
อีกหนึ่งวงดนตรีที่มากไปด้วยฝีมือพร้อมพ่วงด้วยตำแหน่งตัวแทนประเทศไทยในงาน GBOB วันนี้พวกเขามาพร้อมกับอัลบั้มชุดแรก ที่จัดจ้านไปด้วยลูกเล่นอย่างมากมาย วันนี้เราลองมาทำความรู้จักพวกเขามากขึ้นกับ 4 หนุ่มแห่ง Area 51
GT : AREA 51 เริ่มต้นมาได้ไง
หนึ่ง: เริ่มต้นคือจะเป็น ผมกับหนุ่ม คือจะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ ปวช. ที่เซนต์จอห์น ก็จะเป็นพวกแก๊งค์ฟังเพลงสากล พอจบมาผมก็เปลี่ยนเส้นทางมาเรียนดนตรีที่สวนสุนันทา หนุ่มยังเรียนศิลป์เหมือนเดิม ผมก็เรียนจนจบช่วงปลายของปี 4 แล้วก็มาประกวด overdrive guitar contest แล้วก็ชนะเลิศ พอดีพี่โอมก็ดึงเข้าไปทำงาน ใน RPG อยู่ช่วงนึง แต่โปรเจ็กนี้ก็ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆ ก็มีทำเพลงไปบ้างเรื่อยๆ แต่มันก็นานจนเราลืม คือผมก็ทำงานเพลง ตอนนั้นก็ไปทัวร์กับปาล์มมี่อะไรไปเรื่อย จนซักพักก็มานั่งมองว่าจะสามสิบแล้วโว้ย (หัวเราะ) ถ้าไม่ทำ มันก็จะไปออกหลังสามสิบ หรือออกตอน 32 มันก็จะเป็นวง 30 หมดเลยอะไรอย่างนี้ ก็รีบทำก่อนดีกว่า ก่อนที่จะกลายเป็นคนแก่ไปมากกว่านี้ ก็เลยเริ่มขุดโปรเจ็กนี้ขึ้นมาทำ และก็เอาคิดจากเดิมที่จะมีสมาชิก เป็นวงเล่น 3 ชิ้นกับร้อง ก็เริ่มดูชื่อสมาชิก เบสกับกลอง แล้วก็ลองโทรพุดคุยทรรศนะคติ คือคนเก่งบ้านเราเยอะนะครับ แต่จะหาคนที่มีความคิดไปทางเดียวกัน มีใจที่กล้าที่จะตัดสินใจ ก็หาอยู่นานเหมือนกันนะ เป็นปีเลย เกือบสองปีได้ หลังจากที่ตัดสินใจว่าต้องทำซักที ก็บิ๊กเป็นคนแรกที่ตอบรับ และก็เป็นคนแรกๆที่คุย แต่เขาก็ยังติดกับวงเก่าอยู่ ต้องให้เขาเล่าต่อ
บิ๊ก : ก็คือตอนนั้นผมเล่นเป็นแบ็กอัพอยู่อาร์เอส แล้วก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่ที่อาร์เอสด้วยที่จันเกษมด้วย คือศิษย์เก่าเขาเรียกไปสอน ก็มีวงที่เล่นกลางคืน ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ตอบตกลงเขาไป แล้วมาคิดอีกที ก็คือวงที่เล่นอยู่ด้วยมันก็ได้แค่นั้น คือตัวเราก็จะพัฒนาไปได้ไม่มากแล้วก็เลยมาคุยกับหนุ่มอีกที
หนึ่ง:: จริงๆก็เจอกันตลอดครับ ส่วน เส็ง เขาจะเป็นเพื่อนคริสเตียนกับผม คือเล่นดนตรีใน โบส์ถ แล้วเขาจะเป็นคนทำเพลงด้วย แล้วก็ตีกลองอยู่ใน RPG อยู่ในส่วนที่ตีอัดให้ MR.Team ,ปาล์มมี่ ,ตุ้ย ธีรภัทธ์ ,พี่เบิร์ด ก็พูดคุยกับเส็งไปช่วงแรกๆ แล้วเส็งก็ตอบรับแล้ว แต่พอดีติดช่วงที่พี่โอมออกจากแกรมมี่มาตั้ง Craftman ก็ตอนนั้นมือกลองก็เปลี่ยนเป็นอีกคน ที่ไปตีแข่ง GBOB ด้วยกัน ก็มารวมวงกัน แล้วก็ลองเล่นกลองคืน อืม..เล่นได้ประมาณเกือบปี ก็มีงานประกวด GBOB เข้ามา แต่งานอัลบั้มก็ทำไปเรื่อยๆ ก็มาสนใจงาน GBOB เพราะมันไม่เคยมีใครทำอย่างนี้ ที่ไปประกวดแชมป์โลก คนที่ได้ไปก็เหมือนเป็นทีมชาติ แล้วทุกคนก็ตกลงกันว่าน่าลอง ก็เลยลงประกวด ก็ไปเอาเพลงที่อยู่ใน List ทีทำไว้อยู่แล้ว เอามาใช้ ประกวดแล้วก็เอามาแต่ง ปรับเปลี่ยนเข้าไป พอลงประกวดแล้ว ก็ชนะเลิศ
GT : ชื่อ Area 51 มาจากไหน
