลงของอะไรมาเล่นครับ ?
พี่ปั๋ง: สมัยนั้นเหรอ มีหมดเลย Micheal Frank  มีอะไรก็เล่นไปหมด อยากเล่นอะไรก็เล่น แต้ถ้าจะเอาเส้นทางเริ่มฟังแจ๊สเนี่ยตั้งแต่อายุ คือมันเข้าหูมาตั้งแต่เด็กๆแล้วหละจากพี่ชายบ้างจากใครบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีปัญญาเล่น พอสมมติไปแกะมาอย่างเนี่ยเจอไอ้แบบ อืม.....  อะไรยากๆ พอดีกว่า(หัวเราะ) เออไม่เอาแล้วเพราะมันไม่ได้ จนกระทั่งแบบว่าไปเล่นเป็นอาชีพกับน้าอ้วนคนเนี่ย ตอนแรกเลยเค้าเล่นกีตาร์โปร่ง 12 สาย ไปๆมาๆเค้าไปซื้อกีตาร์มาตัวหนึ่งมันเป็นยี่ห้อ yahana แต่ว่าเป็นแบบดิจิตอล เอ๊ะ !! casio หรือ yamaha


GT :
 Casio หรือเปล่าครับพี่  ?
พี่ปั๋ง: เออๆ !! Casio (หัวเราะ) โอโห!!  มีกลองอยู่ข้างในด้วย นานแล้ว แล้วใครเห็นก็จะตื่นเต้นกับมันมากไง เพราะสมัยนั้นนะ แล้วเราก็มาเล่นกับเค้าแหละ ส่วนมากเสียงที่เค้าเล่น pad เปียโน แล้วเราก็เล่นไอ้นี่ไป แล้วก็มีกลองด้วย ยังมีเล่นเพลงนี้เลยจำได้เดี๋ยวก่อนนะ อืม ..Wishful Thinking มั้ง ไอ้เพลงดังของเค้านะ หวานๆ ป๊อบๆหน่อยนะ จำได้เล่นเพลงเนี่ย แล้วก็เล่น Micheal Frank อีกตั้งหลายเพลง  เล่น 2 คนเลย สมัยนั้นนะ   เพราะมันก็มีความแปลกของมันแล้วไง แล้วก็เล่นกับพี่คนนี้มาเรื่อยหลายร้านเลย มีงานเยอะมาก เสียงเค้าจะเหมือน Micheal Frank    สมัยนั้นผมร้องเพลงด้วยนะ ร้องบ้าง เพราะผมสงสารเขาร้องอยู่คนเดียว แล้วเขาไม่ขยันเหมือนสุเมธ (หัวเราะ) สุเมธมันบ้าพลัง มันร้องได้ทั้งคืน พี่คนนั้นเค้าแบบร้องไม่ได้เราก็ต้องร้อง  ทั้งที่เราไม่ชอบร้องนะ ผมไม่ชอบร้องเพลงนะ

GT : พี่เล่นโซโล่เป็นหลัก ?
พี่ปั๋ง :เออ เป็นหลัก เล่นทั้งหมดแหละ แม่งเล่นมั่วไปหมดเลย บอกได้เลยว่ามั่ว (หัวเราะ) เสร็จแล้วก็เล่นกับคนนี้มานาน..มาก มีงานเยอะฉิบหายเลย จนกระทั่งก็มาเล่นวงใหญ่ ก็ยังมีพี่คนนี้เป็นนักร้องไม่ได้เล่นกีตาร์แล้ว และก็มีมือเปียโนคนหนึ่งชื่อตุ้ย นี่ก็เก่งแต่ว่ารวย ทุกวันนี้ก็เลยไม่ได้เล่นเป็นอาชีพ มือเบสคือโดม มือกลองคือโต้ ริโต้ ที่เล่นอยู่ brown sugar นั้นแหละคือยุคแรกของเราที่เล่นวงนะ 4 ชิ้น

GT : ได้แรงบันดาลใจจากไหนครับ ?
พี่ปั๋ง :แรงบันดาลใจที่ทำให้เป็นอย่างนี้เหรอ  ครั้งแรกเลยที่เห็น เราเล่นอยู่กันเนี่ยะวงเนี่ย ก็เล่นเพลงก็มีนิดๆหน่อยๆเป็นพวกแบบ standard ทั่วไป บอสซ่าง่ายๆ อะไรพวกเนี่ยะก็เล่นไป วันหนึ่งร้านเนี่ย ชื่อร้านช้างแดง เป็นร้านดีมากเลยนะแต่มันอยู่ได้แป๊บเดียว อยู่แถวสุรวงศ์ โครตเท่ห์เลย  วงผมเนี่ยะอย่าเพิ่งเรียกว่าเล่นแจ็สเลย ก็มั่วๆไปนั่นแหละ เสร็จแล้วไอ้โต้ตีกลองครั้งแรกในชีวิตกับวง  ก็วงผมนี่แหละ วันหนึ่งก็มีวงรุ่นใหญ่เข้ามาออดิชั่นที่ร้านคือใครรู้ไหม มีป๋าเจต อาจารย์สมเจต พี่ดุง วงเค้านะตอนนั้นพี่ดุงยังเล่นเปียโนอยู่เลยนะยังไม่ได้เล่นกีตาร์ พี่ดุงเล่นเปียโน ป๋าเจตเล่นกีตาร์ กีตาร์มี 2 คน อีกคนคือพ่อไอ้โต้ ป๋าแมนนิ่ง โห!!  เก๋าสัตว์เลย มือเบสชื่อพี่ต๋อย ไม่รู้พวกคุณรู้จักหรือเปล่า คนนี้เป็นคนไทยคนนึงที่สุดตีนคนนึงนะผมขอใช้คำนี้เลยนะ เก่งมาก เก่งฉิบหายเลย เออ !!ตอนนั้นเค้าเล่นดับเบิลเบส แล้วมือกลองชื่อพี่อู๊ด ออมสิน ครั้งแรกที่เราเห็นวงเค้าเล่นแล้วแบบ โอ้โห!! แล้วอึ้งเป็นแถวเลย แล้วไอ้เหี้ยทำไงดีวะ(หัวเราะ) เราเล่นอยู่แล้วที่ร้านเนี่ย จะทำไงดีวะจะเล่นต่อหรือออกไป ทำไงกันดีวะ นั่นแหละจากวันนั้นนะแม่งเริ่มเป็นแบบจุดประกาย ในขณะที่มือเปียโนของผมวงนั้นเนี่ยชื่อตุ้ยเนี่ยเค้าเป็นอยู่แล้ว เค้าเป็นมือคนแจ๊สอยู่ประมาณหนึ่งแล้ว ส่วนไอ้โดมนี่มันเก่งเรื่องเบสอยู่แล้ว ถึงมันไม่แจ๊สจ๋าแต่วันนั้นมันเรียนรู้เร็วกว่าผมเยอะ ก็นั้นแหละไอ้โต้แม่งก็ได้เชื้อฟิลิปปินส์ ก็จากวันนั้นมาก็ค่อยๆ วงผมก็ดีขึ้น จนกระทั่งร้านมันปิดไป ตอนนั้นใช้กีตาร์ Ibanez รุ่น George Benson

GT : แล้วคือพี่ต้องมาเริ่มซ้อมและเรียนรู้พวกแจ๊สอะไรอย่างนี้ ?
พี่ปั๋ง: อืม!! ยากฉิบหายเลย

GT : พี่ทำยังไงครับคือพี่ต้องไปเรียนหรือเปล่าครับ ?
พี่ปั๋ง :ไม่เลย แต่มีเรียนนิดนึง เรียนกับพ่อไอ้โต้นี่แหละ เรียน 2 อย่างเลย เรียนภาษาอังกฤษด้วย (หัวเราะ) ได้เรียนภาษาอังกฤษด้วย และก็ได้เรียนกีตาร์ด้วย เขาก็ไม่ค่อยสอนอะไรมากนะ เขาสอนให้คิดมากกว่า สไตล์สอนให้คิด  เออนั้นแหละ ช่วงนั้นถึงค่อยมารู้โน๊ต มาทำความเข้าใจทีหลัง นั้นคือตอนนั้นอายุประมาณ 21-22 มั้ง

