Main Menu
 Home หน้าแรก
 login / สมาชิก
 BuyerBook
 รายการ TV
  คอร์ด / เนื้อเพลง
  วีดีโอ คลิป
  Webboard
  Classifieds
  ข่าวสารดนตรี
  Review & ทดสอบ
  งานคอนเสิร์ต
  บทความดนตรี
  Cools Links
  Artist Gear
 
  About Us

14692


 Interview :     บทสัมภาษณ์ วง Flure     2/28/2007    Acid head


GT :
Flure เริ่มต้นได้ยังไงครับ
เอิร์ท : ตอนแรกจะมีสี่คนก่อนก็จะมี เท็ดดี้,วิแล้วก็เอิร์ท  ก็จะเรียนสาธิตจุฬามาเหมือนกัน เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ป.1 แต่มาเริ่มเล่นดนตรีตอนม.1 แล้วก็พี่อ้นมือเบสเนี่ยะ จะเป็นรุ่นพี่
เท็ดดี้ : เป็นเพื่อนของพี่เอิร์ท ที่โรงเรียนเดียวกัน  
เอิร์ท : พวกเราก็จะเป็นเด็ก “กรั้น” ชอบพวก bush , nirvana ,smashing อะไรอย่างนี้  คนอื่นๆเขาก็จะ dream theater กัน แล้วเวลาก็ผ่านไป ก็มีโปรเจ็คของเท็ดดี้ที่จะทำเพลงเสนอพี่สุกี้
เท็ดดี้ : ช่วงนั้นก็มีการแยกๆออกไป ผมก็ทำวงไปส่งพี่สุกี้ ตอนนั้นเป็นวงนานาชาติเลย  ผู้หญิงเล่นเบส ร้องนำเป็นฝรั่ง แล้วเอิร์ทเป็นมือกลอง พอเข้าไป Bakery ปุ๊บก็เจอพี่เจอพี่สุกี้  เขาก็เปิดเพลงฟัง ฟังประมาณ 10 วินาที ก็ฟังแบบข้ามเพลงทั้งหมดเลย เราก็ตกใจ !! อะไรวะ ยังไม่ทันได้ฟังท่อน บริด ท่อนคอรัส อะไรเลย ทำไมจบแล้ว เขาก็บอกว่า เราไม่สนใจที่จะทำเพลงฝรั่ง แล้วก็ถีบผมออกมาจาก Bakery (หัวเราะ)  ผมก็ โห !! อะไรวะ  ตอนนั้นโกรธมาก ทำเพลงขึ้นมาแล้วไม่ได้อะไรซักอย่าง แต่มันก็คือผมเองแหละที่ไม่สนใจอะไรรอบข้าง คือทำเพลงที่ตัวเองอยากทำ อย่างเดียว ที่นี้ พอโดนถีบออกมา ก็เลยเริ่มใหม่ดีกว่า  คิดใหม่ว่าเป็นเพลงที่มีเราเยอะและก็ต้องสื่อสารให้คนอื่นๆฟังด้วย  ก็เลยไปชวนวิกลับมา ชวนวงเก่าที่อยู่สาธิตจุฬากลับมาทำเพลงไทยกัน ก็เข้าไปครั้งที่สอง ก็ดู ที่นี้ไม่กด skip แล้ว หลังจาก 10 วินาที
เอิร์ท : ตอนนั้นยังไม่มีนักร้องนะ
เท็ดดี้ : พี่เขาก็บอกชอบ ก็มาทำเพลงกันต่อ แล้วเราก็มาหาคนมาเพิ่มเรื่อยๆ
เอิร์ท : แล้วที่นี้ตอนที่ผมหานักร้อง ตอนนั้นเข้าไปเรียนจุฬาก็จะมี เพื่อนพวกจิตรดาอะไรอย่างนี้ คือพอดีผมมีโอกาสได้ไปบ้านเพื่อนคนหนึ่ง ก็ไปซ้อมดนตรีกัน ปากฎว่ามีไอ้บ้าคนนึงนั่งเงียบๆอยู่มุมห้อง อยู่ดีๆก็ตะโกน โวยวายอะไรไม่รู้ขึ้นมา อะไรอย่างนี้ พอดีเห็นว่ามีแวว ก็เลยลองให้มาออดิชั่นดู และก็ความจริงเพลงที่ได้ยินกันในอัลบั้มชุดแรกเนี่ยะมาจากเดโมเลยนะ มาตอนที่ร้องครั้งแรกเลย ใช้เยอะเหมือนกัน ก็แปลกดี  เพราะว่าพวกผมเล่นดนตรีกันมานานแล้ว ประมาณ 7-8 ปีแล้ว แล้วคนนี้เพิ่งมาเป็นคนใหม่ครับ แต่เขาเหมือนเป็นตัวที่จะช่วยประสานทุกอย่าง พวกเราเล่นดนตรี ไม่เคยแต่งเนื้อ ทุกอย่างมันจะมาจากดนตรีกันก่อน ไม่เคยคิดถึงเรื่องเนื้อก่อน

