บางครั้งในชีวิตของคนทุกคนก็ไม่สามารถเลือกทำในสิ่งที่ตนเองชอบได้เพราะมีความจำเป็นหลายสาเหตุและยิ่งการเดินทางบนถนนดนตรียิ่งเป็นเรื่องยากที่หลายๆคนมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคงโดยเฉพาะ
" ผู้หญิง " และครั้งนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับผู้หญิงคน
หนึ่ง เธอเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ Grammy Awards และที่สำคัญเธอเป็น
คนไทย และแม้เธอจะจบการศึกษาระดับ Doctor of Law และทำงานไม่เกี่ยวกับดนตรีเลย
แต่เธอก็ยังรักในเสียงเพลงและไม่ทิ้งมัน หลายๆ คนในวงการดนตรีเรียกเธอว่า
" ดร.กะทิ " ซึ่งชื่อนี้เธอได้มาจากชาว 89 FM
Pirate Radio ตั้งให้ตอนเธอกลับมากรุงเทพฯ ปี 1996 ชีวิตของเธอกว่าจะถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เลย และครั้งนี้เธอจะให้เกียรติมาเล่าประสบการณ์และแง่คิดให้เราฟัง
" เริ่มต้นพี่ไปเรียนที่อังกฤษ อยู่โรงเรียนประจำก็เริ่มมีครูสอนกีต้าร์
folk song แล้วก็มี classmate คนหนึ่งมาจาก Brazil นั่นเป็นครั้งแรกที่พี่ได้ชิมรสชาติเพลง
" Bossa Nova " เธอเล่าว่าตอนนั้นเธอยังไม่รู้ทฤษฎีดนตรี
แถมยังจับคอร์ดกีต้าร์ก็ไม่เป็น แต่เธอบอกกับเราว่าเธอโชคดีมากเพราะช่วงนั้นเป็นยุค
60's ที่อังกฤษเป็นยุคที่ดนตรีเข้มข้นที่สุด ยุคของ The
Beatles, Led Zeppelin, Rolling Stones etc.
"หลังจากที่ได้ฟังเพลง Bossa Nova เป็นครั้งแรก ก็มีเด็กอเมริกันผู้หญิง
2 คน ซึ่งมาเรียนต่อที่โรงเรียนที่พี่เรียนอยู่เล่นเพลงของ
James Taylor ตอนนั้นคนอังกฤษยังไม่รู้จัก James Taylor
เลย แล้วก็ฝีมือกีต้าร์ของ James Taylor ไม่ธรรมดาเลย
หลังจากนั้นพี่ก็เล่นกีต้าร์ folk song แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร
เล่นเป็นงานอดิเรก แต่ความที่พี่เรียนกีต้าร์ได้เร็วมาก
คือ พอจับกีต้าร์ก็คลั่งเลย แล้วซ้อมหนักมากเลย ตอนนั้นอายุแค่
12-13 จากนั้นเธอได้มีโอกาสเล่นตามงานการกุศล และเริ่มเล่น
Concert ตามงานที่อังกฤษเกือบทุกอาทิตย์ นี่คือจุดเริ่มต้นของเธอ
ต่อมาทางบ้านได้ส่งเธอไปเรียนทางด้าน Interior Design
ที่อเมริกา แต่ในใจเธอก็ยังรักดนตรีอยู่ และเมื่อเธอเรียนจบ
เธอจึงตัดสินใจไปเรียนกีต้าร์อย่างจริงจัง ที่ Boston
" พี่ได้ยินชื่อโรงเรียน Berklee College of Music
ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวในยุคนั้นที่ไม่สอนดนตรี Classic
เพราะถ้าเราจะเรียนกีต้าร์ Classical มันก็ไม่ใช่ตัวเรา
" จากนั้นเธอก็ได้สอบเข้า Berklee แต่ก่อนที่เธอจะสอบเข้านั้นเธอบอกว่า
" ที่นี่ไม่มีกฎเกณฑ์มากนักใครๆ ก็เข้าได้ ไม่รู้อะไรเลยก็เข้าได้
พี่เนี้ยะเป็นตัวอย่าง อ่านโน๊ตก็ไม่ออก เล่นก็ไม่ค่อยเป็น
กีต้าร์ก็ไม่มี วันแรกที่เข้าเรียนก็มีแค่กีต้าร์ Classic
สายเอ็น แต่มีรุ่นพี่คนหนึ่งเขาปี 4 แล้ว ชื่อ อ. โป๊ป
พาพี่ไปซื้อกีต้าร์ไฟฟ้าเพื่อเอามาใช้เรียนที่ Berklee
นั้นคือ Gibson ES 175 แกก็ช่างเลือกนะ เพราะเหมาะกับพี่มากมันเป็นกีต้าร์คอเล็ก
ตัวก็ไม่ใหญ่มากและมี Cut Away นี่คือกีต้าร์ไฟฟ้าตัวแรกของพี่
และคือจุดเริ่มของพี่ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ "
ที่ Berklee ในยุคนั้นเป็นยุคที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนกีต้าร์