GT : แล้วคือพี่ซ้อมยังไงครับ ?
พี่ปั๋ง :คือมันไม่ได้ซ้อม มันเล่นอยู่ทุกวัน แกะเพลงนี่เรื่อยเลย คือต้องมานั่งคิดลูกโซโล่ด้วยเพราะเล่นแจ๊ส ก็มาดูคอร์ดก็เล่น ต้องทำการบ้านเพราะไม่งั้นก็สุย พอสุยก็ฟังห่วยแตก เหมือนที่ได้ยินทุกวันนี้ (หัวเราะ) เชื่อผมเลยเถอะว่าห่วยจริงๆ นั้นแหละมันก็เริ่มมาจากตรงนั้น แล้วอยู่ดีๆมันก็หยุดเล่นไปเพราะว่าร้านเค้าปิด รื้อทำตึกทำอะไรซักอย่าง แต่ก่อนหน้านี้ก็เล่นมาเยอะนะ 19 –23 ปี โอโหผมจำได้แม่งได้ตังค์เยอะมาก แล้วเราเป็นคนบุกเบิกเลยนะดนตรีแบบนี้ก็ไม่เคยเล่นใช่ไหม บอกเฮ้ยเล่นเลยแปลกดี เอ้านั้นจ้างเรียกตังค์แพงๆตั้งแต่วันนั้นเลยนะ เพราะผมเคยได้ยินมาตลอดนักดนตรีแม่งเหี้ย เต้นกินรำกินมันกระจอก แต่วันนั้นเราก็รู้สึกว่าคนที่เค้ามองเราเค้าไม่ได้มองเรากระจอกนี่หว่า เค้ามองเราดูดีนี่หว่า ตั้งแต่ตอนนั้นมาผมบอกตรงๆผมเป็นคนค่อนข้างไม่ได้เว้ยนักดนตรีเว้ย ต้องได้ตังค์เยอะเว้ย เพราะว่ามันเป็นวิชาชีพ วิชาเฉพาะ ไม่ใช่ว่าทำได้ทุกคน จากนั้นมาก็หยุดเล่นไปซักพักหนึ่ง ผมเลิกเล่นประมาณ 23-24 กลับมาเล่นอีกทีก็ตอนเจอสุเมธนั่นแหละ

GT :  เจอกันยังไงครับ
พี่ปั๋ง :เจอกันในแกรมมี่ ไม่เกี่ยวเลย  คือพอเลิกเล่นดนตรีผมก็ไปทำอะไรของผม ทำงานของผม ทำอะไรของผม ก็เรียนจบพอดีและก็เริ่มไปทำงานประจำทำงานโรงแรมซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวกันที่เรียนมาเลย  และไม่ได้เกี่ยวกับดนตรีด้วย งานแรกเลยทำคือ Front Offic ทำงานโรงแรมอยู่สัก 3-4 ปี  ก็มีเพื่อนคนหนึ่งคือน้าอ้วนเนี่ยแหละ คนที่เคยร้องเพลงเล่นดนตรีด้วยกันตั้งนานแล้วหละเค้าไปทำงานที่แกรมมี่ แล้วมันก็ชวนทุกวันเลย เฮ้ย!!เดี๋ยวไปทำที่แกรมมี่ เราก็บอกว่าไม่ไป  ไม่ไป  บอกตรงๆนะวันนั้นเราฟังเพลงไทยเลย แล้วเราเอาแบบพูดตรงๆเลยนะครับแบบไม่โกหก   และดูถูกนิดๆด้วยซ้ำ ซึ่งไม่ดีนะมันไม่ถูกเลย ฟังเพลงไทยนะสมัยนั้นจะฟัง The Impossible , ชรัส เลือกเลย  เลือกมากเลย 

GT : เหมือนเลือกฟังแบบคุณภาพจริงๆ ?
พี่ปั๋ง :(หัวเราะ) อย่าไปพูดอย่างนั้น คือวันนี้มันก็คุณภาพทั้งหมด พูดจริงๆนะ ไม่ได้ยาหอม  คือมันแคบ  โลกมันแคบวันนั้นจริงๆบอกตรงๆมันแคบ อัสนี-วสันต์เนี่ยไม่นะ คือที่ฟังเนี่ยเพราะมันทิ่มมาอยู่ทุกวัน คือไปที่ไหนใครก็ชอบ  ไม่ใช่ว่ากูเล่นไม่ได้ กูก็เล่นได้นะ ขอมา  กูก็เล่นซะ  แล้วก็จนกระทั่งเพื่อนคนเนี่ยมาชวนทุกวัน ก็ต้องไปทำงานในแกรมมี่ ก็ไป ไปในฐานะทำมาร์เก็ตติ้งนะ ผมมาจากโรงแรมแล้วเพื่อนคนเนี่ย  น้าอ้วนเนี่ยเค้าไปอยู่ในแกรมมี่เค้าก็ทำมาร์เก็ตติ้งเหมือนกัน แต่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับดนตรีอะไรพวกเนี้ยในแกรมมี่ อัลบั้มพิเศษๆ สมัยนั้นคืออะไร  ก็คือคาราโอเกะ!!  เพิ่งเข้ามาในเมืองไทยใหม่ๆ แม่งมันก็มีเรื่องเฉพาะบางอย่างใช่ไหม อย่างเช่นว่ามันยังงงๆอยู่นะวันนั้น, คาราโอเกะทำไง  ,มาสเตอร์มาทำไง ทำยังไงจะแยกออกได้ ระหว่างเสียงร้องกับเพลง ก็เข้าไปทำ ก็ดีเลย  ณ วันที่เข้าไปก็คุยกับนายคนหนึ่งซึ่งทุกวันนี้ผมนับถือ  และก็ยังนับถือว่าเป็นมายด์บอสตลอดกาลเลยนะเค้าชื่อพี่อ๊อด กิตติศักดิ์ ช่วงอรุณ  เราก็เข้าไปคุยซึ่งเค้าก็ไม่รู้ว่าเราเป็นนักดนตรีมาเล่นอาชีพ เค้าก็แค่รู้ว่าอ๋อมาทำมาร์เก็ตติ้ง ก็คุยกัน มึงฉลาด จะทำอะไรได้บ้าง  เราก็โอเคทำได้ก็ทำ แล้วผมก็ปิ๊งเค้าตั้งแต่วัน
นั้นเลยแหละผมก็เออคนนี้ฉลาดดีหวะ หัวหน้าผมคนเนี่ยฉลาดดีเราชอบวะก็เลยไป ตอนแรกเฉยๆเลยนะ เพราะทำงานโรงแรมผมก็มันส์ ก็เพลินของผมอยู่แล้วสบายๆ ก็ไปทำก็ดีเลย โอโห!! ได้โปรโมทภายในปีแรกนี่เยอะเลยนะ คือดีเลยแหละถูกอกถูกใจ อากู๋นี่แหละ พาไปปีกาซัสพาไปรับน้องเนี่ยแหละจำได้ (หัวเราะ) เหมือนสิบกว่าปีที่แล้ว อู้หูสิบกว่าปี  กว่ามาก ประมาณ 15-16 ปี แล้วก็ทำงานแกรมมี่เรื่อยมา แล้วไปเจอสุเมธในนั้น สุเมธมาทำอาร์ตไดเรคเตอร์ เค้าก็ดีไซด์ปกเทป ทำสปอตวิทยุ ดูแลเรื่องอาร์ตทั้งหมดของแต่ละอัลบั้ม แล้วก็มาเจอกัน ก็ทำงานมีเกี่ยวข้องกันด้วยนะทำงานด้วยกันบางอย่างคือเราต้องสั่งให้มันทำคล้ายๆอย่างนั้น อืม..อย่ารียกว่าสั่งเลย เรียกว่าต้องร่วมงานกัน เราบรีฟงานให้มันทำ แล้ววันนึงก็เราได้ยินเสียงกีตาร์  ใครวะแม่งเล่นกีตาร์อยู่ข้างล่างที่ออฟฟิศนะดึกแล้วประมาณสัก 2-3 ทุ่ม ก็เอ้าสุเมธนี่หว่าร้องเพลงด้วย ร้องเพราะด้วยเสียงกีตาร์ด้วย โห!!แม่งร้ายโว้ย เราก็ลงไปดูแม่งร้ายนี่หว่าเล่นได้อย่างนี้เลยเหรอ ก็คุยกัน แล้วเราก็โชว์กูบ้างว่ากูก็เล่นได้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นยังไม่ได้เรียกว่ากู ยังเรียกพี่อยู่  แล้วก็เริ่มสนิทแล้วคอเดียวกันแล้ว ก็รู้จักกันไปจนกระทั่งชวนกันไปเล่นดนตรีกลางคืน เพราะตอนนั้นมันอยากเล่นแล้วไงมันไม่ได้เล่นตั้งนานไง เฮ้ย! เอาเปล่า มึงเล่นเปล่า เล่นดนตรีกลางคืนมันส์นะโว้ย เล่นเฉพาะศุกร์-เสาร์อย่างนี้ก็ได้ แต่ไม่ได้เล่นสองคนนะ สุเมธไม่ได้เล่นกีตาร์ด้วยนะ สุเมธร้องกับเชคเกอร์ มีมือกีตาร์คนแรก  เราเรียกว่าวงสุเมธ-ปั๋ง ซึ่แบบเนี้ย ที่ยังไม่ออกเทปนะมีอยู่ 3 ยุค ยุคแรกมือกีตาร์ที่มาเล่นกับผม มือกีตาร์ก็คือลูกชายอาจารย์ป๊อก ซึ่งได้ดีไปแล้วเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่โตไปแล้วในแกรมมี่ตอนนี้ นี่คือยุคแรกนะ ก็ตอนนั้นก็ไปเล่นกันเนี่ย 3 คน อันนี้เริ่มเล่นเอาเพลงพวกบอสซ่าสแตนด์ดาดมาร้องแล้วเยอะขึ้นเยอะขึ้น แล้วสุเมธก็ร้อง เราต่างคนต่างสุย ก็มั่วกัน เสร็จแล้วก็เล่นเรื่อยเปื่อยอันนี้ยิ่งชัดใหญ่เลยภาพยิ่งชัดใหญ่เลยคือว่า ไม่มีเลยไอ้เพลงโฟล์คซองไม่มีเลย แล้วการเรียบเรียงเพลงที่เราเล่นนี่ไม่เหมือนเดิมเลยเกือบทุกเพลง เรารู้สึกว่ามันเพลงส่วนมากที่เราเอามาเล่นมันไม่ได้เป็นเพลงกีตาร์ 2 ตัวอยู่แล้ว มันเป็นเพลงวง แต่เราต้องมาเล่นของเราแบบมั่ว (หัวเราะ)

