|
|
Interview:
พี่ฉ่าย
(สมชัย ขำเลิศกุล)
07/07/2000
โดย
เปิ้ล, โจ้, ดู๋ดี๋,
เดียว |
สวัสดีครับครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะครับ
ที่คอลัมภ์นี้มาพบกับเพื่อนๆทั้งหลายและมือกีต้าร์ท่านต่อไปนี้ ผมเชื่อว่าถ้าเอ่ยชื่อมารับรองว่า มือกีต้าร์ส่วนใหญ่ต้องรู้จักรวมทั้งต้องเคยฟังผลงาน ของมือกีต้าร์ท่านนี้อย่างแน่นอนมือกีต้าร์ท่านนี้ คือ พี่ฉ่าย สมชาย ขำเลิศกุล ผู้ที่ผ่านงาน เล่นดนตรี, งาน producer และ งานแต่งเพลงในค่ายGrammy มาอย่างโชกโชน นับสิบปี ลองมาทำความรู้จักกับมือกีต้าร์ท่านนี้ให้เพิ่มมากขึ้น และฟังจุดประสงค์ของการเล่นดนตรีของมือกีต้าร์ท่านนี้ดูนะครับ
ผมเชื่อว่ามุมมองต่างๆบวกกับประสบการณ์ของพี่ฉ่ายจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนๆนะครับ
|
GT : สวัสดีครับพี่ฉ่าย
พี่ฉ่าย : สวัสดีครับน้องๆชาวกีต้าร์ไทย
GT : อยากให้พี่ช่วยเล่าประวัติส่วนตัวของพี่และประวัติการเล่นดนตรีของพี่ด้วยครับ
พี่ฉ่าย : ปัจจุบันพี่อายุ 52 เกิดและโตอยู่แถว สุรวงค์ เรียนหนังสืออยู่ที่วัดสุทธิวราราม กว่าจะจบได้ก็แทบแย่ เพราะหนักไปทางเล่นดนตรีเยอะ ตอนนั้นก็มีน้าชายที่เป็นนักดนตรีและเขาก็มีวงของเขา สมัยนั้นพี่อยู่ประมาณ ม.1 หรือ 2 เนี่ยะแหละ ชอบมากเลยน้าชายคนนี้ เล่นดนตรีที่ไหนก็จะตามไปดู ไปนอนที่บ้านเค้าไปเล่นกีต้าร์เค้า ตอนนั้นประมาณปี 1960 ได้นะ Rock ' n Roll เก่าๆพวก Rock a billy ประมาณ Chuck Berry อะไรอย่างเนี๊ยะ ผมก็เลยได้รับอิทธิพลมาจากรุ่นพวกน้าๆ พี่ๆ พวกนี้มาตลอดเลย
ตอนนั้นก็จะเล่นเพลงพวก The หลังจากนั้นก็มาทำวง Fantasy Five เล่นเพลงพวก The Beatle เช่นกัน ซึ่งวงนี้สร้างชื่อให้เรามากนะ
GT: พี่ฉ่ายชอบ Jazz ใหมครับ?