Jazz เพราะมีครูดีๆหลายคนและนักดนตรีรุ่นพี่รุ่นน้องที่จบออกมาก็เป็นนักดนตรีระดับโลกทั้งนั้น
และการที่เธอได้เริ่มเล่น Jazz ก็เพราะกลุ่มเพื่อนๆที่นั้น
คือพวกเขาฟังอะไรก็ฟังตามเขา ก็เริ่มขอยืมแผ่นเสียงจากเพื่อนมาฟัง
พอเริ่มรู้จักใครมากขึ้นก็เริ่มรู้จักนักดนตรีที่มาทำงานด้วย
ยุคนั้นคือยุค ECM Records ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่ไม่ธรรมดาเลย
การเริ่มฟัง Jazz ของเธอไม่ได้เริ่มจากการฟัง Bebop แต่เริ่มจากยุค
ECM เช่น Gary Burton , Ralph Towner เป็นต้น
เธอได้เล่าถึงจุดสำคัญของชีวิตเธอว่า
" จุดสำคัญที่สุดของพี่เรื่องแรกคือเพื่อนฝูง ยุคนั้นเพื่อนสนิทก็มี
Jaco Pastorius , John Scofield ,Bill Frisell , Mike
และ Leni Stern และก็อีกหลายๆคน และอีกอย่างคีอพี่ได้เรียนกับมือกีต้าร์สุดยอดแห่งยุคเช่น
Pat Metheny, Mick Goodrick และยังได้เรียนคอร์สสำคัญๆที่นั้นที่บางวิชาอาจจะเรียกว่าถ้าไม่ได้เรียนก็เหมือนว่าไม่ได้มาที่Berklee
เลยทีเดียว เช่น คอร์สของ Herb Pomeroy ( "Line &
Writing" , "Writing in the style of Duke Ellington
เป็นต้น " ) วิธีการซ้อมกีต้าร์ของเธอก็คือ "
ต้องขยันมากๆหรือต้องอยู่กับมันเลยก็ว่าได้ และซ้อมตามที่เรียนมา
" อีกสิ่งหนึ่งที่เธอเน้นมากๆตลอดเวลาก็คือ "
อย่าบ้าทฤษฎี แต่ให้ใช้หูเล่น และเล่นให้เพราะไว้ก่อน"
หลังจากที่เธอเรียนจบที่ Berklee เธอบอกกับเราว่า "
ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือ ชีวิตที่ไม่จริงเลย " สิ่งที่เธอพูดถึงก็คือ
การที่ได้เรียนดนตรีมาซ้อมมาอย่างหนักแต่ไม่ได้เล่นอาชีพเลยซักครั้งนอกจากจะเล่นกับเพื่อนๆหรือได้เล่นกับครูเท่านั้นเอง
เธอก็ได้นั่งคิดและผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ เธอคิดว่ามันไม่มีอนาคตแน่ๆ
เพราะเพื่อนแต่ละคนที่จบมาก็ฝีมือระดับโลก แล้วฝีมืออย่างเราจะไปแข่งกับเขาได้หรือ?
และนี่คือสิ่งที่เธอเน้นกับเราโดยใช้ตัวอย่างจากเธอ "
เพราะเมื่อตอนที่เธอจบมาเธอไม่รู้อะไรเลยนอกจากทฤษฎี "
ดังนั้นเมื่อได้รับปริญญามาเธอไม่สามารถทำอะไรได้เลยและเธอยังบอกอีกว่า
" วันที่แท้จริงของชีวิตนักดนตรี อาจจะเป็นวันที่คุณจะเรียนจบหรือไม่จบไม่รู้แต่วันนั้นคือวันที่คุณต้องได้เล่นดนตรีสดนั้นเอง
" ทุกสิ่งทุกอย่างคือภาคปฎิบัติโดยเฉพาะเรื่องของศิลปะ
ชีวิตของเธอเมื่อเรียนจบจาก Berklee ก็ไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับดนตรีเลยหรือแม้แต่กีต้าร์เธอก็ไม่ได้จับเลยนานถึง
15 ปี ชีวิตของเธอหันเหไปทำงานกับบริษัท Night Spot ในรุ่นแรกๆ
พอทำซักพักเธอก็เริ่มเบื่อก็เลยอยากหางานอย่างอื่นทำและอยากหาประสบการณ์เพิ่มเติมในวงการบันเทิง
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจไป L.A เพราะที่นั้นคือ สถานที่ที่ท้าทายและให้ประสบการณ์มากที่สุด
เธอเริ่มจากการทำงานที่ธนาคาร ต่อด้วยบริษัทหนัง Indy
และ TV Productionโดยทำงานเป็นผู้ช่วยทนายความคอยดูแลทางด้านสัญญา
แต่พอทำไประยะหนึ่งก็เริ่มอิ่มตัว และประจวบกับที่ L.A
เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งใหญ่ ในปี 1994 เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เธอคิดว่า