GT :  ตอนนั้นพี่เอาเพลงไทยมาเล่นด้วยเหรอครับ ?
พี่ปั๋ง :เล่นหมด มีเพลงฝรั่งด้วยไทยด้วยมีหมด นั้นแหละกำเนิดพาลล่อเนื้ออยู่ตอนตรงนั้นแหละ

GT :  พี่ก็เอาเพลงมาแปลงเป็นบอสซ่า ?
พี่ปั๋ง :เออ!!  อย่างที่อยากเล่นหนะ อย่างที่ชอบที่ชอบ ก็เล่นกันไป

GT : รวมถึงเพลงตลาดด้วยหรือเปล่าครับ ?
พี่ปั๋ง :ไม่เอา ตอนนั้นก็ไม่เอาเลย เลี่ยงทั้งคู่เลย(หัวเราะ) ยกเว้นคนขอ แต่ก็ไม่ค่อยนะ แล้วก็เล่นมาเรื่อยเลยจนกระทั่งแม่งบอกได้เลยว่าแบบโห!! ต้องจอง  ร้านที่เราเล่นนะ ต้องจองวันที่เราเล่นแต่ตอนนั้นยังไม่มีชื่อวง ถามว่าชื่อวงอะไรก็ไม่รู้ตอนนั้นมีหนวดก็เรียกไอ้หนวด วงที่คนมีหนวด

GT :  คือต้องจองโต๊ะเพื่อมาดู  ?
พี่ปั๋ง :อืม ...มาดูที่ร้านคนแม่งเต็มเลย มันคือชื่อร้านTime Bottle  ร้านนี้เป็นตำนานของศิลปินหลายคนเลยนะ เค้าเกิดกันที่นี่หลายคนเลยนะ ผมน่าจะเป็นเบอร์แรกที่มีคนรู้จัก ไอ้พวกนี้ก็ใช่นะลำดวนก็ใช่นะ อุ๊ หฤทัยก็ใช่นะ เดี๋ยวนี้ร้านไม่มีแล้วอยู่ตรงข้ามช่อง 5 สนามเป้า แล้วยุคแรกก็เป็นลูกอาจารย์ป๊อกเนี่ยมาเล่นด้วย วันดีคืนดีอาจารย์ป๊อกก็เอาแซ็กมาเป่าด้วย ลูกอาจารย์ ตอนนี้ก็เจริญรุ่งเรืองเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่อยู่ในแกรมมี่โกลด์ ยุคต่อมาก็ยังเล่นต่อไปเพราะเนื่องจากว่าคนแม่งเยอะมากที่ร้าน แล้วงานนอกก็เต็มเลย ยุคต่อมาก็จะเป็นคนที่มาเล่นต่อแทนไอ้แซ็ค ที่ไปเรียนต่อเมืองนอก ชื่อหนุ่มคือชัชวาล คือโปรดิวเซอร์ของหอยเนี่ยที่ Luck Music ไอ้ชุดที่ดังๆ ทุกวันนี้ก็ร่ำรวยไปแล้ว ก็มันเป็นโปรดิวเซอร์ในแกรมมี่มาตั้งนานแล้วจนกระทั่งออกมาทำที่ Luck  โอเคยุคที่3 พอไอ้หนุ่มเลิกเล่น มันจะแต่งงาน  เมียไม่ให้เล่นดึกๆ ยุคที่ 3 เป็นใครรู้ไหม!! อาจารย์วุท วุทธิชัย ที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ศิลปากร เก่งนะเว้ย!! ทุกคนได้ดีหมดเลยที่มาเล่นกับสุเมธ-ปั๋งตรงนี้ (หัวเราะ)

GT :  มาออกเทปได้อย่างไรครับ?
พี่ปั๋ง :จำได้ว่ามีอยู่วันนึงก็มีนักแต่งเพลงชื่อคุณปิติ ลิ้มเจริญ ก็มาเที่ยวที่ร้าน ไอ้ด้วยความแปลกของดนตรีที่เราเล่นเนี่ย มันก็แปลกมันก็ชอบ บางทีเราก็เอาเพลงไทยเก่าๆมาเล่นเป็นบอสซ่าสวิง มันก็ชอบ สนุกมัน มันก็มาแจมขอร้องด้วยอะไรอย่างเนี่ยะ แล้วเขาก็ถาม เฮ้ย!! ไปเรียนเมืองนอกมากี่ปี อืม..ไอ้เหี้ยเรียนดนตรีอย่างเดียวยังไม่เคยเรียนเลย (หัวเราะ)  ก็มาป็นเพื่อนกัน ณ วันนั้นเราก็ยังไม่รู้ว่ามันเป็นนักแต่งเพลงเราก็ไม่รู้หรอก จนเฮฮาคบกันสนุกสนานไป มันบอกว่าเฮ้ยทำไมไม่ออกเทป   กูจะออกได้ไงวะบอกแล้ว ก็คุยขำๆไป คุยสนิทเลย  วันนึงแม่งก็กลับมาพร้อมกับเดโมเพลงแจกัน กับนกกระเต็น บอกเฮ้ยลองฟังดิ มันอายุเท่าเรานะ พอฟังเฮ้ย!!  แม่งเพราะดีวะแล้วดีด้วย เนื้อนี่ใช่เลย แจกันใช่เลย ก็บอกว่าเฮ้ยมึงก็เอาไปออกเทปดิ  มึงเป็นนักแต่งเพลงเหรอมึงแต่งเพลงดีมากเลยนะ คือก่อนหน้านั้นผมก็ทำเพลงไว้อยู่แล้วนะ ทำเฉยๆ ทำคือไม่ได้ใช่อะไรคิดเลย คือทำก็เพื่อว่าแบบให้เพื่อนฟัง ไว้ยืดหญิง ไว้ให้สาวๆฟังขำๆ(หัวเราะ)

GT : แล้วได้เอามาใช่บ้างหรือยังครับ?
พี่ปั๋ง :ยังไม่ได้เอามาใช่เลย ยังเก็บอยู่เลย โอเค !! แล้วก็พอหลังจากวันนั้นไป ผมก็ไปทำเพลง  เอาเพลงไปทำที่บ้านเพื่อน ก็ทำง่ายๆกับโปรแกรมแล้วเราก็เล่นกีตาร์เข้าไป ก็เล่นเบสเข้าไป แล้วก็เรียกไอ้เมธมาร้อง ก็บอกตรงๆนะก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรก็เหมือนเดิมเอาไว้ให้หญิงฟัง(หัวเราะ) เอาไว้ให้สาวๆฟังนะ ทำเสร็จก็ไม่มีอะไรทำ 3 เพลงตอนนั้นมี แจกันกับนกกระเต็น แล้วก็มีเพลงนึงที่สุเมธแต่งชื่อเพลงลม