เอ่อ .. Area 51 มันเป็นชื่อพื้นที่ 51 ใน รัฐ Nevada ของ อเมริกา ที่เขาลือกันว่า ฐานทัพนี้เป็นที่ใช้ทดลองสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก เราก็เลยรู้สึกว่าเราเป็นนักดนตรีที่เป็นนักทดลอง คือจะชอบเล่นในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เล่น ชอบคิดในสิ่งที่คนอื่นไม่คิด มันเหมือนการทดลองทางด้านดนตรี และไอ้ตัวฐานของ Area 51 เนี่ยะคนมันสงสัย แต่เขาก็ไม่ให้เข้า เลยเหมือนกับที่อยากให้แฟนเพลงของเราที่ฟัง อยากให้รู้สึกน่าค้นหา
GT : พอมารวมตัวกันแล้ว เริ่มต้นซ้อม มีการนำเพลงค้นอื่นมาเล่น คัพเวอร์กันหรือเปล่า
หนึ่ง: วงนี้จะมีแรงบัลดาลใจมาจากหลายวงมาก ทั้ง Incubus, Red Hot ,Velvet Revolver ,Audio Slave อะไรพวกนี้
หนุ่ม : หรือถ้าพวกอยู่ในอเมริกาเช่น Bon Jovi หรือ วงสมัยใหม่ อย่าง Story Of The Year เราก็เอามาเล่น
หนึ่ง: เพราะตอนที่เล่นกลางคืนมันก็จะมีเพลงพวกนี้ผสมอยู่ครึ่งๆกัน และจะมีเพลงไทยที่ตามกระแสนิยมที่คนเขาชอบกัน เราก็จะเลือกเพลงที่มันเหมาะกับเรา และก็ดูไม่ขัด เป็นเพลงเก่าที่มีความขลัง แต่เราก็นำมารื้อดนตรีแล้วทำใหม่หมดเลย ให้เป็นแบบ Area 51 เท่านั้น
GT : พอฟอร์มวงขึ้นมาเพื่อเล่นกลางคืน ได้มีการลองเอาเพลงตัวเองเข้าไปเล่นหรือเปล่า
หนึ่ง: เคยมี อย่างครั้งแรกที่อัลบั้ม Butterfly Revolution ออกมา เพราะเราคู่กันที่นำมาคัพเว่อร์ใหม่ พอนำไปเล่นวันแรกปุ๊ป อย่างแรกที่เห็นก็คือ คนบ้านเราไม่นิยมที่ไม่ฟังเพลงที่ไม่รู้จัก ไม่ค่อยอยากจะเรียนรู้ในสิ่งแปลกใหม่ คือแบบว่า ” มาเพื่อมาเมาแล้วสนุกแล้วอยากจะได้ยินในสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย แต่จะไม่ค่อยอินกับอะไรที่แปลกใหม่ แต่มีนะ แต่ก็เป็นส่วนน้อย “ และหลังจากวันนั้นก็เปลี่ยน เพราะโดนด่าเละเลย (หัวเราะทั้งวง) ก็พยายามปรับตัวใหม่ ไม่ให้น่าเกลียดก็ค่อยๆทำ
GT : โดนด่า นี่คือ จากที่ร้าน
หนึ่ง: ใช่ !! จากที่ร้านและคนดู คนไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องเรียกว่าต้องขอเพลงตลาดมากกว่านี้นะ
บิ๊ก : คนดูมี 2 ประเภทครับ ถ้าไม่ชอบวงเราก็จะเกลียดวงเราไปเลยครับ (หัวเราะทั้งวง)
GT : ตรงนี้มันมีผลกับเรา แบบขัดความรู้สึกเรามากเลย กับการที่ต้องโดนบังคับหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เราชอบ และอยากทำ
หนุ่ม : ผมว่าไม่นะ เราต้องพยายามเข้าใจว่าคนกลุ่มนั้นเป็นยังไง
บิ๊ก : มันปรับได้ครับ ผมเชื่อว่าบางทีมันมีซิกแซ็กได้ครับ ถ้าเราเกิดลืมตัวเองแล้วหลงไปเล่นอย่างนั้นมากๆ เพลงสมัยใหม่ มันก็จะเป็นแบบนั้นกันทุกวงเลย
หนึ่ง : ผมเชื่อว่า การเล่นในสิ่งที่ตัวเองชอบมันง่ายมากครับ มันไม่มีด้านลบมาค้านเรา เราไม่ต้องแก้ไขอะไร แต่มองอีกมุม มันคือ ประเทศเรามันเป็นแบบนี้ ธรรมชาติบ้านเรามันเป็นแบบนี้ คือเราก็อยากจะอยู่กับมันอย่างมีความสุขแบบ มันก็ครึ่งๆ ไม่ใช่ว่าเราทิ้งจิตวิญญาณจนหายไปหมดเลย คือเราเป็นอย่างนี้ และก็ปรับตัวให้คุณเข้าใจในตัวเราด้วย ผมว่ามันท้าทายกว่า