พี่ฉ่าย : นี่มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ Jazz เพราะมันไม่มีขอบเขต มีการเปลี่นแปลงทุกครั้งที่เล่น ถามว่าผิดไม๊! ไม่ผิดหรอก แต่ถ้าถามว่า ดี ไม๊ ก็ดีกว่าเมื่อวาน คือมันจะไปของมันไม่มีวันสิ้นสุดเลย คือในมุมมองของพี่นะ พี่ว่าจะเข้าใจดนตรี Jazz ต้องผ่านดนตรีอย่างอื่นมาก่อนแล้วเราจะ improvise เป็นก็ต่อเมื่อเราเอาอะไรทุกอย่างมาอยู่ในตัวเราแล้วเราก็เอามาปะติดปะต่อกัน มันจะเป็นแบบลูกโซ่ แล้วก็ต้องฟังอย่างอื่นมาให้หมด เพราะถ้าไม่ฟังคุณจะขาดทุน ต้องฟังพวกเครื่ออองเป่าเยอะๆ พวก John Cotain , Charie Parker
GT : แล้วหลังจากวง Fantasy Five แล้วพี่ทำอะไรต่อครับ
พี่ฉ่าย : ก็ไปอยู่ต่างประเทศ ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ อเมริกาน่ะ ก็อยู่ประมาณ 20 ปีได้ คือ ที่ไปเพราะอยากปีนภูเขาไปดูฝั่งโน้นบ้าง ดนตรีของเขามันเป็นอย่างไร คนดูเป็นอย่างไรบ้าง คือมันไม่รู้จะไปไหนแล้ว ที่สุดก็เดินทางไปต่างประเทศ ตอนเเรกก็คิดว่าจะเลิกเล่นดนตรีตอนนั้นก็ประมาณ 19 -20 ปีรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้ว ( หัวเราะ ) คือบางคนอาจไม่เข้าใจนะเพราะผมมีครอบครัวต้องดูแลตอนนั้นก็มีลูกแล้ว ด้วยรู้สึกว่าว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องมีความรับผิดชอบ เพราะผมไม่มีความรับผิดชอบเลยในตอนเด็กๆ คือที่บ้านไม่ค่อยเบรกผมเลยอยากทำอะไรก็ทำ แต่ผมก็ไม่เคยทำอะไรเสียหายนะ ตอนนั้นตัดผมสั้นแล้ว กลางคืนทำงานร้านอาหารเป็นบาร์เทนเดอร์กลางวันไปเรียน เป็นกิจวัตรเลยแหละ ไปอยู่ 3 -4 เดือนมือไม้เริ่มคันทนไม่ไหว ก็ไปแจมกับวงฝรั่ง ตอนนั้นผมมีฟลุทจากเมืองไทยไปอันเดียวกีต้าร์ดีๆทิ้งไว้ที่เมืองไทยหมดให้เพื่อนหมด ไปแจมกับวง trio กีต้าร์ เบส กลอง มีฟลุทไงไปแจมกับเค้าจนกระทั่งเราบอกเขาว่าเราเล่นกีต้าร์เป็นด้วยเขาก็บอกว่า มาเลย มาแจมกันก็เริ่มรู้จักกันก็ไปซื้อ SG มาตัวนึง ตอนนั้นราคาถูกมาก ประมาณ
8,000 บาทได้ เพื่อนก็เลยชวนมาเล่นด้วยกัน โดยให้เจ้าของบาร์จ้างเพิ่มอีกคน ก็เลยออกจากงานเลย เล่นอย่างนี้ทุกคืนดีกว่ามีความสุขกว่ากันเยอะ มีรายได้ที่ดีสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ผมก็เล่นหลายวงนะ เล่นเพลงป๊อป,โซลล์ บ้าง เล่น CCR อะไรอย่างงี้ ตอนนั้นซ่าส์สุดๆ ผมยาวๆตัวผอมๆ ได้เล่นตามคลับต่างๆ ทั่วอเมริการ และ ที่แคนาดา
GT : แล้วพี่ไปเล่นได้อย่างไรครับกับวงที่เล่นต่างสไตล์กันออกไป