GT :  แต่ช่วงนั้นก็คือยังทำงานกลางวันอยู่ ?
พี่ปั๋ง :กลางวันทำงานที่แกรมมี่ ทำมาร์เก็ตติ้งนั้นแหละ ไอ้เมธก็เป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์นั้นแหละ ก็เนี่ยไอ้เมธเสือกเอาไปให้รุ่นพี่ที่ Tero คนนึงฟัง เค้าฟังก็ว่าเฮ้ย!!  ดีนี่หว่า มาออกเทปกันเลย มาเลยเมธมาออกเทปกับกูเลยอะไรอย่างเนี่ย ไอ้เมธก็มาบอกเรา เราก็เฮ้ยจริงเหรอ เค้านัดเนี่ยไปคุยก็บอกเอาดิไปคุยก็ได้ ก็ไปคุย เฮ้ย !! จริงนี่หว่ามีเรื่องเงินทองเข้ามาเสร็จสับเลย โห!! ดีใจฉิบหายเลย(หัวเราะ) ออกเทปเลยหรอออกยังไงวะ อ๋อแล้วต้องบอกว่าก่อนหน้านั้นนะ ผมทำงานในแกรมมี่ในขณะที่ผมทำมาร์เก็ตติ้งเนี่ยนะมันก็มีนักดนตรีรุ่นพี่ที่เค้ารู้จักเรา  ที่เค้าเห็นเราเล่นกีต้าร์อะไรอย่างเนี่ย เค้าให้เราไปเรียบเรียงเพลงของคนในแกรมมี่ ของพงษ์สิทธิ์ ของอะไรอย่างนี้ก็ทำไป ซึ่งนายก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้มาก่อน

GT : คือเจ้านายก็ไม่รู้ ?
พี่ปั๋ง :ใช่ !! นายก็ไม่รู้ว่าเราไปทำอะไรอย่างนี้ แล้วพอไปคุย Tero เรียบร้อยนะ  ดีใจมากกลับมาถึง  เราก็คิดนะว่าเราทำงานแกรมมี่แล้วเราออกเทปกับ Tero ยังไงวะเมธ  เราก็ไปคุยกับนาย   ก็ไปบอกพี่ผมกับไอ้เมธจะออกเทป เขาก็หัวเราะ หัวเราะใหญ่เลย เฮ้ยอะไรวะ เขาก็ไม่เชื่อ  ตามประสา  แต่ก็บอกให้ไปเอาเพลงมาฟังซิ ไปอะไรอย่างเนี่ย ก็เอาเพลงมาให้เค้าฟัง ปรากฎว่า อ๋อก่อนหน้านั้นก็ไปทำมาเพิ่มอีก 2 เพลง พอรู้แล้วว่ามีที่ออกเทปก็ไปทำเพิ่มมาอีก 2 เพลงก็อยู่ในอัลบั้มแรกนั้นแหละ พอเขาฟังเสร็จ  เขาก็เอ้ยดีนี่หว่า ก็ทำได้แล้วทำไมต้องไปทำข้างนอกก็มาทำในนี้เลย อืม... ณ วันนั้นมันแบบเรายิ่งงงใหญ่เลย เพราะว่ามันไม่มีไง  ในแกรมมี่มันไม่มีเพลงแบบนี้เลย ต้องเจ, คริสติน่า อะไรพวกนี้ไง เค้าเรียก mainstream เออมันจะไม่มีอะไรแบบนี้เลยไง เราก็งงแดกนั้นก็คือเบอร์แรกของจีนี่ไง ค่ายจีนี่เร็คคอร์ด ณ วันนั้นนโยบายของพี่เต๋อแหละที่เค้าจะทำแบบเร็คคอร์ดคัมพานีเมืองนอกที่มันมีแบบหลายๆวง เพื่อแข่งกันเอง ก็เป็นเบอร์แรกนั่นแหละ

GT : แล้วที่วางคอนเซ็ปต์ไว้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้แบบนี้มีไหมครับหรือไม่มีเลย ?
พี่ปั๋ง :(หัวเราะ) ผมคุยกับพี่อ๊อด บอกพี่ให้ผมทำได้จริงหรอ เค้าก็ถามนะเค้าก็ดีนะก็เอาดิทำได้เลย มีข้อกำหนดอะไรหรือเปล่า  เค้าถามเรา ก็บอกเขาอย่างเดียวก็คือว่า ผมขอทำในสิ่งที่ผมอยากทำ(หัวเราะ) คือผมพูดรู้เรื่อง  เรา เราไม่ใช่คนที่ติสแดก เค้าก็รู้แหละก็โอเค ช่วงแรกที่จะออกเทปแป๊บนึงประมาณสัก 1 ปี ปีกว่าๆอะไรอย่างเนี่ย เซ็นรับเงินเดือนครึ่งนึงก็ไม่ได้ทำงานครึ่งนึงเลยนะ บางทีทำงานมากกว่าครึ่งอีกแต่ว่าแบบด้วยความที่ว่า แหมไอ้คนร่วมงานอยู่ด้วยมันก็... ก็ผมกับสุเมธเนี่ยเป็นเบอร์แรกเป็นคนแรกในแกรมมี่ที่ทำงานประจำแล้วออกเทป  ไม่มี  ไม่เคยมีก่อนหน้าผม ผมว่าเดี๋ยวนี้ไม่รู้มีหรือเปล่าไม่รู้ มันคงไม่มี  มันคงชัดเจนแหละ คือมึงจะทำอะไรมึงก็เอาไปทำสักอย่างนึง(หัวเราะ) อย่ามาทำอย่างนี้ นั่นแหละแล้วก็มาเรื่อยๆครับ ทำอัลบั้มมาเรื่อยๆ

GT :  แรงบันดาลใจในการเล่นกีตาร์ มีฮีโร่ไหมพี่ ชอบใครไหมครับ?
พี่ปั๋ง :โห!! เยอะมากเลย ชอบจริงๆเลยเนี่ย  ฮีโร่เยอะนะกีตาร์ ชอบจริงๆก็คือ George Benson  ถ้าถามว่าทำไมชอบ มันเล่นเพราะ จะบอกว่าไม่ยากนักก็ไม่ใช่ ฟังไม่ยากนักแล้วกัน เออใช่คำนี้แล้วกัน ฟังไม่ยากนักแต่เพราะ  มันมี phase มีวลี และก็เท่ห์ แต่มันมีมือกีตาร์อยู่คนนึงที่เรารู้สึกว่าแม่งเก่งวะ แต่ว่ามันไม่ดังชื่อ ริคาโด้ ซิลวาเรีย อะไรเนี่ยแหละยังหาแผ่นมันยังไม่ได้เลย มันเป็นนักดนตรีอัดเสียง เล่นเนียนมาก Pat Metheny,John Abercrombie เราก็ชอบ อืม..แต่คนแรกที่เราไปแกะกีตาร์ไลด์เค้าเล่นแล้วเรามีความสุขก็คือEarl Klugh นั่นแหละ เออ!!ใช่วะแกะเขาเยอะที่สุด เออ !! Earl Klugh จริงๆด้วย เพราะคนอื่นไม่มีปัญญาแกะ บางคนนี่นั่งแกะ ถึงตายเลยนะ (หัวเราะ)

GT :  ผมสังเกตวิธีพี่ที่อิมโพรไวส์พี่ยึดกับเมโลดีอย่างเดียวเลย คือง่ายๆแต่มันออกมาดูดี?
พี่ปั๋ง :ก็…เล่นยากไม่ได้ไง(หัวเราะ) จริงๆนี่พูดจริง(หัวเราะ) ก็เพราะเล่นยากไม่ได้แหละ

GT :  คือกลับไปหาสิ่งที่ง่ายที่สุดแต่มันกลับกลายเป็นว่ากลายเป็นเอกลักษณ์ของพี่ไปเลย ?
พี่ปั๋ง :ก็พี่ว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ดีวะ(หัวเราะ)

GT :  อีกอย่างหนึ่งที่ต้องเจอกับพี่คือกีตาร์สายเอ็น?
พี่ปั๋ง :เออ!!  ก็คือหนึ่ง ชอบเสียงมันคอนโทรลได้ด้วยมือเรานิ้วเรา เออ!! โดยชัดๆเลย รู้สึกเล่นแล้วมันสบาย

GT : เพราะ Earl Klugh ด้วยหรือเปล่า ?
พี่ปั๋ง :เออๆ!! ก็มีส่วนๆ นี่แหละ แล้วโอ้ย!! อัลบั้มเจ๋งๆเค้าเล่นก็ไม่ธรรมดานะ