GT : พอหลังจากที่รวมตัวและเริ่มเล่นกลางคืนแล้ว ทางวงหันมาทำเพลงกัน มีวิธีการทำเพลงกันอย่างไร
หนึ่ง : เออ ..ขั้นแรกเลย เราจะพูดคุยกันก่อน พอรวมวงแล้วเนี่ยะ คุยถึงเรื่องสไตล์เพลงจะเป็นแบบไหน แนวทาง สีของดนตรีจะเป็นแบบไหน จัดจ้านขนาดไหน แล้วเข็มข้นขนาดไหน แล้วก็เริ่มทำโครงของแต่ละเพลง ว่าจะมีเพลงเร็วอะไรอย่างไง และจะเร็วประมาณไหน เร็วกี่เพลง ปานกลางกี่เพลง หนักเบายังไง แล้วก็เอาเพลงนั้นมาส่งต่อให้เพื่อนในวงฟัง เอาไม่เอา ดีไม่ดี และเอา ทุกคนก็จะเริ่มไปทำการบ้านของแต่ละคนต่อ แล้วก็มาดูว่าท่อนไหนสวยหรือยังไง ดนตรีดีเมโลดีไม่ดี ก็แก้ใหม่ อะไรอย่างนี้
GT : ส่วนใหญ่นี่เริ่มต้นจากหนึ่งเลย ที่วางคอร์ดเมโลดีหรือโครงสร้างมาก่อน
หนึ่ง : ใช่ … ผมจะเริ่มทำมาก่อนในคอม ใส่กลองอะไรมาเลย แล้วก็ให้คนอื่นคิดต่อ ก็คือเป็นไกด์มาให้ดีประมาณนึง ให้เห็นสีสรรว่ามันจะไปทางไหน
GT : แล้วก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆ
หนึ่ง : ใช่ ครับ แม้กระทั่ง อย่างชุดนี้เข้าห้องอัด อัดไปแล้ว กำลังตีกลองอัดอยู่ ก็เปลี่ยนท่อน ณ ตอนนั้น เพราะมันดันไปตีอะไรซักอย่างแล้ว โปรดิวเซอร์ก็เก็ท ก็เปลี่ยน (หัวเราะ) มันจะเกิดอะไรอย่างนี้ขึ้น ตลอดเวลา
GT : แล้วในส่วนของเนื้อร้อง
หนึ่ง : เนื้อร้อง จริงๆแล้ววงเราเป็นวงที่ทำดนตรีอย่างเดียวเลย จะไม่ค่อยเชี่ยวชาญทางด้านเนื้อร้องเท่าไหร่ แต่เราจะมีก็คือมุมมอง ในเนื้อเพลงแต่ละเพลงว่าจะวางยังไง ก็จะคุยกับโปรดิวเซอร์ พี่ฟั้น แต่ละเพลงมุมควรจะเป็นยังไง ก็จะคุยกันว่าตรงนี้เป็นยังไง เรื่องไหนที่จะพูดได้บ้าง เพราะวงมันดูมีพลัง มีความเป็นตัวจริงทำงานกันจริงๆ มีเหตุมีผลเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่อง fake เราก็จะเอาทั้งหมดเนี้ยะไปสื่อสารกับทีมทำเพลงว่าแต่ละเพลงจะเป็นยังไง มันน่าจะพูดเกี่ยวกับจินตนาการและความเชื่อ หรือเพลงนี้เกี่ยวกับความรัก หรืออกหักแต่แบบผู้ชายที่มีศักดิ์ศรีนะ ไม่ใช่อกหักแล้วยอมแพ้ แล้วเขาจะเอาตรงนี้ไม่คิดต่อ
GT : หลังจากที่ทำออกมาแล้ว จุดนี้ทางวงเอาอะไรเป็นตัววัดว่าพอใจกับมันและจะไม่แก้มันอีก
หนึ่ง : หลักๆเลยคือ วงกับโปรดิวเซอร์ครับ
บิ๊ก : ใช่ ๆ
หนึ่ง : เราก็ฟันธงประมาณนึง เราค่อนข้างพอใจกับงานชิ้นนี้ แต่คิดว่ามันแก้ไขมาจนสมบูรณ์ที่สุดแล้ว แต่ก็จะมีการพัฒนาการขึ้นในทุกชุดอยู่แล้ว คือชุดหน้าก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือดีไม่ดี คือเราไม่รู้ว่าคนข้างจะตอบรับเรา เราอาจคิดว่าดีแต่มันอาจไม่ดีในสายตาคนอื่นก็ได้ อะไรอย่างนี้ ก็จะเอาข้อมูลตรงนั้นมาแก้ไข และก็จะดีขึ้นทั้งเนื้อร้อง การร้อง การเล่น และเรื่องซาวด์ด้วย
GT : ได้มีการทดลองอะไรใหม่ๆและแปลกๆในเพลงหรือเปล่า หรือแนะนำเลยว่าเพลงนี้น่าลองฟัง
