GT : แนะนำตัวเองหน่อยครับ
JACK : ชื่อ ธรรมรัตน์ ดวงศิริ เกิด 25 ธันวาคม 2522
การศึกษา มัธยมจากโรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์
ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
Professional Guitar Course จาก Prart Music School
GT : ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง
JACK : ตอนนี้งานหลักเลยก็คือสอนกีตาร์ที่ Prart Music School และที่ม.ราชภัฏจันทรเกษมมีงานแต่งเพลงกับค่าย Craftsman Record แล้วก็ Sideman Musician และล่าสุดก็งาน How To Play Rock Guitar กับ Tone Project
GT : ตอนนี้วง bean เป็นยังไงบ้าง
JACK : ก็แยกย้ายกันทำงานส่วนตัวตามความต้องการของแต่ละคนน่ะครับ ตอนนี้บู้ทนักร้องนำก็ออกเดี่ยวกับค่าย RS
GT : จะมารวมตัวกันอีกมั๊ย!
JACK : ก็คงเป็นไปได้ยากน่ะครับเพราะต่างคนต่างก็ติดสัญญากับค่ายอยู่
GT : ตอนที่ jack นำงานไปเสนอตามค่ายต่างๆมีขั้นตอนอย่างไรบ้างกว่างานจะได้ออกสู่สาธารณะชน
JACK : พอดีตอนนั้นโชคดีที่ชนะการประกวด เลยทำให้ได้โอกาสเข้าไปทำงานน่ะครับ
GT : การประกวดดนตรีสำคัญมากมั๊ย!
JACK : ก็ถือว่าสำคัญนะครับเพราะการประกวดก็คือการที่เราได้แสดงออกอย่างหนึ่ง กับสิ่งที่เราได้ฝึกกันมาเป็นปีๆถ้าไม่ได้เอาไปเล่นที่ไหนก็จะไม่ค่อยมีประโยชน์ และอีกอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือการทำงานกันเป็นทีม วงที่ประสบความสำเร็จนั้นส่วนใหญ่จะมีทีมเวิร์คที่ดีมาก และเมื่อคนใดคนหนึ่งพัฒนาฝีมือขึ้นไปเพื่อนๆในวงก็จะพัฒนาตามไปด้วย ตรงนี้เป็นจุดสำคัญมากของการทำงานเป็นวง หรือถ้าไม่อยากประกวดก็อาจจะรวมตัวกันเล่นตามงานหรือตามผับต่างๆก็ได้อย่างน้อยก็ถือว่าได้ฝึกการเล่นบนเวที เพราะถ้าถึงเวลาขึ้นเวทีจริงๆแล้วความสามารถในการเล่นจะลดลงด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง จึงทำให้เราต้องซ้อมให้ดีที่สุดไม่ใช่แค่ ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ต้องมากกว่านั้น เราคงหนีการเล่นบนเวทีไม่ได้หรอกครับถ้ายังอยากจะเป็นนักดนตรี
GT : มีวิธีแต่งเพลงอย่างไร
JACK : ก็จะคิดหลายๆวิธีน่ะครับเพื่อหนีความซ้ำซากของเพลงมีทั้งแบบคิดเมโลดี้มาก่อนแล้วค่อยวางคอร์ดแต่ส่วนใหญ่ผมจะเริ่มคิดจากทางคอร์ดโดยเล่นกับกีตาร์ออกมาก่อนดูว่ามันฟังดูดีหรือยังแล้วจึงค่อยใส่เมโลดี้ และเรียบเรียงทีหลัง
GT : ถ้าต้องการเขียนเนื้อมีวิธีสร้างจินตนาการยังไง