GT : แล้วกับไอเดียที่ทำแต่ละเพลงส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาได้ยังไง
เอิร์ท : แล้วแต่เพลงเลยครับ แต่ความแตกต่างของชุดหนึ่งและสองเนี่ยะมีเยอะเหมือนกัน เหมือนกับอัลบั้มหนึ่งเนี่ยะ เราจะซ้อมกันเยอะมาก พยายามจะทำวง พยามยามจะเซ็นสัญญากับค่าย แล้วก็ซ้อมกันแหลกเลยที่เนี้ยะ เพลงส่วนใหญ่ก็จะมาจากการแจมแล้วอัดเอาไว้  ส่วนชุดสองเนี่ยะทุกคนอาจจะต่างคนต่างยุ่ง ก็จะเริ่มใช้เทคโนโลยีมาช่วย ก็แต่งกันมาก่อนแล้วมาแจมกันอะไรอย่างนี้ แต่ว่าไอ้ตอนสุดท้ายเราก็อยากได้แบบความรู้สึกที่มันสด เพราะพี่สุกี้เคยบอกไว้ที่เซ็นสัญญามาก็เพราะ ชอบความสดตรงนี้ แล้วก็ความดิบของดนตรี เพราะฉะนั้นตอนที่เราทำอัลบั้มบั้มเราก็จะมาอยู่ในห้องนี้ทุกคนแล้วก็อัดสดเลย เพราะอยากจะเก็บอารมณ์ตรงนั้นเอาไว้
เท็ดดี้ : ทุกอย่างมันเร็วมากในการทำงาน เวลาประมาณ 6 เดือนหลังจากวันนั้นที่พี่สุกี้ฟังเพลง จนวันถึงออกอัลบั้ม แต่พอชุดสองเนี่ยะใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะออก ใช้เวลาร่วมสามปี ต่างคนต่างทำงาน ระหว่างนั้นก็เก็บเพลงไปเรื่อยๆ มีเวลากับเพลงเยอะ เราไม่ได้ทำแค่ 10 เพลง อย่างชุดแรกเราทำ ครบ10 เพลง แล้วก็ออกเลย  ชุดสองคือแบบว่าเก็บกันไป มันก็เกิน 10 เพลง ขั้นตอนมันเยอะ คิดมากขึ้น ซีเรียสมากขึ้น

GT : ในความเป็น Flure ทุกวันนี้ หากย้อนกลับไปแล้ว Flure ได้รับอิทธิพลและแรงบัลดาลใจจากวงไหนมากที่สุด
เท็ดดี้ : โห !! เยอะครับ เยอะ ผมกับวิมีอยู่แล้วครับ ชัดเจนมาก ผมเรียกว่าเป็นอาจารย์เลยนะ  ครูของผมมาเป็นอันดับหนึ่งคือ Billy Corgan ครับ เขามีหลายๆอย่างผสมอยู่ในตัวคนเดียว
วิ : ของผมก็คือยุคนั้นแหละครับ ยุค 90 ทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มฟังเพลง ตอนแรกก็จะหนักไปทางฝั่งอเมริกัน พวก sound garden ทางเบสก็จะมาจากพวกนั้นคือเล่นคลุมๆ ไม่เยอะมาก แล้วเราก็มาหาจุดยืนให้มันเข้ากับวงมากที่สุด ก็กลายมาเป็นแบบทุกวันนี้
เท็ดดี้ : แต่ละคนก็จะมีแนวทางที่ไม่เหมือนกัน แต่จะดึงๆออกมาอย่างละครึ่งนึงแล้วก็มาใส่เป็นอันหนึ่งอันเดียว