หนึ่ง : เอ่อ .. มันจะมีอย่างเพลง เดินบนน้ำ คือเนื้อเพลงเนี่ยะ มันจะพูดถึงเรื่องความเชื่อ มันเป็นเพลงแบบเมทัลที่ผสมออกมา คือมันจะมีทั้งหนักและเบา ซึ่งมันถูกปรับแก้หลายเวอร์ชั่นมาก แม้กระทั่งเนื้อร้อง มันจะพูดถึงเรื่องความเชื่อที่ว่า “ไอ้การที่คนเราเนี่ยะ มันจะเดินอยู่บนน้ำ มันทำไม่ได้ไงครับ แต่มองมุมหนึ่งคืออย่างบางที่เพลงไทยในสไตล์นี้ ๆ ที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก แต่มันก็เป็นไปได้ ถ้าเราเชื่อและมีเหตุมีผลและความพยายามพอที่จะฝ่าฟัน มันไปได้”
GT : ที่นี้ในส่วนของไลด์แต่ละไลด์ในแต่ละเพลงที่วง คือปล่อยอิสระกันเลย
หนึ่ง : ใช่ครับ ปล่อยเลย
GT : แต่ทั้งหมดพอคิดมาแล้ว ต้องเอามาถามทางวงด้วยหรือเปล่า
หนึ่ง : ใช่ครับ แม้แต่ไลด์กีต้าร์ของผมเองเนี่ยะ ผมจะไม่กำหนดว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ บางทีหนุ่มก็จะบอกว่ามันจืดไปหน่อย ก็เปลี่ยน น่าจะใส่แอ็ฟเฟ็คอันนั้นอันนี้ ผมก็จะเอาข้อมูลจากเพื่อนๆมา แล้วบิ๊กก็จะไปฟังต่อว่าเบสเพลงนี้ๆ ควรเป็นยังไง หรือว่าบางเพลงผมคิดเบสได้ประมาณนึง ผมก็จะส่งต่อให้ เพราะมันยังจืดๆอยู่ แล้วเขาก็จะไปคิดของเขามาต่อ
GT : มีเพลงไหนที่เราคิดว่า เป็นเพลงที่เราโชว์ได้อย่างเต็มที่
หนึ่ง : โชว์เต็มที่เลยก็มี ของมันร้อนกับทฤษฎีหมาดำครับ ก็คือสองแทร็คแรกในชุด มันจะมีความเข้มข้นทางดนตรีสูงที่สุด อืม.. แล้วก็จะมีอีกเพลงที่เป็นเพลงโบนัสใช้ประกวด GBOB เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
GT : อย่างเพลงในยุคนี้ ส่วนใหญ่เลยคือจะไม่ค่อยมีการโชว์ในเรื่องของโซโล่ แต่ AREA กลับทำออกมาเหมือนย้อนกลับไปยุคหนึ่ง มีกีต้าร์โซโล่เต็มที่ และด้วยการเป็นมือกีต้าร์คนเดียวเนี่ยะ มันต้องมีการอัด Overdub ซ้อนหลายไลด์ ตรงนี้มีการคิดเผื่อถึงตอนเล่นสดยังไง
หนึ่ง : เอ่อ.. จริงๆแล้ว ทุกเพลงที่ทำ จะคิดถึงตอนเล่นสด ก่อนเป็นอันดับแรกเลย ว่าเราสามารถเล่นมันได้จริงหรือเปล่า หรือว่า ถ้าเกิดว่าในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีอย่าง MD อะไรอย่างนี้ มันจะต้องเปิดขนาดไหน อย่างงเช่นเปิดแค่เสียงสตริง เสียงกีต้าร์คลอในบางเพลง ที่มันพอจะเป็นสีสัน แต่มันก็จะน้อยมาก ที่จะมันต้องเปิด มีประมาณ… 3 เพลงได้มั๊ง ซึ่งตรงนี้ฝรั่งมันก็ทำ ไม่งั้นก็ต้องไปจ้างวงออเคสตร้า ซึ่งมันไม่จำเป็นสำหรับสมัยนี้ เพราะเราเล่นสดมันก็จะต่างจากแผ่นในห้องอัดอยู่แล้ว ไม่งั้นก็ไปฟังในซีดีดีกว่า ทุกคนก็ต้องทำงานหนักขึ้นเวลาเล่นสด
GT : แล้วกับการเล่นสด นี่มีเรื่องของการอิมโพรไวส์เข้ามาใช้ด้วยหรือเปล่า
หนึ่ง : อืม…ก็ กับเพลงของเราเนี่ยะ จริงๆแล้วมันมีแต่จะเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ล้นนะ คือมันจะมีการเปลี่ยนแปลงนิดๆหน่อยๆ
บิ๊ก : ตามฟิลมากกว่า เรื่องพวกนี้ คือเวลาอัดเสียงกับเล่นสด นี่มันจะคนละเรื่องกัน อย่างบางทีเราอัดเสียงเนี่ยะ มันต้องอยู่ในกรอบมากกว่า เล่นเยอะแล้วกวนร้อง แต่พอไปเล่นสดเนี่ยะมันไม่กวนอยู่แล้ว เพราะว่ามันมีลีลามีอะไร
GT : แล้วอย่างสมมุติว่ามีเด็กคนนึง อยากดูไลด์โซโล่ เพลงๆนึงของวง เนี่ยะเวลาเล่นจริง จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่าในการเล่นสด