ชีวิตคนเราช่างสั้น ทำไมเราไม่หาทำอะไรที่ตัวเองชอบและมีความสุข
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจกลับมาเมืองไทย แต่ก่อนกลับได้เริ่มจับกีต้าร์ขึ้นมาซ้อมอีกครั้งและเรียน
Private lesson กับ JOE DIORIO ที่ M.I. (Musician's Institute),
Hollywood. เพื่อจะยึดเป็นอาชีพ
หลังจากเธอกลับมาเมืองไทยและยึดอาชีพนักดนตรี เธอกล่าวว่า
อุปสรรคที่ได้เจอกับนักดนตรีไทยเยอะมาก คือ นักดนตรีไทยมีอีโก้สูง
บ้างก็เล่นก็ไม่ได้อ่านโน๊ตก็ไม่ออกแต่อาศัยว่าอายุมากกว่า
เหมือนว่าใช้ระบบอาวุโสเข้ามาข่ม และสิ่งที่ทำให้นักดนตรีไทยไม่สามารถไปถึงอินเตอร์ได้หรือไม่ได้เล่นกับนักดนตรีเก่งๆจากเมืองนอกได้ก็เพราะ
" ไม่มีความอดทน ชอบเอาสบายไว้ก่อน เวลาเมามีให้ตลอดเวลาแต่เวลาซ้อมกลับไม่มี
" เธอกล่าว
"
ทุกครั้งที่ไปเล่นกับนักดนตรีคนอื่นๆจะโดนดูถูกอย่างมาก
แต่พี่ก็จะสู้ เพราะพี่หน้าหนาและก็ต้องอดทนอย่างมาก และอาจเพราะพี่จบปริญญาเอก
จึงทำให้คนอื่นดูถูกพี่น้อยลง ทุกครั้งที่พี่หิ้วกระเป๋าพร้อมโน๊ตเพลงที่พี่นำมาเรียบเรียงใหม่
ไปให้นักดนตรีJazz ตามร้านเล่นกัน ก็ไม่มีใครเล่นได้ "
และนี่คือสิ่งที่เธอคอยเน้นกับเราอีกอย่างก็คือ "
นักดนตรีต้องอ่านโน๊ตได้ เพราะนักดนตรีต้อง Jam ถ้าเราไปเจอเพลงที่เราไม่คุ้นแต่มีโน๊ตให้แต่กลับอ่านไม่ได้
มันก็ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น "
เธอยังให้แง่คิดเกี่ยวกับอาชีพทางนักดนตรีระหว่างคำว่า
" ครู กับ อาจารย์ " ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
" ศิลปะ …. ถ้าเราจะเป็นศิลปินเราจะเป็นครู แต่ ถ้า…
เราเป็นนักวิชาการเราจะเป็นอาจารย์ "
เพราะฉะนั้น ศิลปิน คือ ภาคปฏิบัติ อาจารย์ คือ ภาคทฤษฎี
และถ้าเราเลือกที่จะเป็นศิลปินแล้ว " You have to
be on stage " เพราะฟีตแบคจากการเล่นคือหัวใจของเราเลย
และถ้าหากว่าเราอยากจะให้ทุกคนนับถือจุดแรกตัวเราเองจะต้องเป็นศิลปินก่อน
แล้วคนก็จะค่อยๆปลาบปลื้มเราที่ละคนๆ แล้วเขาก็จะศรัทธาในตัวเรา
แต่ของพวกนี้ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก และท้ายที่สุดคือเงินทอง
และชื่อเสียง ทั้งหมดจะตามมาหาเราเอง
หลังจากนั้นเราก็ย้อนถามเกี่ยวกับการก่อตั้งวง ka-Ti Brazilian
Jazz Band ว่ามีที่มาอย่างไร เราก็ได้คำตอบว่า ในช่วงแรกมีเพียง
2คน ก็คือเธอกับมือกีต้าร์อีกคนหนึ่ง ก็เริ่มจากการเล่นตามงานบ้างครั้งก็ได้ค่าตอบแทน
บ้างครั้งก็ฟรี แล้วก็ค่อยๆเล่นไปเรื่อยๆ จากวงเล็กๆก็เริ่มมีคนโน้นคนนี้เข้ามาเล่น
ก็เริ่มมีคนจ้างเล่นโดยมีค่าตอบแทน ทั้งหมดก็ค่อยๆขึ้นมาทีละก้าว
ปัจจุบันก็ก่อตั้งมา 4ปีได้แล้ว ทุกอย่างก็เริ่มลงตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นอย่างที่เห็นในตอนนี้
ปัจจุบัน ka-Ti Brazilian Jazz Band เล่นประจำที่โรงแรม
Marriott Resort & Spaและมี concert เฉพาะกลุ่มบ้างครั้ง
และอีกไม่นานพี่กะทิก็กำลังจะไปศึกษาต่อทางด้านดนตรีและกำลังจะมีconcert
ก่อนจะไปเร็วๆนี้
ที่ Emporium Music Festival, เสาร์ที่ 18 มกราคม 2546
อุปกรณ์ที่พี่กะทิใช้
Gibson รุ่น Chet Atkins
George Benson GB 10
Takamine (Custom Made) NP - 65C
หากอยากพูดคุยกับพี่กะทิติดต่อได้ที่
: bangkokti@hotmail.com
หรือ
www.katijazz.com