พี่ฉ่าย : ก็อาศัยใจกล้าๆหน่อย ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูงพอสมควรที่เราจะ handle กับสถานการณ์ต่างๆได้ เราคิดว่าเราฝึกฝนมาพอสมควรคิดว่าเราเอาอยู่ คือฝรั่งจะไม่ค่อยถือเท่ไหร่เค้ารู้ว่าเราเป็นคนเอเชีย คือเราริองเพลงได้ด้วยคืนนึงร้อง 7 - 8 เพลงทำให้งานเค้าง่ายขึ้น เขาก็ O K ถึงแม้ว่าเราจะเล่นสู้เขาไม่ได้ก็ตาม เปลี่ยนวงเยอะมาก เข้าวงโน้นออกวงนี้ หลังจากนั้น ก็ได้ไปเรียนเกี่ยวกับห้องบันทึก
GT : ทำไมพี่ถึงเลือกเล่นกีต้าร์ครับ
พี่ฉ่าย : ไม่ได้เลือกแต่มันเป็นอัติโนมัติมากกว่า คือโตมาเราก็เห็นกีต้าร์เลย คือความคิดของผม คือ ร๊อก แอนด์ โรล คือสิ่งคู่กัน เป่าทรัมเป็ต (Trumpet) นี่ไม่ใช่เลย คือวงดุริยางค์ ไม่เท่ห์ จีบผู้หญิงไม่ได้ ( หัวเราะ )
GT : ตอนนี้พี่ทำงานอะไรบ้างครับ
พี่ฉ่าย : ตอนนี้ก็ทำพวก producing แต่งเพลงให้กับ RPG ซึ่งเป็นสาขาของ Grammy เป็นบริษัทใหม่ ตอนนี้ออกมาแค่อัลบัมเดียว คือ MR Team ช่วยดูแลเรื่องศิลปิน งานคอนเสิร์ต เรื่อง sound บ้าง แล้วก็เล่นดนตรีบ้างตามสภาวะที่เป็นไปได้
GT : พี่มีโครงการจะออกอัลบัมชุดใหม่ในนาม
กัมปะนีอีกหรือเปล่าครับ
พี่ฉ่าย : คงไม่แล้ว ตอนนี้ที่ผมทำอยู่คือผมทำเพลงบรรเลงราวๆ 4 อัลบัม เป้นเพลงฮิตของแกรมมี่ ซึ่งผมกับเพื่อนแต่งไว้ เป็นหลายสไตล์ เป็นชาโดว์บ้าง ฟิวชั่นบ้าง เป็นดนตรีแบบลองของน่ะ เพราะมันขายไม่ได้หรอก
GT : พี่ฉ่ายทำไมถึงสร้าง web site ของพี่ขึ้นมาครับ
พี่ฉ่าย : เพราะว่าเราไปดูอย่างที่เมืองนอก อย่างพวกเพื่อนๆผมเนี๊ยะ มันเป็น photo album คล้ายกับเป็นของส่วนตัวจะเปิดให้ใครดูก็ได้ ที่เราทำขึ้นมาเพราะอยากรู้ว่าแฟนชาโดว์มีเยอะไหม ทำเพราะสนุกมากกว่าแล้วก็อยากทำด้วย เป็นความรู้ด้วย ทำมาหลายปีแล้วนะ ตั้งแต่ 98 หรือ 97
GT : พี่มีวิธีฝึกฝนกีตาร์ต่อวันอย่างไรบ้างครับ
พี่ฉ่าย : ต้องให้เวลากับมันเยอะๆ ผมเล่นทุกวันตื่นมาเนี่ยผมจับกีต้าร์ก่อน ก็จะเล่นพวก Blues ซะส่วนใหญ่ แล้วก็จะเล่นไปเรื่อยๆ เวลาไปเล่นเเจมก็จะใส่เลย เพราะเรามีข้อมูลในหัวพร้อมแล้ว อาศัยฟังเพลงหลายอย่างทุกสไตล์ แล้วก็แกะเพลงเยอะๆ โรงเรียนเปิดทุกวัน อยากรู้ตรงนี้ก็นั่งแกะไป อ่านโน๊ตเป็นก็อ่านไป อ่านไม่เป็นก็แกะไป ต้องมีความพยายามสูงหน่อย
GT : เวลาที่พี่เป็น producer ให้ศิลปินคนอื่น พี่มีวิธีจัดการความกดดันนั้นอย่างไรครับ
พี่ฉ่าย : ความกดดันมันจะมีอย่างเดียวคือเวลา เรื่องดนตรีไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเพราะมันแก้ได้ แต่เวลาเราไม่สามารถเอากลับมาได้คือมันไปแล้วไปเลย คือทำงานจะให้ดีจะต้องมีเวลาเยอะๆ ปัญหาใหญ่ๆคือเวลาไม่ค่อยมี