หนึ่ง : เอ่อ..ผมจะฟิกในส่วนที่มันต้องฟิกจริงๆ คือตรงที่มันถูกดีไซด์มาว่าให้มันเป็นอย่างนี้ มันก็จะไม่เปลี่ยน ส่วนตรงไหนที่มันดิ้นได้ก็จะดิ้น เพราะไม่งั้นมันเบื่อครับ เวลาเล่นสดและต้องเล่นเยอะๆ เล่นเพลงเดิมๆ เยอะๆซัก 20 โชว์อย่างนี้ มันก็เหมือนกับกินข้าวเหมือนเดิมทุกมื้อ เพราะมันจะมีแบบ ไม่ได้เล่นเพลงของเราทุกครั้ง อาจจะเป็นเพลงคัฟเวอร์ที่เราเอามาทำ
GT : หลังจากอัลบั้มวางแผงไปเรียบร้อยแล้ว เสียงตอบรับกลับมาเป็นยังไงบ้าง
หนึ่ง : ฟีตแบ็กที่กลับมาเนี่ยะ พอดีเราไม่ได้เป็นค่ายที่ใหญ่อะไรมาก เพราะฉะนั้นการโปรโมตก็สู้ค่ายใหญ่ไม่ได้ สิ่งที่เราจะสู้ได้ก็คือการไปเล่นสด ฟีตแบ็กมันค่อนข้างจะเดินไปอย่างคงทีนะ อาจจะไม่ใช่เด้งขึ้นมาแบบทุกคนรู้จักชื่อนี้ มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการสะสม และเป็นสิ่งที่วงคิดอยู่แล้ว คือเราทำงานตรงนี้มานาน เคยทำงานให้ศิลปินดังๆก็มีไปยืนเล่นกับเขาก็ไปมาแล้ว เราอยากทำตรงนี้ไห้ออกมาแล้วให้มันอยู่นานๆ เหมือนกับเรากำลังสร้างฐานให้พวกเรายืน และมีแฟนเพลงที่เกาะกลุ่มกับเราชัดเจน และเห็นการพัฒนาการของวง แล้วเชื่อมั่นในวงและศรัทธาในวงมากขึ้นๆในแต่ละชุด มากกว่าจะเป็นวัยรุ่นร้อนวิชาแล้วมาออกเทป
GT : แล้วหลังจากนี้จะมีเล่นโชว์ที่ไหนยังไงบ้าง
หนึ่ง : จริงๆแล้วเราออกไปเล่นตั้งแต่ก่อนอัลบั้มจะวางนะ มีเล่นภูเก็ต เล่นแคมปัสนิดๆหน่อยๆ หลังจากนี้ก็จะมีแคมปัสหรืองานตามผับบ้าง
GT : แล้วมีการวางโครงการทัวร์อย่างหรือเปล่า
หนึ่ง : มีครับ วางยาวเลย เราจะเล่นไม่ต่ำกว่า 200 โชว์ อาจจะเป็นแคมปัส ซัก 80 ตามผับซัก 60
บิ๊ก : เปิดเทอมได้เจอกันยาวแน่นอนครับ
GT : ย้อนกลับมาพูดถึงการทำเพลง อัลบั้มชุดนี้ใช้เวลาในการทำนานแค่ไหน
หนึ่ง : ชุดนี้ ถ้าเอาเนื้อๆจริงๆประมาณ 3 ปีครับ ตั้งแต่รวมตัวกันมาครับและทำเพลงอย่างซีเรียส คัดเพลงจากประมาณซัก 40 เพลงได้ จนมาเหลือที่ 14 แทร็ค จะมีโบนัสแทร็กที่เป็นบรรเลงด้วย แบบคนธรรมดาฟังเข้าใจ นักดนตรีฟังแล้วชอบ
GT : แล้วกับในส่วนของกีต้าร์ในอัลบั้มชุดนี้ ดูเหมือนว่าได้อิทธิพลจาก Nuno มาเยอะเหมือนกัน
หนึ่ง : กับชุดนี้ พอสมควรครับ คือเป็นวง 3 ชิ้น แล้วเราเป็นวงฟั้งก์ร็อก แล้วคาเร็กเตอร์ของฟั้งก์เนี่ยะมันจะถูกบิดได้น้อยมากเลย ถ้าแบบ Nuno นี่ก็คือ Fishbone เลย แต่ทีนี้ Nuno ใส่ความเป็นเมตัลเข้าไป ก็เลยออกมาอย่างนั้น แล้วก็หวือหวากว่า แต่ผมไม่ได้หวือหวาขนาด Nuno แล้วซาวด์กีต้าร์ผมก็ไม่ได้เหมือนกับ Nuno แต่ก็มีอิทธิผลกับผม เหมือนกับที่ Eric Johnson มีอิทธิผลต่อผม
GT : มีการแกะเพลงคนอื่นมา แล้วมาลองปรับเปลี่ยนและทดลองกับเพลงของวงหรือเปล่า
หนึ่ง : มีบ้างแต่ส่วนใหญ่มันคือเรื่องของอิทธิผลครับ แต่ไม่ใช่ถึงขนาดว่าไปลอกยกท่อน เช่นไอเดียแบบนี้มันเวิร์ค ก็เอาลักษณะการคิดของเขามา เช่นเบสเล่นเยอะ กีต้าร์เล่นน้อย เราก็ลองเอามาใช้ดูตามความเหมาะสม
GT : พองานเสร็จเรามีความคาดหวังจากคนฟังไว้อย่างไงบ้าง