JACK : คงจะต้องนึกภาพออกมาก่อน เหมือนเรากำลังดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ แล้วทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป ไม่ใช่อยากจะเขียนอะไรก็เขียนไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ ต้องมีการดำเนินเรื่อง มีจุดไคลแมกซ์ของเพลง มีบทสรุป อย่างนี้เป็นต้นน่ะครับ แล้วก็ยังมีอีกหลายวิธีน่ะครับ
GT : อย่างเพลง"เรื่องเดียวที่ไม่ยอม"เริ่มต้นคิดอย่างไร
JACK : คือทางโปรดิวเซอร์เขาต้องการเพลงช้าแบบเท่ห์ๆน่ะครับ ที่มีอินโทรด้วย Pianoเราก็จะต้องดูว่าเพลงจะออกมาเป็นรูปแบบใดให้เข้ากับตัวศิลปินด้วย
อย่างวง Pureเองก็ จะมีมือ Piano หนึ่งคน และมือ Keyboards อีกคนก็ต้องเรียบเรียงให้เหมาะสม ผมเลยมาเริ่มที่ท่อน Piano ก่อนเลย จนมันเกิดเป็นRiff ขึ้นมาน่ะครับ และ Bass ก็จะเปลี่ยนโน้ตไปแต่ Pianoก็ยังเล่นลักษณะเดิมอยู่ ทำให้ฟังดูมีสีสันมากขึ้น ส่วนกีตาร์ก็จะใช้คอร์ดแบบ
Open มากหน่อยพอเปลี่ยน Root ไปมันก็จะเกิด Tension ขึ้นมาน่ะครับก็เลยฟังดูกว้างๆ ลอยๆบวกกับจังหวะกลองแบบหน่วงๆแต่หนักแน่นกับเมโลดี้ที่ฟังดูเศร้าๆหน่อย
ก็เลยออกมาอย่างที่เห็นน่ะครับ
GT : วิธีคิดลูกsolo
JACK : ถ้าเป็นในส่วนของการแต่งเพลงก็จะดูที่สไตล์ของวงหรือศิลปินที่จะทำเป็นหลักน่ะครับ
ทุกอย่างก็ต้องอยู่บนความเหมาะสมไม่ยากหรือง่ายจนเกินไปโดยส่วนตัวแล้วผมจะชอบอิมโพรไวส์ไปบนคอร์ดแล้วอัดไว้มาลองฟังดูตรงไหนชอบก็จะเก็บๆไว้น่ะครับแล้วเอามาเรียบเรียงอีกที ส่วนมากจะคิดจากโน้ตในคอร์ด หรือ Non-Chord Tone แล้วก็พวก Pentatonic หรือ Blues Scaleอะไรเทือกนี้น่ะครับเอามาผสมกัน
กับเทคนิคต่างๆที่เราชอบเล่นตอนอิมโพรไวส์อยู่แล้ว
GT :ไปทัวร์กับปาล์มมี่ได้ประสบการณ์อะไรบ้าง
JACK : ก็ได้ฝึกการเล่นในที่ใหญ่ๆคนดูเยอะๆน่ะครับ ก็ช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้นและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบนเวทีน่ะครับ แล้วก็เรื่องการจัดการต่างๆของวง
GT : ถ้ามีคนตีกันในงานconcert jackว่าต้องแก้ไขยังไง
JACK : ก็คงต้องหยุดเล่นให้สถานการณ์คลี่คลายลงไปกอนน่ะครับ แต่พวกนี้สวนใหญ่เวลาเล่นเพลงเร็วๆไม่ค่อยตีกันนะครับ จะไปใส่กันตอนเพลงช้าซะมากกว่า ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน สงสัยเวลาเล่นเพลงเร็วแล้วมันคงมันส์กันจนไม่มีเวลาไปเขม่นใครมั้งครับ เวลาเล่นคอนเสริ์ตบางที่จึงต้องเล่นเพลงเร็วเยอะๆ
GT : เข้าไปร่วมงานกับพี่โอมได้ไง
JACK : ก็จากการที่อ.ปราชญ์ จัดกิจกรรมต่างๆ มีพี่โอมมาร่วมด้วยก็เลยได้คุยกันน่ะครับแล้วก็เลยได้โอกาสมาลองทำดู
GT : ฝึกกีตาร์สไตล์อื่นบ้างรึเปล่า
JACK : ก็ส่วนใหญ่จะหนักไปทาง Rock น่ะครับแต่พักหลังก็จะฟังหมดเกือบทุกแนวแล้วอันไหนชอบก็จะหัดเล่นดูน่ะครับ
GT : ฟังเพลงร็อกไทยๆบ้างป่าว! ฟังใครบ้าง