เวลามา production เนี่ยะเวลาเป็นเงินเป็นทอง ห้องอัดค่าเช่าวันนึงเป็นหมื่น ก็ต้องหาวิธีบริหารให้ลงตัวคืองาน production ของบริษัท เขาจะ plan อะไรล่วงหน้าไว้หมด เช่นคุณบอกว่าวันที่ 1 พฤษภาคม งานคุณจะเสร็จ แต่คนทำ production เค้าก็ไปทำงานของเขา ถ่ายรูป ทำ promote ไว้เรียบร้อยเลย แต่ปรากฎวันที่ 1งานของคุณไม่เสร็จ ที่นี้ละเป็นเรื่องความกดดัน เค้าจะมานั่งรอคุณทุกวันเลย
GT : หลักการที่พี่ใช้ในการแต่งเพลงละครับ
พี่ฉ่าย : เราจะดูจากศิลปินเป็นใหญ่ ร้องเพลงประเภทไหนแล้วก็เอาตรงนั้นมาตีความ ส่วนมาก producer จะเป็นคนบอกว่าต้องการเพลงประเภทไหน เช่น อยากได้เพลงช้า ที่ฟังแล้วรู้สึกน่าจะลอยเป็นฟองสบู่ เราก็เอามาคิด คือส่วนตัวผมจะมี เทป เล็กอันนึงไว้ในรถ เรานึกอะไรได้ก็อัดไป กลับมาก็เปิดฟังแล้วก็ถ่ายลง
GT : ปัจจุบันพี่มีกีต้าร์กี่ตัวครับ
พี่ฉ่าย : มีกีต้าร์โปร่งไฟฟ้า 12 สาย Ibanez ตัวนึง , strat rint 2ตัวตัวที่ใช้มากที่สุด เป็น strat ultra แล้ว gibson chet atkin แล้วก็กีต้าร์โปร่ง gibson j - 45 ,tele รุ่น vintage สีแดง กับ tele plus สี sunburt , กีต้าร์โปร่ง martin d - 35 เสียงดีมาก แอมป์ผมก็จะใช้ fender รุ่น blues deluxe เวลาเล่นสดผมจะไม่ใช้ effect เยอะ
ผมจะชอบเสียงแข็งไม่ชอบเสียงบางๆ ส่วนตัวจะชอบเล่นสไตล์เก่าๆ ที่คนอื่นเค้าไม่เล่นกันแล้ว เสียงกีต้าร์ไม่ค่ยมี drive ไม่ค่อยมี reverb เสียงแหลมผมจะปรับครึ่งนึง เสียงทุ้มประมาณเบอร์ 4 reverb ก็จะเปิดนิดหน่อย
ให้ความรู้สึกว่ามันมีห้อง นอกจากเวลา solo จะมีเสียง drive เพื่อให้มันเข้ากับยุคหน่อย และ Burns Marquee

|

|
GT : effect ที่พี่ใช้มีอะไรบ้างครับ
พี่ฉ่าย : ผมใช้น้อยมาก 2 - 3 เสียงเท่านั้นเอง ขั้นแรกคือเสียงกีต้าร์เปล่าๆไม่มีอะไรเลย ขั้นที่ 2 คือเสียง chorus แล้วมีเสียงนวลๆของตู้ เลสลีย์ แล้วก็มีเสียง drive เท่านั้นเอง ทั้งหมดเนี่ยมันจะอยู่ที่ kong ax 200 เป็น multi effect ผมมี echo อยู่ 3 ตัว ผมสะสมของพวกนี้อยู่นะ
GT : สายกีต้าร์พี่ใช้เบอร์อะไรครับ
พี่ฉ่าย : พี่ใช้ ennieball เบอร์ 0.10
GT : พี่ขอบฟังงานของใครเวลาพักผ่อนครับ
พี่ฉ่าย : พี่ฟังงานของ chet atkin , jeff beck มือกีตาร์ที่ผมชอบที่สุดในโลกคือ jeff beck เพราะ action แกรุนแรงมาก คือเป็นคนที่เล่นกีต้าร์แล้วไม่รู้ว่าเป็นคนอย่างไร eric clapton ยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย
GT : พี่ชื่นชอบมือกีต้าร์คนอื่นอีกหรือเปล่าครับนอกจาก jeff beck
พี่ฉ่าย : พี่ชอบความนิ่มของ chet atkin , hank marvin, Mark Knoffler, Tommy Emanueul พวกวงบรรเลงอะไรพวกเนี๊ยะ ชอบ steve vai แต่เล่นกะเค้าไม่เป็นหรอกนะ ใหม่ๆก็ชอบ eric johnson ซึ่งฟังแลวก็มีความสุขดีนะ อีกคนนึงก็คือ gorge benson เมืองไทยก็ชอบหมูตะวันกับโอม 2 คน ชอบ ป๊อป the sun หมูคาไลก็ชอบ หรือ หมีคาราบาว