หนึ่ง : ก็คาดหวังไว้ประมาณนึง คือไม่ได้หวังว่าชุดนี้มันจะดังเปรี้ยงอยู่แล้ว เราค่อนข้างหวังกับการออกไปเล่นโชว์ และมองว่าเราเป็นวงที่สามารถแตะต้องได้ ไม่ต้องการเป็นแบบซุปเปอร์สตาร์ คือสามารถเข้าถึงเราได้ทุกๆคน แบบเป็นนักดนตรีที่ติดดินครับ คือรักที่จะเล่นดนตรีและจริงจังกับมัน
GT : แล้วมีการวางแผนกันหรือยังว่า ในการเล่นโชว์จะมีอะไรพิเศษๆให้คนได้ดูกัน
หนึ่ง : ความพิเศษของ AREA 51 คือการเล่นสดอยู่แล้ว อันนี้ต้องบอกเลยว่าต้องมาดูครับ คือฟังในซีดียังไงเล่นสดออกมาอย่างนั้นหรือมากกว่าแน่นอน เราไม่มีการแสร้งทำเป็นเก่ง
GT : แล้วสำหรับการโชว์อย่าง เบสโซโล่ กีต้าร์ กลองโซโล่
หนึ่ง : มีครับ มีแน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างหยุดหมด แล้วเหลือกีต้าร์นะ อย่างนั้นมันจะเริ่มเชย
GT : แต่มีแน่นอน
หนึ่ง : มีครับ เพราะมีขอมาทุกโชว์ (หัวเราะ)
GT : เริ่มมีการซ้อมและเตรียมตัวกันหรือยัง
หนึ่ง : มีครับ เราซ้อมกันค่อนข้างโหดเหมือนกัน คือมีทั้งซ้อมเพื่อเล่นและสำหรับการแสดง คือง่ายๆเลย คือเห็นวงฝรั่งมันทำยังไง วงไทยมันก็ทำได้ คือเวลาเราเล่นฝรั่งก็สามารถกระโดดไปกับเราได้เหมือนกัน
GT : ทุกวันนี้มีวิธีซ้อมกันยังไงครับ เอาแต่ละคนก่อนก็ได้
หนุ่ม : เอาซ้อมส่วนตัวจากบ้านเลย อย่างของผม ตื่นมา ก็ร้องเพลงตัวเองมั่ง ร้องเพลงฝรั่งบ้างอะไรอย่างนี้ ทุกวันครับ ก็จะมีออกกำลังกาย
หนึ่ง : ใช่ออกกำลังกายนี่จำเป็นกับ หนุ่ม มาก เพราะเราไม่ใช่วงที่ยืนเกาะไมค์แล้วร้อง (หัวเราะ) แล้วเราก็จะดุเดือดเลือดพล่านทั้งวง ดังนั้นร่างกายสำคัญที่สุด
เส็ง : ผมก็จะซ้อมแบบ สร้างความแข็งแรงของแขนและขา ก็จะชั่วโมงนึงขึ้นไป ก็แล้วแต่ว่ามีเวลามากน้อยแค่ไหนต่อวัน แล้วก็พยายามหาอะไรใหม่ๆมาซ้อมทุกวัน
บิ๊ก : ของผมนี่ตื่นเช้าก็เล่นก่อน แล้วก็อีกที่คือก่อนนอน
หนึ่ง : จริงๆก็คล้ายๆ เพื่อนครับ ก็แบ่งเวลาจากงานปกติ แต่ทุกวันนี้ถ้าหยิบกีต้าร์ขึ้นมา ก็จะไม่ค่อยมานั่งปั่น lick คือถ้าซ้อมก็ซ้อมแค่ให้อยู่ตัว แล้วก็เน้นไปที่เรื่องของการแต่เพลงและคิดอะไรใหม่ๆเข้าไปในการเล่น มากกว่าการปั่น 16th โน้ต หรือ 3 พยางค์
GT : แล้วในส่วนของการซ้อมกับวง
หนึ่ง : อย่างแรกเลยคือ มันเป็นเรื่องของการครีเอทีพในการเล่นที่มารวมกัน อย่างแรกคือพวกเบสิค ทักษะทั้งหลาย เข้ากันหรือยัง timing ความคงที่ ความชัดเจน ความสะอาด ยังไง และก็เรื่องของการ perform ครับว่าจะเคลื่อนไหวยังไง ซ้อมก็เอากระจกมาตั้ง กลองตีท่าสวยไม่สวย คือทุกอย่างจำเป็นหมด กีต้าร์ท่าเท่ห์ไม่เท่ห์ เบสอ้วนก็เท่ห์ได้ บิ๊กก็จะครีเอทท่าของเขา ร้องจะอยู่ยังไง แล้วกีต้าร์จะไปอยู่ตรงไหนเวลาร้อง แต่ไม่ถึงกับขนาด โซโล่ป๊าปเดี๋ยวมึงมาเจอกันตรงนี้นะ (หัวเราะ)
บิ๊ก : แล้วก็เพลงนี้ต่อเพลงนี้
GT : ตอนนี้ซ้อมกันเยอะหรือเปล่า
หนึ่ง : ก็เริ่มเยอะขึ้น เพราะตารางทัวร์มันเริ่มจะมาแล้ว
บิ๊ก : แล้วก็อีกอย่างเรื่องของซาวด์ ที่จะต้องดูด้วยครับ
GT : อืม ที่นี้พอบิ๊กพูดถึงเรื่องซาวด์ ด้วยความเป็นวง 3 ชิ้น มีการจัดการเรื่องนี้ยังไง