GT : ที่วงชอบนี่คือรวมถึง U2 ด้วยหรือเปล่า
เท็ดดี้ : อืม.. ผมชอบ The Edge ชอบซาวด์ คือถ้าเขาจะไปเล่นที่ไหนแต่ละทีเนี่ยะ ต้องใช้รถบรรทุกสิบล้อสองคันเลย คือเป็นเหมือนร้านขายเครื่องดนตรีเลย
เอิร์ท : แรกๆนี่ต้อง Kurt เลย
เท็ดดี้ : ตอนแรกผมชอบมากๆเลยนะ Nirvana ชอบไอเดียที่ใช้แค่ distortion ตัวสีส้ม กับ flanger
เอิร์ท : อิทธิพลตอนแรกๆเนี่ยะ เรา 3 คน ผม,วิแล้วก็ เท็ดดี้ เล่นแต่ Nirvana เลยนะ เล่นทุกเพลง อย่างผมอาจารย์กลองหลักๆก็คือ มือกลอง Pearl Jam ทุกคน  ล่าสุดได้ไปดูเขาเล่น พอเล่นเสร็จก็เดินออกมา แค่นี้ก็น้ำตาไหลแล้ว คือมันสุดยอดมากๆ แล้วอีกวงคือ sound garden ทุกวันนี้ยังซ้อมกับเพลงพวกนี้อยู่เลย แต่ถ้าจะหาอะไรที่มันต้องจูนกันลงมาตรงกลางทุกอย่างก็ต้อง Nirvana เนี่ยะแหละ หลายๆคนอาจจะว่าในเรื่องของ skill ซึ่งมันอาจจะขี้เกียจ แต่มันก็ชอบ มันเป็นการเอาอารมณ์เข้าแลก

GT : แล้วกับเพลงที่ทำออกมา มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างไร ว่าใครต้องทำอะไร
วิ : ส่วนใหญ่หลักๆจะมี 2 วิธี วิธีแรกเลยก็คือ นัดวันว่างของทุกคน แล้วมาที่ห้อง มาแจม อัดเก็บไว้ ก็จะได้เพลงส่วนหนึ่ง ส่วนอีกแบบหนึ่ง บางทีก็จะมี คอร์ดกีต้าร์มา ซักท่อนหรือริฟกีต้าร์มาอะไรอย่างนี้  แล้วที่เหลือก็ลองตามๆดู เรื่องเนื้อกับเมโลดีเนี่ยะ อืม.. เนื้อ เนี่ยะ ต้องเค้นคอให้มันแต่ง  ต้องมีเดธไลด์  ถ้าไม่งั้นมันไม่เสร็จซักที เขาจะฮัมๆไปด้วยตอนที่เราแจมกันอยู่แล้ว
เอิร์ท : นักร้องชอบแบบเงียบๆ แต่พอตอนอัดมันออกมา เราก็เฮ้ย !! มันเอามาจากไหนวะ  
เท็ดดี้ : แต่ชุดแรกมันเป็นอย่างนี้ ต่างคนต่างทำการบ้าน ไปหาอะไรกันมา แต่พอมาชุดสอง เวลามันเยอะ ก็อาจจะเรียกไอ้คิวมาร้อง  แล้วก็มาอัดเก็บ แล้วก็หายไป พออีกซักเดือนนึงก็มาอยู่กับวง ก็ขุดไอ้ที่อัดไว้ออกมา
เอิร์ท : อัลบั้มชุดแรกนี่อัดลงเทป reel หมดเลย อัดแบบเทคเดียวผ่านตลอด  อนาล็อกมากครับ ชุดแรก แต่พอชุดสอง ก็แปะๆ (หัวเราะ) ชุดแรกก็จะเป็นพี่ สุกี้ โปรดิวเซอร์ของเรา
เท็ดดี้ : ชุดสองก็อยากมีโปรดิวเซอร์ครับ แต่ว่ามันเป็นช่วงโลกาภิวัฒน์ ค่ายเพลงกลืนค่ายเพลง bakery กลืน  เข้าไปใน sony แล้วก็ พี่สุกี้ก็ออก พี่บอย ก็ออก ก็..อ้าว ซวย เกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ !! เราก็ .. ซวย แต่ดันต้องทำอัลบั้ม เพราะทางค่ายเขาอยากให้ทำ เราก็ ทำยังไงดีวะเนี่ยะ คือเขาก็จะไม่ให้ไปไหน ถ้าหากเราไม่ทำ  ก็เลยทำมันซะดีกว่า แล้วเราก็รออีก  รอพี่สุกี้ทำพรูชุดสองอยู่ เราก็ยังไม่กล้า เพราะเขายุ่งมาก เราก็ เอาวะลองดู ไม่มีทางเลือกแล้ว ทำเองก็จบ ไม่งั้นไม่ได้ออกซักที ก็ลุยเลย  หาห้องอัดเอง ทำในสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็น

GT : สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากฟลัวคือเรื่องของ “ซาวด์” จุดนี้ได้ไอเดียมาจากไหน
เท็ดดี้ : ต้องย้อนกลับไปต้อน Nirvana ที่มีแค่ stomp box อันเดียว หรือ เอ็ฟเฟ็คแผงนึง ไม่งั้นทุกคนก็ทำเหมือนกันอย่างนี้  แต่จริงๆมันไม่ใช่  ซาวด์มันต้องหาหล่อให้ถูกต้อง  ต้องดูทุกอย่าง การตั้งไมค์ การจัดองศาของไมค์ คือผมจะพยายามฟังมาก  ผมจะให้วิ อยู่ในห้องอัด ตัวผมจะอยู่ในห้องคอนโทล ก็จะคุยกัน แบบ ซ้าย เฉียง ล่าง บน คือจะหาการตั้งไมค์จนกระทั่งเจอที่เราชอบที่สุด