JACK : ก็ฟังไปเรื่อยๆน่ะครับก็มีหลายๆวงที่ชอบน่ะครับอย่าง Silly Fools Big Ass อะไรอย่างนี้น่ะครับ แต่แนวอื่นก็ฟังเหมือนกันนะครับถ้าเพลงไหนฟังเข้าหูหน่อยก็จะชอบ
GT : jack ว่าตอนนี้หมดยุค guitar hero รึยัง
JACK : ผมว่ากีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีที่มีสเน่ห์มากครับ เป็นเครื่องดนตรีที่มีความยืดหยุ่นสามารถสร้างสไตล์ได้หลากหลายกว่าเครื่องดนตรีชิ้นอื่นมาก ตรงนี้ผมว่ากีต้าร์ฮีโร่ในยุคต่อๆไปคงไม่มีใครมานั่งปั่นแข่งกันให้เร็วที่สุดเหมือนเมื่อก่อนหรอกครับ เราสามารถทำอะไรกับกีต้าร์ได้อีกตั้งหลายอย่าง การเล่นให้เร็วมันคือส่วนหนึ่งและก็มีประโยชน์ในทางเทคนิคและความคล่องตัว แต่การสร้างสไตล์และเอกลักษณ์ของแต่ละคนนั้นยากกว่ามาก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดมาจากหลายอย่างทั้งเรื่องของอารมณ์ พื้นฐานทางดนตรีของแต่ละคน ความคิดสร้างสรรค์ และอื่นๆอีกมาก เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ ถ้าเรามองดูมือกีตาร์ฮีโร่ในยุคก่อนๆที่ยืนหยัดอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้อย่างเช่น Steve Vai Joe Satrianiไม่ใช่เพราะพวกเขามีเทคนิคที่ดีเลิศเพียงอย่างเดียว แต่ความลึกซึ้งทางดนตรีของพวกเขาต่างหากที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นยุคของกีต้าร์ฮีโร่คงไม่หมดไปแน่นอน ถ้าดนตรีไม่หยุดการพัฒนาไปเสียก่อนน่ะครับ
GT : การเล่นดนตรีเป็นวง มีอะไรบ้างที่ทำให้วงแตก
JACK : ก็คงเรื่องของความเข้าใจซึ่งกันและกัน ถ้าเราคิดว่าอย่างนี้ดีเราก็ควรนำเสนอกัน อะไรที่คิดว่าไม่ดีก็ควรจะพูดกันตรงๆ ถ้าไม่มีการพูดคุยกันเลยก็จะทำให้เล่นกันไม่สนุกน่ะครับ เล่นแบบตัวใครตัวมันเสียงดังตังค์มาก็คงอยู่กันไม่นาน การเล่นดนตรีถ้าไม่มีความสุขก็อย่าเล่นมันเลยดีกว่า ก็ควรจะมีการคุยกันเรื่อยๆในส่วนของดนตรี แต่พอมีเรื่องธุรกิจเงินๆทองๆเข้ามานี่แหละครับปัญหาวงแตกของหลายๆวง ก็ควรจะมีผู้จัดการวงหรือไม่ก็ต้องคุยกันให้เคลียร์น่ะครับ และต้องแยกแยะเรื่องนิสัยส่วนตัวออกมาด้วย สุดท้ายก็คือถ้าอยากให้วงยังอยู่ต่อไปก็ต้องสัมมนากันบ่อยๆน่ะครับเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วย
GT : วงการร็อกทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