หนึ่ง : อย่างแรกคือ มันต้องออกมาจากคนเล่นก่อน ความหนาความสะอาดต้องมาจากคนเล่น แล้วก้เครื่องมือก้เป็นเรื่องที่สำคัญ พอ 3ชิ้น ความหนาต้องมาเป็นอันดับแรก ผมเองก็ต้องปรับเปลี่ยน กับวงนี้มันเป็นพระเอกทุกชิ้นเลย ก็จะมีปรึกษากันเวลาซ้อม ไอ้บิ๊กก็จะแบบว่า เสียงเบสแม่ง ไม่ใหญ่พอวะ (หัวเราะทั้งวง) ทำไงดีวะ ก็หาเอ็ฟเฟ็กมาใช้ ก็ช่วยๆกัน หรือผม ก็จะแบบ เฮ้ยเสียงกีต้าร์กูเป็นไงบ้างวะ แม่งบางวะ อะไรอย่างย่างนี้ คือทุกอย่างมันจะมีผลต่อกันและกัน แม้แต่ว่าใครเกิดป่วยขึ้นมาคนนึง มันจะเห็นผลทันทีเลย
GT : แล้วในส่วนของริทึ่ม ของเบสกับกลอง ตรงนี้มีการปรับให้เป็นยังไง เบสปรับให้ทุ้มหรือเปล่า
บิ๊ก : อย่างเบสเนี่ยะ ผมจะเป็นคนชอบเล่นอะไรที่มันชัดๆ พอชัดแล้วก็อย่างที่พี่พูดครับ จะทุ้มจะบวมก็ได้ ไม่น่าเกลียด แต่ถ้าคนเล่นไม่ชัด นิดเดียวก็บวมแล้ว
หนึ่ง : มันมาจากนิ้ว คำนิยามของเขาเลยครับ (หัวเราะทั้งวง)
บิ๊ก : มันอยู่ที่การคอนโทรล เวลากระเดื่องกับเบสเล่นมันจะต้องออกมาน้ำหนักเดียวกัน กระเดื่องกับเบสมันต้องพอดีกัน
หนึ่ง : วงเราเป็นวงที่เล่นค่อนข้างเยอะ ความหนาแน่นตัวดนตรีค่อนข้างจะเยอะ แต่ว่ามันจะไม่ทับนักร้อง
GT : เคยมีปัญหากับการเล่นที่ซาวด์มันไม่ได้ซักที โดยเฉพาะวง 3 ชิ้น เช่นเซ็ทเอาไว้ตั้งแต่แรก แล้วด้วยปัจจัยหลายๆอย่างตามมา พอเล่นจริงมันไม่ได้อย่างนั้น แล้วมีวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายังไง
หนึ่ง : คือความไม่คงที่
บิ๊ก : เอ่อ .. อันนั้นคงต้องทำใจครับ (หัวเราะทั้งวง)
หนึ่ง : มันเป็นเรื่องธรรมชาติครับ คือเครื่องไม้เครื่องมือของบ้านเรามันไม่ได้มาตราฐาน แบบฝรั่งซะส่วนมากซักเท่าไหร่ บางงานก็ดีจนใจหาย บางงานก็แย่จนแบบ แย่จริงๆ แล้วทุกอย่างมันจะมาจากการซ้อมอย่างเดียว และประสพการณ์ทั้งชีวิตเลย มันขุดขึ้นมาใช้ ณ นาทีนั้นเลย จริงๆครับ บางทีซ้อมในห้องซ้อม เครื่องดี อากาศดี ไม่มีคนดูกดดัน พอไปเจอเวที ที่มันเลวๆ ทุกอย่างมันหายหมดเลย บางทีเหมือนกับตีกลองอยู่คนเดียวเลย มันต้องจินตนาการเสียงกีต้าร์ มันหนักคือเราต้องจินตนาการถึงการเล่นของอีกคน
GT : ในเมื่อซาวด์ไม่ดี ที่ออกมา มันมีการสะท้อนถึงการเล่นของแต่ละคนหรือเปล่าแล้วเราทำยังไงกัน
หนึ่ง : อันนี้ เหมือนมีคำถามนึงกับผม ว่า ขึ้นเวทีแล้วไม่ตื่นเต้นต้องทำยังไง ผมตอบได้เลยครับ ไม่มีครับ อย่าพยายามปิดกั้นมัน ถ้าเราไม่เคยผ่านอะไรอย่างนี้มาก่อน มันจะหายไปเองถ้าเราได้เจอเวทีที่มันเลวๆ บ่อยๆ มันก็จะชินไปเอง (หัวเราะ)
บิ๊ก : มันเซ็ง แต่ก็ต้องเล่นครับ
หนึ่ง : คือถ้าคำแนะนำกับน้องๆ ก็คือ พยายามเล่นครับ เวทีจะเลวจะดียังไง ก็เล่นไปก่อน ก็จะได้ประสพการณ์ทั้งเลวและดีครับ และจะแก้ปัญหาได้ถูก
บิ๊ก : เวลาเจออย่างนี้ ก็จะกดเต็มที่เลย เปิดสุดครับ ต่างคนต่างกดครับ (หัวเราะทั้งวง)
หนึ่ง : ล่าสุดมีรายการนึงครับ ไอ้บิ๊กก็ของเทคอยู่ 3 เทค พอบางครั้งมันอึดอัดเราก็ต้องใช้สมาธิกับมันสูงมาก
GT : ตรงนี้มีโปรเจ็กต่อไปหรือเปล่าหลังจากอัลบั้มชุดนี้วางแล้ว
หนึ่ง : สำหรับตัวผมอาจจะมีอัลบั้มโซโล่ของผมเอง มันก็จะมีทั้งเพลงบรรเลงแล้วก็เพลงร้อง แล้วก็ส่วนใหญ่ก็จะเป็นทัวร์ของอัลบั้มนี้