GT : อยากให้พี่ช่วยวิเคราะห์วงดนตรีไทยในปัจจุบันด้วยครับ
พี่ฉ่าย : พวกเราผ่านความโหดมาเยอะมาก สำหรับวงดนตรีบ้านเราเนี่ยะปัญหาคือมันไม่มีตัวอย่างที่ชัดเจน ต้องต่อสู้กับวงดนตรีต่างประเทศ ทุกวันนี้ยังต้องทำดนตรีแข่งกับฝรั่ง ดนตรีไทยถึงจะดียังไงมันก็ดีไม่เท่าฝรั่งในสายตาของคนไทย แต่ว่าคนไทยน่าจะมีความภาคภูมิใจในดนตรีของไทยมากขึ้นดนตรีของคนไทยมีอะไรเท่ากับดนตรีฝรั่งแทบจะทุกอย่าง คามสามารถเราอาจจะสู้เขาไม่ได้แต่ถามว่ามีไหม เรามีความสามารถในส่วนของเราที่สามารถทำให้ผู้ฟังมีความสุขได้ มีดนตีลูกทุ่ง มี ร๊อก แต่ว่าตลาดยังเปิดไม่เหมือนกันปัญหาใหญ่ก็คือมันจะเป็นคนซื้อกลุมเดียวกันอยู่แต่ว่ามันก็จะต้องเปลี่ยนไปไง อย่างหมูคาไรเนี่ยะเป็นตัวอย่าง เป็น standard ถ้ามึงจะเล่นกีต้าร์ให้เก่งมึงต้องเล่นใหเก่งกว่าพี่หมู คือพวกเรามันไม่มีประวัติศาสตร์ไงไม่เหมือนต่างประเทศที่เค้ามีประวัติศาสตร์ บ้านเรามันไม่มี คนที่เป็นประวัติศาสตร์ไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ เพราะเราไม่ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้เค้า เราไม่เคยยกย่องเค้า แต่ว่าทุกอย่างมันย่อมเปลี่ยนไปได้ ในวันนึงถ้าคนพวกนี้ได้มีโอกาสมาทำงานที่เป็นมาตราฐาน ซึ่งเราจะเอาตัวดีๆเนี่ยะเป็นมาตราฐานของความดีได้ พอเรามีมาตราฐานเราก็จะมีความเป็นสากลมากขึ้น เช่น อัสนีเนี่ยะ เด็กจะพูดว่าน้าคนนี้ เจ๋งเลยวันนึงเด็กก็จะเอาเพลงอัสนีมาร้อง แล้วถ้ามันร้องเก่งกว่าอัสนี มันก็จะดังมากเลย คนที่เราพูดถึงก็คือ เสก โลโซ อะไรอย่างงี้ ผมคุยกับเสก เค้าก็บอกว่า พี่ ป้อมเป็นคนที่ผมดูอยู่ตลอด เค้าก็สงสัยว่าพี่ป้อมเล่นอย่างไร ทำยังไงต่อไป วันนึงก็จะมีเด็กมาถามว่าพี่เสกเล่นยังไงต่อไปเหมือนกัน พี่เสกเล่นดนตรีเหมือนกับพี่ป้อมเลยมันก็จะเป็นตำนานไง มันจะเริ่มเข้มแข็งขึ้น เราจะเริ่มรู้ว่าอะไรดีไม่ดี อะไรที่ไม่ดีก็ให้แม่งไปซะ ของดีเราก็ต้องเชิดชู ระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมามันเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีแดงเลยนะสำหรับวงการดนตรีบ้านเรา แล้วคิดดูซิว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราสามารถเปลี่ยนโฉมไปได้อีกขนาดไหน คนไทยเรามีมาตราฐานสูงมากประเทศหนึ่งของโลก ผมคิดว่าในเอเชียต่อไปเราจะเป็นที่ 1 ในเอเชีย
GT : แล้วในด้านของกีต้าร์ในยุค 2000 ละครับ จะเป็นอย่างไรครับ
พี่ฉ่าย : กีต้าร์ไม่ไปไหนหรอกครับ กีต้าร์กับ rock n' roll จะมาพร้อมกัน แล้วก็จะอยูไปจนโลกแตกน่ะ
|
|
|
|