GT : โดยส่วนตัวแล้วพี่เคยข้ามไปหาพวกร็อคบ้างไหมครับ?
พี่ปั๋ง :ถามว่าเล่นได้ไหมพอเล่นได้มั้ง ก็เล่นนะเล่นกีตาร์เอ็ฟฟงเอ็ฟเฟ็คก็เล่นนะ แต่ว่าเราก็คงเล่นแล้วไม่ค่อยร็อคเท่าไหร่

GT :  มันไม่ใช่พี่เหรอครับ?
พี่ปั๋ง :ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็เล่นได้นะ เล่นได้ประมาณหนึ่ง แต่คงไม่เหมือนหรอก ก็เหมือนคนร็อคเค้ามาดีดแบบเราเค้าก็คงเล่นไม่เหมือน แต่เราเล่นได้นะ หมายถึงว่ายินดีที่จะเล่นด้วยทุกแนวเลย แต่สมัยก่อนไม่ใช่อย่างนั้น นี่เป็นเรื่องขอบอกเลย นี่เป็นเรื่องที่ขออยากจะบอกให้นักดนตรีทุกคนเลยว่า คุณสมบัติของนักดนตรีที่ดีเนี่ย แม่ง!!ต้องเล่นได้ทุกแบบวะ จะบอกให้ว่าแบบพออย่างนักดนตรีฝรั่งเนี่ยนะ แม่งเทิร์นโปรแล้วเนี่ยนะไอ้คนร็อคบางคนเนี่ยนะ โอ้โห ไอ้ฉิบหายพอเล่นแจ๊สมันก็เล่นเป็นไง แต่มันไม่เก่งทางนั้นแต่เล่นได้ไงเข้าใจ รู้เข้าใจประมาณนึง  มันไม่เก่งแต่มันก็เล่นได้ไง รู้เข้าใจ แต่ในขณะที่คนไทยบางคนเนี่ยแม่งก็เล่นได้แต่อย่างนั้นนะ และพอจะให้ไปเล่นอย่างอื่นเสือกเล่นไม่ได้แล้วเข้าไปด่าเค้าอีก เนี่ยๆ เป็นอย่างนี้ไม่ได้เลย ผมมองว่าเป็นนักดนตรีอาชีพจริงๆ นะต้องเล่นได้หมด แล้วคุณสมบัติที่ดีของนักดนตรีอีกอย่างนึงเนี่ยก็คือว่า “ต้องเล่นกับใครก็ได้ไง” เล่นกับคนที่เก่งกว่าก็ต้องพยายามเล่นให้ได้ให้ถูกที่รู้วิธีเล่น เล่นกับคนที่เก่งน้อยกว่าหรือเท่ากันก็แล้วแต่ก็ต้องหลบให้เค้าเล่น ต้องมีวิธีดันให้เค้าเกิดอะไรอย่างเนี่ย ไม่รู้นะแต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากข้อนี้ ถ้าการรวมวงนะ การเล่นวงนะหรือเล่นมากกว่าหนึ่งชิ้นต้องรู้จักต้องทำให้เป็น  ต้องทำให้เป็นแล้วเราก็มีเสน่ห์เองถึงเราจะเล่นไม่เก่งก็เถอะนะ แต่ถ้ารู้จักเล่นแล้วถึงเวลาควรที่จะต้องทำอะไรไป ทำแต่พอควร ทำแต่พองาม

GT :  การเล่นกีตาร์สายเอ็นเนี่ยครับ มันเป็นอะไรที่คุมเสียงค่อนข้างยากยาก ?
พี่ปั๋ง: อืม...ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่ว่ากีตาร์ไฟฟ้าเนี่ยแหละไอ้พวกใส่เอ็ฟเฟ็คเยอะๆแม่งคุมยาก (หัวเราะ) คุมยากฉิบหาย ดีดๆอยู่ไปโดนอีกเส้นหนึ่ง พี่ว่าสายเอ็นน่าจะคุมง่าย พวกอะคูสติกเนี่ยน่าจะคุมง่ายกว่า

GT : อาจเป็นเพราะว่าพี่เล่นอย่างนี้มากเยอะ ?
พี่ปั๋ง :เล่นมาเยอะ อาจเป็นไปได้ อาจเป็นไปได้

GT : อย่างที่สังเกตุ คือวิธีการคุมน้ำหนักของมัน ?
พี่ปั๋ง:  เอาง่ายๆ ถ้าเป็นกีตาร์เปิดเบาดีดแรง มันก็จะได้เนื้อไง ไดนามิคมันก็ชัดไง นึกออกไหม คือตัวเราก็จะรู้ ไดนามิคมันสำคัญนะ บางคนเล่นสวยชิบหายแต่ว่ามันไม่มีไดนามิค โน๊ตยากโน้ตอะไรอย่างเนี่ย วิธีที่ง่ายที่สุดก็เปิดเบาๆ กีตาร์ไฟฟ้าก็เหมือนกันเปิดให้เบาๆ แล้วก็ดีด ดีดให้มันได้น้ำหนักแล้วเราก็จะรู้ว่า เบาหนักอยู่ตรงไหนฟังแล้วมันเพราะของเราอะนะ

GT : ทุกวันนี้พี่มีวิธีการฝึกอย่างไรบ้างครับ?
พี่ปั๋ง :พี่ยอมรับตรงๆนะ(หัวเราะ) จะโดนกีตาร์ก็ตอนเล่นคอนเสิร์ตเท่านั้นนะ แต่เผอิญโชคดีมันมีคอนเสิร์ตเยอะ เดือนๆหนึ่งเนี่ยผมมี (นึก) โห !! เยอะเหมือนกันนะ  ก็บอกตรงๆนะ แม่งก็อายวะ(หัวเราะ) จริงๆนะส่วนนึงอายมาก เพราะเรามีงานอย่างอื่นเยอะ  ผมเองแม่งแบบก็เสียดายไอ้วิชาชีพที่ตัวเองมี ก็ว่าจริงๆสัญญากับตัวเองแล้วนะว่าวันนึงที่แบบว่ามีเวลามากสุดเนี่ย ว่างมากกว่าเนี่ย จะตั้งใจสุดและก็จะเอาจริงๆเลยสำหรับกีตาร์นะ เพราะครั้งหนึ่งในชีวิตมันเคยแบบเกือบจะดี แล้วมันก็ร่วงลงไป เพราะว่าหนึ่งตัวเองด้วยแหละขี้เกียจ และก็งานอื่นๆเยอะแยะ แต่อย่าไปโทษงานเลย  ตัวเองแล้วกัน ตัวเองขี้เกียจ เผอิญเมื่อเดือนกว่าๆที่ผ่านมาผมมีอุบัติเหตุ กระจกบาดข้อมือ จนกระทั่งแบบว่าตอนที่ไปหาหมอ หมอก็เช็คใหญ่เลยเพราะรู้จักไง เค้าก็เป็นห่วงกลัวว่าจะกลับไปไม่เป็นเหมือนเดิม เพราะว่าจริงๆ ถ้าเป็นอาชีพอื่นไม่เป็นไร ถ้าเป็นนักดนตรี วาดรูป ทำงานศิลปะอะไรพวกนี้มันมีความละเอียดของมันข้างใน มันเป็นเส้นประสาทบางส่วนซึ่งแบบว่า อะไรอย่างเนี่ย มันอาจจะทำไม่ได้เหมือนเดิมอะไรอย่างเนี่ยไง แต่ของผมว่าน่าจะได้นะ เราว่าน่าจะได้เออ หมอบอกว่าน่าจะได้ หมอก็ดูว่าได้

GT : ตอนนี้หายดีเป็นปกติแล้วหรือครับ?
พี่ปั๋ง: ยังๆ ตอนนี้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์

GT : ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ไหมพี่?
พี่ปั๋ง :เจ็บ ตอนนี้ยังเจ็บอยู่ แผลมันลึกมากเลย  แต่ก็ทรมานนะเล่นไม่ได้ เวลาเล่นงานทีก็คือได้ นิดๆหน่อยๆก็คุยเล่นและก็ประสานไป ที่วงเขาสงสาร แต่ก็ต้องฝึกซ้อมเป็นนักดนตรีต้องฝึกซ้อม

GT : ตอนนี้คอนเสิร์ตพี่ยังเยอะอยู่ไหมครับ?
พี่ปั๋ง: ยังเยอะอยู่ครับ ยังมีอยู่เรื่อยๆเลย ส่วนมากมันจะเป็นงานแบบพวกชายทะเลซะส่วนใหญ่ มีเป็นทั้งอะคูสติกมีทั้งเป็นแบนด์