GT : หนึ่งพูดถึงร้อง ตรงนี้ในงานชุดนี้ก็มีร้องด้วย แล้วการเล่นด้วยร้องด้วยสำหรับหนึ่ง ต้องมีการฝึกเพิ่มเติมมากน้อยแค่ไหน
หนึ่ง : มันก็เหมือนเป็นภาระอีกอย่างที่เพิ่มเข้ามา ต้องฝึกค่อนข้างหนักครับ เพราะกีต้าร์ในเพลงเนี่ยะมันไม่ใช่ริทึ่มธรรมดา (หัวเราะ) จากที่เคยสงสัยว่า ทำไม Sting เล่นด้วยร้องด้วยได้ John Mayer ทำยังไง ก็นั้นแหละครับ มาเจอกับตัวเองเลย ก็ต้องพยายามฝึกฝนแก้ปัญหาจากที่เคยอ่านๆมา ก็เล่นให้ช้าลงจะได้เห็นรายละเอียดและช่องว่างมากขึ้น แล้วก็ค่อยๆแก้ไข
GT : แล้วถ้าเป็นงานเดี่ยวของตัวเอง เราก็ยังเป็นคนร้องด้วย
หนึ่ง : ใช่และจะมี guest ที่เชิญมาร้องด้วย ที่คิดๆไว้
GT : ทำไปบ้างหรือยัง กับอัลบัมโซโล่
หนึ่ง : เอ่อ…เยอะแล้วครับ ตอนนี้ก็มีประมาณซัก 5 –6 เพลงแล้วก็ทำเท่าที่เวลาจะอำนวย
GT : แล้วในภาคที่เป็นเพลงบรรเลงจะออกมาเป็นยังไง
หนึ่ง : พอมาเป็นของผมเองก็จะมีสี ที่เป็นของผมเองชัดเจน คือมีความเป็น แจ็สร็อก มากกว่าเป็นฟั้งร็อก และก็มีกลิ่นฟิวชั่นและก็อาร์แอนด์บี คือจะไม่หนักอย่าง Area 51 จะเป็นอีกแบบนึง คือด้วยธรรมชาติของเสียงร้องผม มันจะไม่ร็อกขนาดหนุ่ม มันก็จะถูกปรับให้กลืนกันมากขึ้น
GT : มีคำถามนึงที่ผมเห็นในเว็ปคือ จะมีโอกาสไหมที่จะเห็นหนึ่งเล่นแบบ Eric Johnson อีกเหมือนอย่างที่เคยเล่นสมัย overdrive
หนึ่ง : อืม..น่าจะค่อนข้างใกล้มากกว่าครับ ผมเองก็ยังสรุปไม่ได้เลยว่ามันจะออกมาเป็นฟิวชั่นแบบไหน ตัวเองก็ยังจำกัดความมันไม่ค่อยถูก แต่คงไม่ถึงกับเป็น Eric Johnson ร้อยเปอร์เซ็นต์ เท่าที่คิดๆไว้มันจะมีความเป็นวาไรตี้ แต่มันก็จะเป็นความคิดของการทำงานจากคนๆนึงที่นำเสนอรูปแบบที่มันแตกต่าง
GT : แต่หลายๆคนเขายังติดภาพ หนึ่งตอน Overdrive ที่เล่นสำเนียง Eric Johnson
หนึ่ง : ผมก็พยายามหลีกเลี่ยงอยู่ครับพี่ นี่ขนาดตอนนี้ยังเป็น Nuno เลยครับ (หัวเราะ)
GT : แล้วกับงานชุดที่ 2 ของวง มีคิดไว้หรือยัง
หนึ่ง : ก็มีคิดไว้แล้วและแต่งไปแล้วครับ (หัวเราะ) คือเราคิดชุดสองไปด้วยในตอนทำชุดแรก แบบชุดแรกเหมือนปล่อยของและสร้างศรัทธา ไม่คาดหวังว่าจะเป็นวงที่ป็อปและนิยม พอชุดสองชุดสาม เราจะลดดีกรีความยากของเพลงลง แต่มีความลงตัว ของเพลงมากขึ้น มีความเป็นป็อปมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าฟังได้แค่สี่เพลงเป็นตลาดเสมอไป ความเข้มข้นดนตรีเท่าเดิม แต่ไม่เล่นเยอะเหมือนเดิม
GT : สไตล์แตกต่างจากเดิมไปเยอะไหม
หนึ่ง : เท่าที่คิดมันแตกต่างจากเดิม แต่คงไม่เยอะครับ มันแตกต่างแน่นอนและก็จะเห็นถึงพัฒนาการแน่นอน แต่จะไม่เปลี่ยนไปเป็นคนละวง
GT : แล้วอีกอย่างที่บอกว่า AREA 51 จะทำ tab อันนี้จริงไหม
หนึ่ง : จริงครับ มันเป็นสิ่งที่บริษัทและและโปรดิวเซอร์คิดไว้ว่าน่าจะทำ ซึ่งไม่เคยมีใครทำ ถ้าอยากให้ทำก็รีเควสเข้ามาเลยครับ และถ้ามันมีฟีตแบ็กทีดีก็น่าจะเป็นช่องทางให้วงอื่นๆ มันกล้าทำ เช่นอยากจะแกะโซโล่ของ Big Ass จังเลย แต่ไม่มีที่ถูกต้อง ก็จะได้มีซักทีครับ