GT : พอเราต้องขึ้นมาทำเองทั้งหมดทุกอย่าง แล้วเอาตรงไหนเป็นจุดวัดว่า สิ่งที่ทำออกมาโอเคแล้ว พอใจกับมัน และจะไม่กลับมาแก้ไขอีก
เอิร์ท : อันนี้ต้องกล่าวถึงชุดแรกหน่อยครับ คือชุดแรกเรามีคนทำให้ ก็จะมีการถามอย่าง เอิร์ท ชอบยัง อะไรอย่างนี้ ก็จะมีคนเซ็ทให้ แต่อย่างชุดนี้ คือ เป็นการทดสอบเพื่อนหรืออะไรหลายๆอย่าง ที่มาอยู่รวมกัน มันก็ (หัวเราะ)
วิ  : จริงๆการตัดสินใจในวงเนี่ยะ ลำบากนะครับ  ยังดีที่เป็นเพื่อนกัน  คำว่าประชาธิปไตยในวง … มันไม่มีทางเป็นไปได้
เอิร์ท : จริงๆ ประชาธิปไตย ใช้ไม่ได้
เท็ดดี้ : มันไม่ได้ เพราะว่า แต่ละคนก็มีอะไรที่ตัวเองเก่ง อย่างผมไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ผมก็ต้องให้คนที่เก่งตรงนี้ไปทำ  อย่างเอิร์ททำซาวด์กลอง ทำในส่วนของกลอง ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสแนร์อันไหนมันเพราะ  ก็ต้องให้เอิร์ทจัดการอะไรอย่างเนี่ยะ คือต้องแบ่งหน้าที่ อย่างที่ถามตะกี้ว่า เราแบ่งกันอย่างไง เราไม่ได้แบ่ง แต่เวลามันแบ่งเอง  คือมีเวลาแค่สองอาทิตย์  ถ้าไม่จบ ก็ พัง (หัวเราะ) พอจบ เราไปมิกซ์เสียง อันนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ซาวด์เราออกมาไม่เหมือนใคร  เพราะว่าเราไปมิกซ์เมืองนอก แล้วฝรั่งเขาทำงานกันอีกแบบนึงเลย เขาก็ไม่ได้เป็นรุ่นใหญ่ที่สุดของวงการเมืองนอกนะ แต่เขามีอะไรหลายอย่างที่ .. โอ้โห  คือ  สิ่งที่น่าจะเป็น เราขอมันได้ แต่เอนจิเนียร์เมืองไทย อย่างบอกไป “พี่ขอลองกีต้าร์ดังขึ้น”  ก็จะแบบ “โอ้ย !! ดีแล้ว ไม่ต้องหรอก”  คือเขาต้องตอกบัตรทำงาน แล้วเราก็ไม่อยากไปก้าวก่ายเขา ทำให้เขาเสียเวลาทำงาน  แต่พอไปเมืองนอกปุ๊บ ไม่ใช่เลย มันเป็นแบบ เฮ้ย!! ชอบยัง ถ้ายังไม่ชอบก็ลองดู
เอิร์ท : พูดถึงประเด็นแสดงสดด้วยนะครับ เรื่องเครื่องดนตรีนี่สำคัญใช่ไหมครับ แล้วเราไปเจอแบบซัพพลายเออร์ที่ไม่ถูกใจอะไรอย่างนี้ครับ พอเข้ามาใหม่ๆ เขาก็จะแบกของให้ เปลี่ยนของให้ เราก็แบบไม่ต้องไม่เป็นไร เราก็เกรงใจ  เพราะมันหนัก แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ครับ เพราะว่ามันก็คืองาน แต่ตอนนี้เวลางานที่มันสำคัญๆ ต่อให้มีแอมป์ หรืออะไรอย่างนี้ ก็ต้องแบก กลองทั้งชุดถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน

GT : การที่เราอยู่รวมกัน มันก็ต้องมีการกระทบกระทั่งกัน อย่างหลายๆวงก็มีการแตกกันไป ตรงนี้มีการจัดการกันอย่างไร
วิ  : ก็พอดีว่าวงเรามีความแตกต่างกันเยอะในแต่ละคน เท็ดดี้ กับ เอิร์ท จะบ้าพลังจะชนกันตลอด อย่างผม พี่อ้น ก็จะนิ่งๆ ก็เป็นกันชน (หัวเราะ) ไอ้คิวนี่จะอยู่อย่างตลกไปเลย ไอ้ตรงนี้แหละที่มันช่วย เพราะถ้าทุกคนบ้าบอกันหมด ก็จะพากันล่ม บางทีในวง ทะเลาะกันหนักๆกันไปเลย ยังดีกว่ามานั่งเงียบๆ
เอิร์ท : ใช่ ชอบมาก (หัวเราะ) ทะเลาะหนักๆ
วิ  : ไม่หรอก ผมว่าเป็นเพราะเขาเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆด้วยไง  การเป็นเพื่อนกันตอนโตกับเป็นเพื่อนกันตอนเด็ก มันไม่เหมือนกัน
เท็ดดี้ : ส่วนใหญ่จะตั้งวงกันตอนมหาลัย แต่เราดันตั้งวงกันตั้งแต่ปฐมเลย
เอิร์ท : เท็ดดี้มันบ้า X – Japan ครับ มันบ้ากับไอ้วิ (หัวเราะ)
วิ  : แล้วโชคดีอยู่อย่างคือ เราไม่ได้เล่นดนตรีเพื่อ เงินทอง
เท็ดดี้ : พูดให้เพราะ นะโว้ย (หัวเราะ)
วิ : คือ ที่มีๆกันอยู่มันก็พอใช้  ต่างกับวงที่เขาต้องสู้ชีวิต  ที่เขาเล่นดนตรีเพื่อเงิน อย่างเนี่ยะ เวลามันมีปัญหา เข้ามาเกี่ยวข้องมันก็จะเป็นเรื่องใหญ่มาก  วงเรานี่.. ส่วนมากทะเลาะกันเรื่องซาวด์ (หัวเราะ ) คนนึงชอบอย่างนึง แต่อีกคนไม่ชอบอะไรอย่างนี้ ทะเลาะกันเรื่องอื่นมากกว่าเรื่องเงินๆทองๆ

GT : พอเกิดปัญหาอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาในวง มีวิธีแก้ปัญหาระหว่างกันยังไง เพื่อให้การทำงานต้องเดินต่อโดยไม่ต้องสะดุด
เอิร์ท : ขึ้นอยู่กับเคสต่างๆ
เท็ดดี้ : อย่างปัญหานึงที่ผมเจอ คือต้องไปอัดเสียงที่ห้องอัด  การที่เราต้องมี preproduction  เยอะๆ ผมว่ามันทำให้ดนตรีเสียคุณค่าลงไป แบบการที่เราต้องเตรียมทุกอย่างให้มันเยอะก่อนที่จะเข้าห้องอัดซัก 2 อาทิตย์ แล้ว 10 เพลงให้เสร็จภายในอาทิตย์นึง ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง มันต้องหาสตูดิโอที่สามารถอัดได้ตลอดเวลา ตั้งแต่เดโมไปจนถึงไฟนอลโปรดักส์ อย่างชุดสองตอนทำเดโม โห..!! มันเพราะมาก แต่พอมาอัดจริงมันเสียไปแล้วความพิเศษ
วิ : พยายาม ไม่ให้คนอื่นเขามาเปลี่ยนเราด้วย

GT : ห้องนี้ใช้ทำงานอยู่หรือเปล่า
เท็ดดี้ : จริงๆยังไม่เปิดเลยครับ ยังไม่เสร็จ พื้นก็ต้องทำใหม่ แต่คาดว่ากำลังจะเสร็จในไม่นาน
วิ : คือจะได้ไม่ต้องมีเรื่องของเวลามาจำกัด หรือไปเช่าห้องคนอื่นอะไรอย่างนี้

GT : ตอนนึงที่ Flure กำลังไปได้สวยเลย แต่ ณ เวลานั้น เอิร์ท ต้องไปเรือนต่อ อยากให้เล่าถึงสถานการณ์นั้นที่วงต้องขาดมือกลอง แล้วมีการตัดสินใจกันอย่างไร
เท็ดดี้ : ตอนนั้นเอิร์ทบอกไป 2 ปี อันนั้นคือหนักเลย คือแบบมาบอก กูไปเรียนต่อ 2 ปีนะโว้ย !! โชคดีนะโว้ย !! (หัวเราะ) มันเป็นปัญหาใหญ่เพราะ เอิร์ทก็เป็นซาวด์หลักของวง ใครก็จำได้ ใครก็รู้จัก และก็อย่างที่รู้ ว่าเรามีมือกลองผู้หญิงมาแทน ก็มานั่งคิดว่าต่อให้หามือกลองผู้ชายมา ก็ไม่มีทางตีเหมือนเอิร์ทได้ แล้วเราก็อยากที่จะมีอะไรใหม่ๆเข้ามาในวง ก็เลยเอาที่แบบไม่เหมือนไปเลย มาตีแล้วมันจะเป็นยังไงบ้าง