GT : แล้วกับงานชุดใหม่ ”สุเมธ&ปั๋ง” จะออกอีกเมื่อไหร่พี่?
พี่ปั๋ง :อันนี้ฝากประชาสัมพันธ์เลย ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเนี่ยนะ จะมีคอนเสิร์ต 10 ปี “สุเมธ&ปั๋ง” ประมาณต้นปีหน้ากุมภาพันธ์  เดือนแห่งความรักนั่นแหละ ก็น่าจะได้ฟังเพลงใหม่ๆกันด้วย ตอนนี้ทำอยู่เลย

GT : ชุดใหม่ยังเป็นสไตส์นี้อยู่ไหมครับ?
พี่ปั๋ง :ได้ฟังชุดล่าสุดไหม

GT : ฟังพี่   ผมมีทุกชุดแหละพี่?
พี่ปั๋ง: โอเค... แจ่มมาก คงประมาณนี้แหละครับ และก็จะตั้งใจทำให้มันดีๆขึ้นเยอะๆเลย อย่างชุดล่าสุดก็โชคดี มีพวกเพื่อนๆที่แม่งเก่งๆมาช่วยทำเยอะ มีคุณโจ้ ,อาจารย์นุ อืม.. มาช่วยทำ ก็ดี แต่มีหลายคนเค้าบอกว่าไม่ค่อยโย้ๆ (หัวเราะ)ไม่ค่อยเบี้ยวมันตรง มันไม่ค่อย แต่มันก็ได้อยู่ มันจะมีความเบี้ยวๆไม่ค่อยตรง

GT : แล้วจะมีการกลับไปแบบบรรยากาศแบบชุดแรกไหมพี่ ?
พี่ปั๋ง :ก็ในคอนเสิร์ตต้องมีอยู่แล้วแหละ อันนี้ผมทำเองเลยนะ ไม่ใช่จากแกรมมี่แล้วนะ คอนเสิร์ตผมทำเองเลยนะ แล้วอีกอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นเลยนักร้องนักดนตรีเนี่ย ถ้าของจริงยังไงมันก็อยู่ได้ มันอยู่ได้ของมันแหละ เออ !! อีกอย่างผมโชคดีที่มีบัดดี้อย่างสุเมธ  สุเมธแม่งเก่ง  สุเมธเป็นคนเก่งจริง เป็นศิลปิน เป็นศิลปินจริงๆวะ ใครมาเรียกแบบผมเป็นศิลปิน ผมจะรู้สึกว่าแม่งกระดาก ไม่ใช่กระแดะนะ คือมันไม่ใช่เรารู้ว่ามันไม่ใช่ เราเป็นคนสนใจเรื่องศิลปะมากกว่า สนใจและก็พยายามเรียนรู้ก็ได้ในระดับหนึ่ง อย่างสุเมธเนี่ยของจริงนะ

GT : และอย่างตอนนี้พี่มีโปรเจ็คอะไรนอกจากอัลบั้ม”สุเมธ&ปั๋ง”ที่เกี่ยวกับดนตรีบ้างไหมพี่ ?
พี่ปั๋ง :ก็มี จริงๆมี  จะคลอดอยู่แล้วนะแต่แม่งหยุดไปไว้เพราะว่าสภาวะเศรษฐกิจอะไรต่างๆ จะเรียกว่าอะไรวะมันก็คือแบบเหมือนนักร้องพี่ผมเลือกไว้เองวะ ที่ผมชอบ ยังไม่มีชื่อเสียง ก็ทำ ทำไว้ตั้ง 5-6 เพลงแล้วนะ แล้วก็ยอมต้องถอดใจ จะลงทุนเองมันก็หมดเลย ก็มีเป็นโปรเจ็ค ถ้าสมมุติว่าไอ้วันที่คอนเสิร์ตหรือว่าไอ้ตัวคอนเสิร์ต 10 ปีนี่มันคือ กุมภาพันธ์ปีหน้าแต่ก่อนหน้านั้นนะมันต้องมีเพลงเราออกมาก่อนอยู่แล้ว แล้วเราก็เช็คได้ไงว่าฟีดแบ็คเป็นไง แต่ว่าตัวคอนเสิร์ตคงโอเคแหละ คงไม่เจ็บตัวหรือว่าโอเค คงพอมีแหละ แต่ว่าถ้ามันได้ผลดีกว่า ดีกว่ากลางๆ ผมก็จะเองไอ้พวกเนี่ย นักร้องที่ผมคิดว่าที่เจ๋งๆ มาออกแล้วออกเลย อาจจะเชิญมาในคอนเสิร์ตได้บ้างว่าเนี่ยแหละ แอบแว๊ปๆนิดนึง เพราะแม่งเก่งทุกตัวเลย บางคนก็โตแล้ว  หน้าตาเฉยๆอะไรอย่างเนี่ย

GT : แล้วพี่มีโปรเจ็คที่อยากทำเพลงบรรเลงสไตล์นี้บ้างไหมครับ?
พี่ปั๋ง: อยากทำมากเลย แต่ก็คือจะไปขายใคร (หัวเราะ) อยากทำ ทำเพลงแบบนี้เก็บไว้ก็มี

GT : ทำออกมาแบบ Earl Klugh ?
พี่ปั๋ง :ค่อนข้างจะ สไตล์นั้นแหละ เออ!!  ง่ายๆไม่ยาก

GT : มีเพลงโชว์เลยหรือเปล่าครับ?
พี่ปั๋ง :ไม่รู้จะโชว์ใคร ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน โชว์ไอ้พวกนักดนตรีที่เล่นด้วยกันนี่แม่งก็ไม่เอา (หัวเราะ) ไอ้กระจอกแค่นี้มึงมาเล่นเหี้ยอะไร โชว์คนธรรมดาคนเค้าก็ไม่อยากฟัง เค้าก็อยากเพลงร้องเพลงอะไรอย่างนี้มากกว่าก็เก็บไว้เล่นฟังคนเดียวก็ได้

GT : มีกีต้าร์ตัวไหนที่เล่นบ่อยที่สุด ?
พี่ปั๋ง: เล่นบ่อยที่สุดเหรอ เผอิญไม่ได้อยู่ที่นี่ มันอยู่ที่กับผู้จัดการ  กีตาร์ตัวนี้  จะต้องติดตัวไว้เอาไว้เซ็ตซาวด์

GT : ทีนี้อุปกรณ์ที่พี่ใช้ประจำอยู่?
พี่ปั๋ง :กีต้าร์ Amanza  เนี่ยบ่อยที่สุด

GT : ตู้หละครับ?
พี่ปั๋ง: ตู้ไม่ใช้ แนะนำเลยว่าอะคูสติก ถ้าเป็นอะคูสติก  ถ้าเลือกได้ต้องเป็น direct ต้องมีผ่าน direct box อันนึง ดีกว่าแน่นอน ยกเว้นจะมีตู้กีต้าร์ดีๆ ตู้อะคูสติกจริงๆเนี่ย อย่างเช่นตัวที่อยู่ในตู้นั้น  แต่ผมจะไม่ค่อยเอาออกมาเสียดาย Roland  เป็นอะคูสติกจริงๆเลย

GT : ตัว George Benson คือตัวที่เอาไปเล่นชุดแรกๆหรือเปล่าครับ?
พี่ปั๋ง :ใช่ จริงๆไม่ได้เล่นหรอกเอามาถ่ายรูปเฉยๆ ไม่ค่อยได้เล่นเพราะว่า เสียงมันเล่นไม่ได้ เสียงมันใหญ่ ต้องเล่นแจ๊สอย่างเดียว ถ้าเป็นเครื่องอื่นๆก็ควรจะเป็นอะคูสติกอย่างเดียว อะคูสติกหมดมันถึงจะฟังโอเค

GT : Semi กับ Hallow  Body  พี่ชอบแบบไหนมากกว่ากันครับ?
พี่ปั๋ง: ชอบ Semi

GT : โดยส่วนตัวแล้วพี่ พี่เป็นคนชอบประกอบกีต้าร์เล่นหรือเปล่า?
พี่ปั๋ง :ไม่ชอบ

GT : หมายถึงในแง่ของกีตาร์พี่ ลองเอาไอ้นู่นมาใส่ไอ้นี้ ?
พี่ปั๋ง :คือจริงๆถามว่าชอบไหม ไม่ชอบขี้เกียจ แต่ไอ้ตอนนั้นที่ต้องทำเพราะว่าแม่งปากท้องด้วยสมัยเด็กๆ(หัวเราะ) ไอ้เหี้ยจะไปซื้อใหม่ก็แพงมากกีตาร์อะคูสติกสมัยนั้นนะ แล้วยิ่งเป็นต้องมีไฟฟ้านี่ก็ลองคิดเอาเองนะ  แพงมาก 