JACK : ถ้าเอาในเมืองไทยผมว่ามันยังอยู่กับที่อยู่น่ะครับ และส่วนใหญ่เป็นเรื่องของธุรกิจด้วย ผมเห็นวงรุ่นน้องหลายๆวงที่เล่นกันดีๆ แต่พอไปออกเทปกลับเป็นอีกแบบเหมือนๆกันไปหมด ก็เพราะใครไม่รู้บอกว่าแบบนี้สิดี แบบนี้ขาย แต่พอออกมาแล้วมันกลับขายไม่ได้สิครับแย่กว่า สู้มาหาเล่นดนตรีกลางคืนเสียจะดีกว่า พอจะขอมาเล่นกลางคืนก็ไม่ได้ อะไรอย่างนี้น่ะครับ หลายคนหมดไฟเลิกกันไปเลยก็มี มันก็เลยไม่ไปไหน แต่ผมขอชื่นชมวงที่ยืนหยัดและมีความเป็นตัวของตัวเองนะครับ จะบอกว่าอยากทำแบบไหนก็ทำไปเลยครับไม่ต้องห่วงว่าจะขายไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ภูมิใจในผลงานของเรา ขายไม่ได้แต่เท่ห์ดีกว่า ไม่เท่ห์แล้วยังขายไม่ได้อีกต่างหากนะครับ และก็จงเป็นในสิ่งที่เราเป็นไม่ใช่เห็นเขาทำแบบนี้แล้วมันดังก็จะเอาบ้าง อย่างนี้เจ๊งตั้งแต่ยังไม่ได้ทำเลยนะครับ
GT : อะไรที่ jack รู้สึกว่าเป็นศัตรูของการเล่นดนตรี
JACK : ก็คงเรื่องของความขี้เกียจน่ะครับ ผมเห็นน้องๆส่วนใหญ่ที่ผมสอนกว่าจะไล่สเกลกันได้ก็นานแสนนาน ถามกันว่าไล่ไปทำไมสเกลน่ะ ผมก็จะบอกว่าไล่ให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาถาม เพราะมันคือพื้นฐานไงครับ เราจะได้เรียนรู้โน้ตต่างๆบนคอกีต้าร์ ได้รู้เรื่องของสัดส่วนต่างๆจากการเล่น Sequence ถ้าไล่สเกลไม่ได้แล้ว Sequence ก็จะยากมากเลย แล้วไอ้ลูกโซโล่ที่เราอยากเล่นนั้นมันประกอบด้วยไอ้พวกนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่หลับหูหลับตาไล่กันให้เร็วอย่างเดียวนะครับแต่เสียงที่ออกมานั้นต้องชัดเจนแล้วยังมีเรื่องของน้ำหนักในการดีดเข้ามาอีกโอ้ย!!อีกเยอะแยะ เพราะฉะนั้นเราต้องมาไล่กันตั้งแต่พื้นฐาน ผมมีความรู้สึกว่าเมื่อโลกพัฒนาแล้วสื่อทางดนตรีต่างๆก็มีมากขึ้น แต่สื่อพวกนี้เหมือนดาบสองคม บางครั้งทำให้เราไม่รู้ว่าจะฝึกอะไรดีเห็นเพื่อนมันเล่นอย่างนี้ก็อยากเล่นมั่ง ทำให้เล่นอะไรก็ไม่ดีไปซักอย่าง พอบอกให้หัดไล่สเกลก็ขี้เกียจไล่ ยังอยากจะไปเล่น Sweep กันอีก ก็กลายเป็นปัญหาเรื้อรังกันไป เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้จะฝึกอะไรก็ Back To Basic ไงครับดีที่สุด บางครั้งกลับมาเล่นอะไรที่เคยเล่นได้แล้วมันอาจจะมีรายละเอียดให้เก็บเกี่ยวกันอีกนะครับตรงนี้สำคัญมาก น้องๆบางคนมาบอกว่าไม่รู้จะฝึกอะไรเลยครับพี่ มันตันน่ะ ผมก็บอกว่าลองไล่ C Major Scale ทั้งคอสิ ถ้าไม้ได้ก็ไปฝึกไอ้นี่แหละ
GT : มีอะไรจะพูดถึง vcd how to play rock ของตัวเองบ้าง
JACK : ก็คงตอบคำถามในส่วนของทำอย่างไรถึงจะเล่นกีต้าร์ในสไตล์ Rock ได้น่ะครับ อาจจะไม่หวือหวาอะไรมากแต่ก็เหมือนที่พูดข้างบนน่ะครับ ว่า Basic สำคัญแค่ไหน งานชิ้นนี้ก็รวบรวมประสบการณ์ต่างๆ จากการสอน การเล่น และอื่นๆมารวมไว้ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็คิดว่าน่ะจะมีประโยชน์ต่อคนที่สนใจน่ะครับ และขอขอบคุณผู้ที่ช่วยสนับสนุนด้วยครับ