GT : คือทั้งวงได้ตัดสินใจแล้วว่า เอามือกลองผู้หญิง
วิ : ตอนแรกก็ยังไม่ได้ฟันธงว่าเป็นผู้หญิง ช่วงที่เอิร์ทไปนั้นงานมันก็น้อยๆ อยู่ เราก็โพสเลย
เท็ดดี้ : โพสในกีต้าร์ไทยเนี่ยะแหละ
วิ : ก็มีโทรเข้ามา พอดีก็มีอยู่คนนึงเป็นเพื่อนของเพื่อคิว เพื่อนเขาแนะนำมาว่าเป็นมือกลองผู้หญิง สนใจไหม ก็น่าลองดูเหมือนกัน ก็ลองออดิชั่นดู ก็โอเค ทำงานด้วยกันได้ พอดีจะมีโชว์อยู่แล้ว ซ้อม 2- 3 วันก็เล่นเลย
เอิร์ท : คือพวกนี้เขาไม่แคร์เรื่องฝีมือ โอเค อาจจะมีคนเก่งกว่าคนนี้เป็นร้อยเป็นพันคน เลยเอาคนนี้ดีกว่า ผู้หญิงตีเท่ห์กว่าตั้งเยอะ ไปเอาคนตีเก่งมาตี ใครตีก็ได้
วิ : แต่สุดท้ายก็โอเค ที่เราทำงานด้วยกันได้ แต่บางทีเราก็กลัวๆอยู่ อย่างที่เราประกาศออดิชั่น ก็จะมีคนเข้ามา แบบ โห !! พี่สุดยอด อะไรอย่างเนี่ยะ เราก็ เฮ้ย !! อะไรวะ (หัวเราะ)

GT : เขามาด้วยจุดประสงค์อื่น
วิ  : ใช่ ๆ คือตรงนี้มันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นในการทำงาน จุเขาก็เงียบๆ นิ่งๆ ขยัน อะไรไม่ได้ เขาก็จะตีให้มันได้
เท็ดดี้ : อย่างที่เราอัดเพลงของ Fat เพลงของพี่อรอรีย์ ส่วนกลองค่อนข้างยากมาก แล้วก็ตีไม่ได้ เราก็บอกเดี๋ยวเปลี่ยนเอาก็ได้ เขาก็ขอเวลาคืนนึง กลับมาอีกทีก็ตีได้เลย (หัวเราะ)
วิ  : ก็โดนมึงด่านี่ (หัวเราะ)
เท็ดดี้ : โห แล้วใครพูด มึงไม่ได้ด่าเลย (หัวเราะ)
วิ : คือ จุ เขามีความขยันมาก วงเราค่อนข้างซีเรียส คืออะไรไม่ถูกทางนี่ ทะเลาะกันตาย
เท็ดดี้ : อันนี้ถูก อย่างพวกเรา อะไรไม่ได้นิดเดียว ก็ใส่กันแล้ว แม่ง ผิดโน็ตนึง เนี่ยะ !! มึง เอาใหม่(หัวเราะ)  อะไรอย่างเนี่ยะ โซโล่เพี้ยนเอาใหม่ แล้วคิดดูว่าจุเพิ่งจะมาตีกับเรา พอมาเจออะไรอย่างนี้ แล้วเขายังไม่เข้าใจ   ขณะเดียวกันเราก็ต้องบอกให้เขาปรับตัวให้เข้ากับเรา แล้วผมก็ปรับ เขาก็ปรับ ก็ต้องต่างคนต่างปรับตัวกัน

GT : อืม..ฟังดูดีมาก (หัวเราะทั้งวง)
เท็ดดี้ : โอเคๆ ต่อไปนี้ผมจะไม่ด่าใครแล้ว (หัวเราะ)

GT : ที่นี้ต่อมา เมื่อเปลี่ยนมือกลองแล้ว ปัญหาใหญ่คือ ซาวด์กลองเปลี่ยน สไตล์การเล่นของคนเดิม กับคนใหม่ที่เปลี่ยนไป ตรงนี้ทำยังไงกัน
เท็ดดี้ : ก็มีบางเพลงนะที่เราหลีกที่จะไม่เล่น หรืออย่างเพลงคัพเว่อร์ใหม่ๆ เราก็ให้เขาตีไปเลยในแบบของเขา จะไม่มีการบอกให้ตีแบบเรา เพราะมันเป็นเพลงใหม่
วิ  : หรือบางเพลงก็จะให้เขาคิดมา

GT : แล้วต้องมีการเรียบเรียงท่อนใหม่ไหม
วิ : มีบ้าง บางเพลง
เอิร์ท : บางทีเราเล่นดนตรีอยู่ทุกวัน ยังมีการเปลี่ยนกันเลย เอาแบบขอซักนิดนึงวะ
เท็ดดี้ : หรือว่าเปลี่ยนเลยบนเวที (หัวเราะ)
เอิร์ท : ใช่ๆ บ่อยมาก บนเวที
เท็ดดี้ : คือบางที มันไม่บอกใครเลย