GT : โดยส่วนตัวคิดยังไงกับคนที่สะสมกีตาร์?
พี่ปั๋ง: ก็ดี ถ้ามีปัญญาทำ (หัวเราะ) ก็ดีก็เป็นงานอาร์ตอย่างหนึ่ง มันเป็นเครื่องดนตรีซึ่งดูแล้วสวยดี ก็เป็นความชอบของแต่ละคนหลายๆคน ถ้าเกิดมีตังค์ก็ซื้อเถอะ ดีกว่าไปซื้ออย่างอื่น (หัวเราะ)

GT : ในเมืองไทยนี่มีมือกีต้าร์คนไหนที่พี่ชอบบ้างครับ?
พี่ปั๋ง :เจ๋งๆ มีหลายคนเลย เอาคนมีชื่อก็ได้ แมวไง!! แมวเก่ง เก่งแล้วรู้จริงด้วย รู้เยอะด้วยไม่ใช่สักแต่เก่ง โอเคเลยใช้ได้ แต่คนไทยเก่งเยอะนะกีตาร์บอกให้ฟังเลยมีอีกหลายคนเลย พี่ดุงก็สุดยอดเลย ก็มีโจ้ ที่มันเล่นเปียโนด้วย เรียนจบไฟแนนซ์ คนนี้เล่นไม่เหมือนคนไทยเลย  อาจารย์วุธนี่ก็เก่ง พวกเด็กๆสมัยนี้ก็เก่ง เด็กเดี๋ยวนี้ก็เก่งมีเด็กมหิดลปี 1 คนหนึ่งผมไปเป็นกรรมการไง โอโห!! แม่ง (หัวเราะ) เก่งโคตร อายฉิบหายเลย  อู้หูดูมันเล่นร้ายมาก ชื่ออะไรไม่รู้เหมือนกันตัวเล็กๆ เก่งจังเลย แต่ว่าสังเกตได้เลยนะหาเก่งน้อยนะมือกีตาร์นะดูจากเด็กๆเนี่ยนะ คนเก่งมักจะเป็นพวกมือเบสมือกลองอะไรพวกเนี่ย มือกีตาร์ก็มีเท่าเนี่ยไม่มีทะลุเพดาน ทะลุยาก มีใครอีก มีรุ่นใหญ่ๆเก่งเยอะเลย

GT : ตั้งแต่ที่พี่เล่นมามีคอนเสิร์ตครั้งไหนที่พี่ประทับใจ ?
พี่ปั๋ง :ประทับใจเหรอ  ประทับใจก็จะเป็น อันที่ผมเป็นมิวสิคไดเร็คเตอร์ไง (หัวเราะ) ถึงประทับใจ เพราะว่ามันเป็นอย่างที่เราเป็นคนทำให้มันเป็นแบบนี้มันก็ประทับใจ ก็มีอันหนึ่งของพี่แต๋ม ชรัสมั้ง ตอนนั้นเรายังไม่ดังเลยนะ แต่ว่าออกเทปแล้วก็ดีนะเค้ามาให้เราเป็นมิวสิคไดเร็คเตอร์ด้วยนะ และก็ทำเพลงก็มีแขกรับเชิญหลายคน อีกอันหนึ่งก็ของฮอตเวฟมั้ง อันปลั๊ก อันนั้นก็ดีเป็นมิวสิคไดเร็คเตอร์ แต่จริงๆก็คือแบบเวลาเล่นแล้วมีประทับใจมันมักจะไม่ใช่คอนเสิร์ตใหญ่หรอก มันจะเป็นแบบบาร์หรือร้านที่แม่งแบบคนแม่งฟังจริงๆ เอออีกอย่างโชคดีเพื่อนๆนักดนตรีผมแม่งเก่งไง เวลาไปโชว์คอนเสิร์ตเป็นแบนด์ที่ไหนเนี่ยมันแบบไปกันได้หมดเลยแค่ไม่เตรียมก็รู้แล้วอะไรก็ได้ แม่งเล่นได้หมดเลย  คือมันเก่งกว่าเราเยอะเลยทุกคน(หัวเราะ) มันเก่งกว่าเราเป็นแบบอาจารย์เราได้หมดเลย เออ!! เพราะฉะนั้นสบายไงเราจะเล่นอะไร แม่งก็ โอ้โห!! อุ้มเราไปสบายมากเลย

GT : ผมเห็นพี่ทำงานต่างๆนาๆมากเลย พี่ชอบอะไรมากที่สุด?
พี่ปั๋ง: ชอบอะไรมากที่สุดเหรอ ไม่อยากจะบอกเลยวะว่าเป็นนักกีฬา เราชอบเป็นนักกีฬา 

GT : ถ้าเลือกได้จะเอาดีทางไหน ?
พี่ปั๋ง :น่าจะเป็นกีฬา

GT : เพราะรู้สึกว่ามันเป็นพรสวรรค์?
พี่ปั๋ง :อย่าไปคิดอย่างนั้นเลย

GT :  ทุกวันนี้ยังเล่นกีฬาอยู่ ?
พี่ปั๋ง :เล่นๆ ยังเตะบอลอยู่ เตะบอลดาราเนี่ยะสบายเลยขนม  พวกดารา เด็กหนุ่มๆเนี่ยะไม่เคยกลัวเลย ชอบเล่นกีฬา อย่างที่บอกผมถึงบอกผมไม่ใช่ศิลปินจริงๆ เราเป็นคนศึกษามากกว่าแล้วก็ชอบไง เรารู้สึกว่าแม่งดี ก็พยายามเรียนรู้และก็ทำความเข้าใจเท่าที่ได้ วันหนึ่งก็มันอาจจะพิสูจน์ได้ก็ได้ แบบเฮ้ยเออมึงอาจจะเป็นจริงๆก็ได้เว้ย ถ้ามันทำได้นะผมคิดอันนี้ในความฝันในใจลึกๆ ว่าวันหนึ่งที่แบบว่าทุกอย่างมันสบาย นิ่งๆกว่านี้แล้วผมอาจจะแบบศึกษาเลย ตั้งใจเล่นจริงๆเลย แต่กอล์ฟอีกอย่างไม่เคยเล่นเลย(หัวเราะ)ในชีวิตเนี่ยไม่เคยเล่นและก็เป็นกีฬาอย่างเดียวที่ยังเล่นไม่เป็น ยังไม่ได้เล่น กะว่าวันหนึ่งที่แม่งแบบสังขารนะ เออ อายุที่มันไม่ได้แล้วนะ ก็เอาจริงเลยผมเป็นคนทำอะไรแล้วทำจริงไงไม่ได้เลย ทำอะไรแล้วต้องทะลุ

GT : ย้อนมาถึงเรื่องวิธีการแต่งเพลงหน่อยครับ พี่แต่งยังไงครับ?
พี่ปั๋ง: จริงๆแล้วมันแต่งมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ ก็มั่วแหละจริงๆต้องเริ่มใช้คำนี้ก่อนแล้วกันว่า เอาให้เท่ห์ๆหน่อยก็จินตนาการตามความรู้สึกส่วนตัว มันมักจะได้มาเวลาที่มีอารมณ์ร่วมเยอะๆ เออมันมักจะตอนนั้น แล้วก็พอผ่านประสบการณ์ผ่านอะไรมาเรื่อยๆเนี่ย มันก็ถูกขัดเกลาให้มีความเนียนมากขึ้น อย่างน้อยมันก็รู้แล้ว ไอ้ความรู้ต่างๆเวลามันเข้ามาเยอะๆเนี่ยะมันก็มาดัดแปลงใช้ให้เป็นประโยชน์ง่ายขึ้นเร็วขึ้น  มันก็เรียกว่าอะไร  คือส่วนตัวแล้วไม่น่าใช่คนแต่งเพลง(หัวเราะ) แต่งได้เฉยๆ แต่ไม่ใช่นักแต่งเพลงหรอกมั้ง

GT : คือที่ถามอย่างนี้หมายความว่าแต่งในสไตส์พี่ ?
พี่ปั๋ง :ก็คือจะมาพร้อมๆกัน ทั้งเมโลดีแล้วก็เนื้อเลย  ให้เขียนเนื้ออย่างเดียวมันก็ได้นะ แต่มันไม่ชอบ รู้สึกว่ายังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ แต่ให้ทำก็ทำได้นะ ทำเพลงโฆษณาอะไรก็ทำ

GT : พี่ได้ซ้อมกันบ่อยหรือเปล่าครับ ?
พี่ปั๋ง :(หัวเราะ) ไม่ได้ซ้อมเลย ยกเว้นแต่ว่าจะมีงาน

