Ex.1 Vinnie Moore {solo: prelude into the Future } from time odyssey

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า เป็นท่อน solo ที่โหดที่สุดของเพลงนี้ เพราะต้องกางนิ้วค่อนข้างกว้าง ในแนวนอน และการข้ามสายที่ ผสมด้วยการ Hammer on & pull off ที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนัก และ อารมณ์ของตัวโน้ตนั้นควบคุมยากจริง ๆ ลองจัดรูปมือเป็น box อาจง่ายขึ้น vinnie ใช้ Sound จาก Bdim7 ( B D F Ab ) บน chord G5 หรืออาจมองภาพรวมเป็น G mixolydian b9 ก็ได้ มาสร้าง lick ท่อนนี้ จริง ๆ ทางเสียงของ Dim7 แบบนี้ เราจะได้ยินบ่อยมากจากเจ้าชายลมกรด( Yngwie ) เพียงแต่วินนี่เอามาทำ ให้มันแตกต่างกัน ในเรื่องของเสียงและ ความรู้สึก ที่สำคัญ ความยากในการสร้างความสัมพันธ์ของมือซ้ายและขวาอยู่ในระดับ S { คำเตือนอาจไม่เหมาะกับผู้ที่สะพายกีตาร์ต่ำ ๆนะจ๊ะ } ยกเว้น Nuno

Ex.2 Paul Gilbert { Colorado Bulldog} from Bump Ahead

สำหรับ เพลงนี้ผมคิดว่าเป็นการจัดทางนิ้วมือซ้ายในความยากระดับ S เหมือนกัน เพราะจะไม่มีรูปแบบที่ซ้ำกันเลยในเรื่องของทางนิ้ว และไม่น่าเชื่อว่าคิดมาจาก E pentatonic minor ที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะถ้าเล่นแนวตั้งนี่ถือว่าเป็น Basic From เลยทีเดียว คงเป็นมุมมองอีกมุมของผมว่า “ ถ้าทำให้ง่ายสุด ๆ ได้ ก็สามารถทำให้มันยากสุด ๆได้ ” เช่นกัน แต่เพื่อจุดหมายอะไร ต้องหาคำตอบกันเองนะครับ ในส่วนของมือขวานั้น Gilbert จัดเป็นระบบเดียวกันหมด คือเป็นการดีด Hammer on + alternate / pull off + alternate (3 note string / Sequencer ) ผมรู้สึกว่าตอนขากลับจะง่ายกว่าตอนเริ่ม อาจเป็นเพราะตอนเริ่มต้องกางนิ้วกว้างมาก ๆ และนิ้วมีการจดจำรูปแบบที่ยากกว่าขากลับ ซ้อมเพลงนี้ต้องใจเย็นมาก ๆ เน้นในเรื่องการจดจำทางนิ้ว อย่าโลภรีบเล่นมากได้มากไม่เอานะครับ เพลงนี้เหมาะสำหรับฝึกเล่นเป็น band ก็เยี่ยมนะครับ { คำเตือนทางนิ้วนี้ไม่ค่อยเหมาะกับนิ้วที่ยังไม่แข็งแรง ควรไปเล่นทางนิ้วของ Richie Kotzen ก่อนครับ }

Ex. 3 John Petrucci { Erotomania } from Awake


พอได้ข่าวว่า Dream จะมา ผมรู้สึกว่าเป็นกระแสที่แรงมากทีเดียว ใคร ๆก็พูดกัน โดยเฉพาะคุณ ตุ้ย( indijo ) แฟนพันธ์แท้เลย บอกว่ารอดูมานานแว้ว.. สำหรับมือขวาจากนรกคนนี้ ลองดู lick เพลงนี้เลยครับ เพราะมือขวาเพลงนี้ยากระดับ 5 ดาว ถ้าใครชอบฝึกปั่นก็น่าจะเข้าทางเลย เป็นการสร้าง ทำนองแบบ sequencer ที่เคลื่อนที่ โดยเน้นในแบบ step ใน 1 phrase / 2 beat โดยคิดจาก F major scale เป็นหลัก ใช้ octave มาช่วยสร้างสีสัน ให้ทำนองมีรูปร่างของทำนอง ( ลง-ขึ้น-ลง) ที่กลมกลืนไปกับทางเดิน chord หลักใน F Major key ( ii iv vi I ) มีการเปลี่ยนคีย์( modulation ) เป็น G major key ใน bar ที่ 6 -8 ( I ii vi ) แล้วกลับเข้ามาใช้ทางเดิน chord หลักเดิม จุดเด่นของท่อนนี้ก็คือการใช้ โน้ต 5 พยางค์ ( subdivide 5 part ) ตลอดทั้งท่อน จึงทำให้ระบบการดีดแบบ Alternant ลำบากขึ้นเพราะ ทางปิคจะไม่เหมือนกัน และที่สำคัญคือความรู้สึกของกลุ่มเสียงในแต่ละ beat ที่ต่อเนื่องและแน่นอน บวกกับความรู้สึกที่ไม่ธรรมชาติเท่าไร ลองฝึกดีดเป็น single note 5 ตัว / beat ก่อน เพื่อจับความรู้สึกให้ได้ก่อน ก็จะน่าจะช่วยทำให้เราได้ phrasing ที่ smooth ขึ้นนะครับ { คำเตือน ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่มี เมโทโนม ในการฝึก } ใน lick ทั้ง 3 Ex. นี้ ถ้าสังเกตดี ๆ จะมีรูปแบบ และสไตล์ ของตัวเองอยู่ค่อนข้างชัดเจนนะครับ ทั้งการดีด และการจัด lick line ที่ลงในบทเพลงของพวกเค้า ซึ่งเป็นอาจเรียกได้ว่าเป็นความเฉพาะ ในการใช้เทคนิคของแต่ละคน โดยส่วนตัวผมคิดว่า การเล่นเทคนิค หรืออะไรที่ฝึกยาก ๆ นั้น เป็นสิ่งที่ดี และได้ผลที่ชัดเจนสำหรับการฝึก แต่ ดนตรีที่ดีนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเล่นยากเสมอไป