GT : ใครหูดีสุด ที่จับผิดว่า มีการผิดพลาดเกิดขึ้น
วิ : ทุกคนหูดีหมดครับ ถ้าคนอื่นผิด แต่ตัวเองผิดไม่รู้ (หัวเราะทั้งวง)

GT : แล้วในส่วนของแต่ละคนยังฝึกฝนในแง่ของทักษะกันอยู่หรือเปล่า
วิ : ยอมรับครับว่า พยายาม แต่..ทำไม่ค่อยได้ เพราะมีงานประจำทำอยู่บ้าง ก็เลยอาศัย ช่วงที่เลิกทำงาน ที่ต้องมาซ้อมอยู่แล้ว
เอิร์ท : อันนี้ผมมีแง่คิดนิดนึง ฝากไว้เลยครับ ตอนนั้นซ้อมกลอง ก็พยายามลองตีหลายๆแบบ ก็ไปลองเรียนกับพี่เล็ก T- Bone ดู ไปเรียนกับแกได้ 3 ที แกก็ไล่เลย เพราะเรียนไปก็ไม่ได้อะไรเปล่าๆ แกบอกเหมือนตีกอล์ฟ ให้ลงหลุม ก็ตีไปซิจะกลัวอะไร คือเราไปลองตีหลายๆแบบ แต่อย่าลืมว่าตัวเรามันเป็นยังไง มันเป็นเรื่องปกติที่อาจจะมีหลงทางกันไปบ้าง ยังไงก็ฝากไว้หน่อยครับ
วิ : คือทักษะ เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องมี แต่เสียงทีออกมา มันคือเพลงที่ออกมา
เท็ดดี้ : ดนตรีมันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ มันมีหลายๆอย่าง มีเรื่องของการคำนวณด้วย  ส่วนมากที่เราจะชอบกัน ดนตรีที่มันเพราะ ส่วนมากมันจะออกมาจากจิตวิญญาณ  เครื่องมือเป็นเรื่องที่ใช้จิตใจสั่ง อย่างฟัง The Beatles ทุกคนรู้ว่า Paul เป็นคนที่มีทักษะ แต่เพลงที่เจ๋งมาจาก John  เพลงที่มาจากเขาส่วนมาก เนื้อจะเศร้าและมันโดนใจ
วิ : เหมือนตอนนี้ ทุกคนจะใช้คอมพิวเตอร์ทำดนตรี ก็คือคอมเปรียบเสมือนทักษะระดับหนึ่ง  แต่ใครจะมีศิลปะในการเอาโน็ตมาเรียง แล้วออกมาดี ทั้งที่เครื่องก็สเป็กเท่ากัน แต่คนที่สเป็กห่วยกว่าบางที กลับทำออกมาดีก็มีเยอะ

 

GT : แล้วตอนนี้ทุกคนซ้อมกันยังไง ซ้อมบ่อยแค่ไหน
เท็ดดี้ : ตอนนี้ยังตอบไม่ได้เท่าไหร่ เพราะเอิร์ทเพิ่งจะกลับมา
เอิร์ท : ถ้าเอาตามแบบเดิมตอนที่ทำในอัลบั้มก่อนๆ สัปดาห์ละสองวัน

GT : ที่นี้เมื่อเอิร์ทกลับมาแล้ว สิ่งแรกที่วงตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องทำ คืออะไร
เท็ดดี้ : ขัดสนิมก่อน (หัวเราะทั้งวง)
เอิร์ท : อยากจะเก็บวัตถุดิบสำหรับชุด 3 ให้เยอะ คือช่วงนึงเราจะมีเรื่องทัวร์ เรื่องเล่นบนเวที จนช่วงนึงเราลืมฟังดนตรี พอมาช่วงนี้ต้องมานั่งฟัง เพื่อเก็บรายละเอียด

GT : ที่ผ่านๆมาประทับใจทัวร์ครั้งไหน
เอิร์ท : Fat ปีที่แล้ว

GT : แล้วอันไหนที่รู้สึกแย่ๆ
เอิร์ท : อันนี้เยอะครับ เยอะมาก (หัวเราะทั้งวง)
วิ : เคยมีแบบคนดู 2- 3 คน แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกขายหน้าหรือว่าอะไร
เอิร์ท : เปิดตัวที่ เซ็นทรัลพระราม 2
วิ : มีเซ็งๆ นิดหน่อย

GT : แล้วตอนนี้ชุด 3 ของวงไปถึงไหนแล้ว
เท็ดดี้ : ตอนนี้กำลังเริ่มๆ ก็มีซัก 2-3 เพลง แต่รวมๆ แล้วยังไม่กำเนิด จะเสร็จก็น่าจะประมาณ กลางปี

GT : ทีนี้เรื่องของปกซีดีชุดสองตรงนี้ได้เขามาออกแบบปกได้ยังไง
วิ : จากอินเตอร์เน็ตครับ ตอนนั้นก็มีหลายปกมาให้เลือก แต่ก็ไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ก็ลองกดไปมั่วๆ แล้วก็มาเจอภาพนึงที่ เขาเป็นคนเขียน ก็สวยดี ถ้าเป็นปกเราได้คงเจ๋ง ก็พูดกันเล่นๆ แต่ไอ้นี่บ้า (ชี้ไปทางเท็ดดี้) ก็เมลไปถาม (หัวเราะ) 
เท็ดดี้ : แล้วในเมลเขาก็ดันมีที่อยู่ เบอร์โทร มาด้วย ก็โอเคเลย ผมมีเพื่อนฝรั่งที่อยู่ญี่ปุ่น ก็ให้มันช่วย ก็โทรไป มันก็บอกว่า ไอ้ภาพนั้นที่ดูกัน มันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของญี่ปุ่น ก็ไม่ได้แล้ววะ (หัวเราะทั้งวง) มันรุ่นใหญ่เกินไปแล้ว แต่เขาก็บอกกลับมาว่า ผมเห็นใจนะ คุณเป็นวงร็อกที่ท่าทางจิตใจดี เขาก็บอกว่า “ผมให้โอกาสคุณ  เขียนจดหมายมา 5 ฉบับ ว่าทำไมศิลปะคือสิ่งที่คุณอยากจะทำ  แล้วดนตรีคืออะไรสำหรับคุณ ถ้าผมอ่านแล้วมีแรงบัลดาลใจ แล้วจะเขียนให้“
วิ  : แล้วอีกอันคือ ดูภาพเขาแล้วรู้สึกยังไงกับภาพเขา
เอิร์ท : ก็ช่วยกันมั่วเลย คนละฉบับ
เท็ดดี้ : สุดท้ายก็เขียนให้ แต่ไม่ฟรีนะ แต่ก็หนักเหมือนกันนะ ต้องสื่อสารกับเขา แล้วไอ้เพื่อนฝรั่งผม ก็ไม่รู้ว่ามันแตกฉานภาษาญี่ปุ่นขนาดไหน

GT : ชุดต่อไปยังคิดว่าจะให้เป็นปกคล้ายๆอย่างนี้อยู่หรือเปล่า เอาแบบคนจำได้ว่านี่คือเรา
เท็ดดี้ : มันเหมือนซวยเหมือนกันนะ  เพราะดันทำมาตรฐานแบบว่ามิกเสียงเมืองนอก ปกญี่ปุ่น ชุด 3 นี่ยังไม่รู้ว่ายังไงดี
วิ : แต่ช่วงนี้คือช่วงที่ไม่ชอบเลย คือเป็นช่วงที่ต้องคิดมาก มันต้องคิดหลายๆอย่าง

GT : สุดท้ายมีอะไรอยากฝากกับน้องๆ บ้าง
เอิร์ท : เป็นตัวของตัวเอง ดีที่สุดครับ อาจจะพูดเข้าข้างตัวเองเพราะไม่มีใครมาบังคับ เวลาเล่นคอนเสิร์ตเราก็ไม่ต้อง ตามใจคนดูเท่าไหร่  ก็คือเราเป็นอย่างนี้ อย่าพยายามตามกระแส เราชอบยังไงก็ออกมาเป็นอย่างนั้น
เท็ดดี้ : ขยันครับ ดนตรีมันไม่ใช่เรื่องอะไรง่ายๆ ต้องรู้หลายๆอย่าง เพลงมันไม่ใช่มีแค่เพลงไทย ยังมีเพลงอื่นในโลก หรืออุปกรณ์ก็ตามมีอะไรอีกมากมาย อย่ายึดติดกับแบรนด์เนม อย่างอัลบัมของเราเห็นมาอย่างนี้มันไม่ได้มาง่ายๆ มันมาพร้อมความเครียดและอีกหลายอย่าง ต้องขยัน ต้องสู้
วิ : ผมว่าการที่เราฟังอะไรมา แล้วออกมาอย่างนั้น มันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะมันเป็นตัวเอง ยังดีกว่าเปลี่ยนตัวเองไปทำเพลงอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองเพื่อเงิน


any comments, please e-mail   guitarthai@gmail.com (นายดู๋ดี๋)
© All rights reserved 1999 - 2015. All contents in this web site are the properties of www.guitarthai.com and Saratoon Suttaket