GT : ซ้อมแต่ละครั้ง ซ้อมกันนานหรือเปล่าครับ  ?
พี่ปั๋ง: ไม่นานเลย (หัวเราะ) คือเล่นกันมานาน มันรู้ใจกัน แล้วสองคือมันชุ่ยเหมือนกัน (หัวเราะ) คือง่ายๆเลย ถ้าสมมติว่าจะต้องทำอะไรที่มันยากๆ โปรแกรมมันก็จะออโต้เลย มีอยู่ 2 อย่าง คือ ก็ต้องเอาให้มันได้เลยกับเพลงยากๆ สองคือ มึงก็เปลี่ยนมันซะ อย่าทำมันให้ยาก (หัวเราะ)

GT : การที่พี่ทำงานหลายอย่างมาก และก็ทำงานหลากหลายรูปแบบ แล้วพี่ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นๆแล้ว ?
พี่ปั๋ง :มันจะมีปัญหาระหว่างกันใช่ไหม

GT : ใช่ครับ ?
พี่ปั๋ง :เอารวมๆเลยนะ คือไอ้สิ่งที่ผมได้บอกต่อไปนี้ มันสามารถเอาไปใช้ได้ทุกสายเลย ทุกอาชีพ ทุกวัยทุกเพศ เลยนะ คือไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ ผมว่าสุภาพนะ แล้วก็ตรงไปตรงมา อดทน เพียงแค่นี้นะ อยู่ได้หมดทุกที่เลย ผมว่าแก้ปัญหาได้หมดเลย จริงๆ

GT : แล้วอย่างที่เคยทำงานร่วมกันกับพี่สุเมธนี่ เคยมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ ?
พี่ปั๋ง: คือผมเป็นคนใจเย็นนะ บางทีก็ตลกแดกไป ซึ่งบางครั้งมันฉุนฉิบหายเลยนะ แต่ก็เอา ไม่เป็นไร คือที่ขัดแย้งกัน เราเชื่อไงว่าไม่มีใครหรอกที่มานั่งตะบี้ตะบันเถียงกัน แต่มันคือเจตนาที่ดีของเขา ถูกไหม ก็ในเมื่อเขาเจตนาดี แล้วมันมีเหตุผลไม่ตรงกัน มันก็ต้องหาข้อสรุปใช่ไหม  อย่างว่าแหละถ้า สุภาพนะ แล้วก็ตรงไปตรงมา ผมว่ามันก็เคลีย หรือถ้าอย่างต่างคนต่างไม่ยอม ก็ไม่เป็นไร งั้นก็เอาวิธีมึงก่อนก็ได้ แล้วเดี๋ยวก็ค่อยมาว่ากัน ถ้าดีก็เอาเลยนะโว้ย พี่ว่ามันคุยได้ ถึงวันนึงวิธีนั้นมันเกิดโอเคขึ้นมา ก็เอ่อ ..ขอโทษวะ ถูกไหม เออ !! อีกอย่างสปิริต ผมว่ามันสำคัญมาก ดนตรี กีฬา สอนคนหลายอย่างเลยนะ ดนตรีสอนให้คนละเอียดอ่อน สอนให้คนละเมียดละไม อะไรในทางที่บวกเยอะๆนะ แล้วก็มีจินตนาการกว้างไกล ส่วนกีฬาเนี่ยสอนให้คน เอาอย่างง่ายๆเลยนะ สอนให้คนมีสปิริตเลย หัวใจของมันคือ แพ้เป็น แล้วอยู่ในโลกนี้ได้อย่างสบายมากเลย ทั้งสองอย่างเป็นตัวขัดเกลามนุษย์ได้อย่างดีเลย

GT : สุดท้ายแล้วครับ อยากให้พี่ฝากอะไรให้กับน้องๆครับ ?
พี่ปั๋ง :สำหรับทุกคนเลยนะ เรื่องดนตรีเนี่ยะ นอกจากมุมมองแก่ๆอย่างตะกี้ที่พูดไปแล้วเนี่ยะ  ไอ้มุมมองแบบเด็กๆเราก็มี ดนตรีเนี่ยะมันชัดเจนมากนะ มันยืดหญิงได้อย่างแน่นอน (หัวเราะ) ดนตรีเป็นอะไรที่มีเสน่ห์นะ มันเป็นตัวช่วยเสริมเสน่ห์ให้ทั้งหญิงและชาย   คนเนี่ยะมันไม่ได้หล่อไม่ได้สวยจัดนะ แต่พอมันร้องเพลงเป็นเนี่ยะ มันแบบโอ้โห!! มันจะขึ้นชั้นมาทันทีเลยนะ แล้วเอาไอ้ข้อเนี่ยะนะไปบวกเขากับไอ้ข้อที่ผ่านๆมา แล้วก็เดี๋ยวนี้นะ ดนตรีเป็นวิชาชีพได้เลยนะ แล้วมันแข็งแรงด้วยนะ  อีกมุมนึงนะ เสริมให้เลย คือนักดนตรีเนี่ยะมันต้องได้ทุกรูปแบบ  มันต้องเปิดกว้างให้กับตัวเองเยอะเลย คือเดี๋ยวค่อยไปเลือกเอาว่าตัวเองชอบแบบไหน แล้วไปทำมันให้ทะลุเลย แต่มีข้อแม้ว่าต้องรู้ว่าแนวไหนเป็นยังไง คือให้ได้หมด นั้นแหละคือนักดนตรีที่ดี  แล้วมันมีผลต่อการดำรงชีวิตด้วยนะ มันเป็นเรื่องของทัศนะคติล้วนๆเลยนะ

GT :  แล้วในแง่ของการฝึกหล่ะครับ?
พี่ปั๋ง : ไม่ค่อยกล้าพูดนะเรื่องนี้ (หัวเราะ) ก็มีๆ สมัยก่อนก็ฝึกอยู่เหมือนกัน  เอาง่ายๆเลยถ้ามีโอกาสนะ วันละชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เอาแค่แบบฝึกหัดหมูๆเลยนะ อย่างที่พูดว่า เล่นเพลงที่ตัวเองถนัดเนี่ยะแหละ  แล้วเล่นมันให้ได้หมดทุกคีย์เลยนะ เปลี่ยนให้ได้เดี๋ยวนั้นทันที  แล้วเดี๋ยวมันก็จะบรรเจิดภาพให้หัวเลย ภาพของตำแหน่งของคอร์ดที่อยู่ที่ต่างๆ ซึ่งมันสามารถมาได้ทั่วทั้งคอกีต้าร์เลย  อีกอย่างนะ เอาคอร์ดอะไรก็ได้ เอาคอร์ด Fmaj7 คอร์ดเดียวก็ได้ แล้วดูนะว่าจะได้กี่แบบ บนคอกีต้าร์ อันนี้ก็ลองไปดูกัน มันเป็นเรื่องง่ายๆที่คนมักมองข้ามนะ ง่ายมากๆ แล้วเวลามันจะมา มาเองเลยนะ เวลาโซโล่เนี่ยะมันไปได้หมดเลย  จิ้มตรงไหนก็โดน อีกอย่างที่เห็นเยอะมากเลย คือ Timing เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆเลย อย่างในเพลงนึงเนี่ยะ ใน 1 ตกเนี่ยะทุกคนไม่เหมือนกันนะ  ถ้าสมมุติเรานับกันเนี่ยะ ทุกคนจะเหลือมกันนะ เขาทำวิจัยมาหมดแล้ว มันจะมี 3 ตกใน 1 downbeat  อันนี้เป็นเรื่องของทฤษฎี แล้วถ้าทุกคนเล่นแล้วตบไม่ตรงกันเนี่ยะ ถูกโน็ตแต่คนละกรู๊ฟ แล้วที่ไม่เหมือนกันมันเพราะอะไร  แต่ไอ้ตก 3 ตกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะ  บางทีเราเล่นกับเมทรอโนมมันก็ตรงนะ แต่ทำไมฟิลมันไม่ได้ สวิงก็ไม่สวิง หรือฟังก์ก็ไม่ฟังก์ มันต้องทำความเข้าใจนะ ว่าเพราะอะไร  บางทีการเล่นเป็นวงเนี่ยะ  เปิดเมโทรนอมแล้วมันเล่นไม่ตรงกันทั้งวง แต่ว่าแม่งฟังแล้วมันกรู๊ฟเนี่ยะ ในเชิงดนตรีนะ ผมโอเคเลย แต่ข้อนี้ไม่รู้ใครถูกใครผิด ถ้าฟังแบบรวมๆแล้วมันได้  มันก็ได้


any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket