10660
|
|
Hotshot:
The Edge มือกีตาร์วง U2 1/17/2003 อ.โจ้
|
"ถ้ายากฟังนักกีตาร์ที่น่าสนใจ
ต้องลองฟังงาน กีตาร์ของU2 ดู "
เป็นประโยคที่ผมจำได้ตั้งแต่ตอนเรียน มัธยม
ซึ่งพี่ชายของเพื่อนผมเป็นนักฟังเพลงสากล
ซึ่งตอนนั้นผมฟังแล้วก็งั้นๆ ไม่ค่อยชอบ เพราะThe Edge
มือกีตาร์ U2 ไม่ค่อยปล่อยลูก solo ในเพลงเลย โดยเฉพาะ ลูก
Run หรือ speed นิ้ว แทบไม่มีให้เห็นเลย เล่นแต่เสียงchord
ที่ฟังซ้อนไปมากับเสียง delay แต่แปลกที่
เขากลับไดัรับรางวัลมากมาก โดยเฉพาะที่ผมพอจำได้
ก็คือได้รับการโหวดจากนิตยสาร guitarplayer ในสาขา rock
ประมาณปี 82
นั้นเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ผมต้องกลับมองนักกีตาร์คนนี้อีกครั้งในตอนนั้น
!!
จนถึงวันนี้ผมก็ไม่ได้ตามงานของ U2 มากนัก
แต่ก็ยังสนใจอยู่บ้าง จนเมื่อไม่นานมานี้เอง ผมมีโอกาสได้ดู
concert at boston ของวง U2 ใน UBC ยอดเยี่ยมครับ U2
ยังเป็นวง(modern rock)ที่มีพลัง
และความยอดเยี่ยมของดนตรีอยู่เต็มเปี่ยม วิธีการเล่นของ The
Edge ทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังฟังงานเพลงของU2 จากทุก ๆคน
ที่กลมกลืน , ไพเราะ และเป็นหนึ่งเดียวกัน
ผมก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าผมนั่งดู The Edge
เล่นกีตาร์ได้อย่างน่าสนใจ ตลอดโชว์ ( 2 ชั่วโมง )
โดยที่เขาแทบไม่ได้ solo เลย มีการใช้ sound
กีตาร์ได้หลากหลายเช่นการ Slide, E-bow ฯลฯ
เขาทำให้ผมมองข้ามสิ่งที่นักกีตาร์ยึดติดมานาน(การsolo)
ได้เลยที่เดียว เรา มาดูวิธีการเล่นของ The Edge
กันเลยนะครับ
Ex.1: Main Riff / Gloria: October 1981

Ex1.a Discothe'que : Pop

เพื่อน ๆ ลองนึกย้อนยุคไปหน่อยแล้วกันนะครับ ว่า riff
เพลงนี้เล่นมาตั้ง 20 กว่าปี แล้ว
แต่ในความรู้สึกของผมว่ายังเป็น sound ที่ฟังร่วมสมัยอยู่เลย
(เพื่อนลองเอากีตาร์มาดีดดูเลยครับว่ารู้สึกยังไงบ้าง!!)
riff เพลง Glorio จากอัลบั้มชุด October(1981) The
Edge ผมเลือกเอามาแค่ 2 bar จาก 4 bar เพื่อจะได้เข้าใจง่าย
นะครับ หัว Riffนี้ ใช้วิธีการเล่นที่ไม่ซับซ้อนแต่ฟังดี
โดยเฉพาะท่วงทำนอง กับเสียงสายเปิด ที่เรียกได้ว่าเป็น
Characteristic sound ของเขา โดยใช้โน้ตเพียง 4 ตัวเท่านั้น
คือ E B D A ในchord E5 โดยใช้ E natural note เป็นสายเปิด
เป็น line ควบคู่ ไปกับแนวทำนอง ตอนฝึก ผมแนะนำให้เพื่อนๆ
ลองเล่นแนว melodie จนพอจำได้ก่อนนะครับ
อย่างพึ่งไปเล่นเสียงสายเปิด
เพราะอาจทำให้เราจำทำนองที่แท้จริงได้อยาก ผมคิดเองว่า The
Edge ก็อาจคิด line melodie ก่อน
แล้วค่อยใส่เสียงสายเปิดที่หลัง เพื่อสนันสนุน sound
ของแนวทำนองนี้ สำหรับผมพอลองเล่นดูแล้วจะรู้สึกว่า ฟังง่าย
ไฟเราะ แต่เล่นไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเสียงทำนองใน up beat
ที่ทำให้เล่นยากขึ้น กับเสียงสายเปิดที่สม่ำเสมอนั้นต้อง
เล่นให้ออกมามีมิติที่แตกต่างกัน แต่ต้อง Balance กันด้วย
พูดง่าย ๆก็คือ เราต้องเน้นความรู้สึกที่แนวทำนอง
ที่มีเครื่องหมาย Accent ( > ) มากกว่าเสียงสายเปิด !! (
riff นี้ ของผมใช้วิธีการดีดลงอย่างเดียวครับ
ควบคุมนำหนักและทิศทางของเสียงง่ายดี) ส่วนใน Ex.1a เป็น
Riff มันส์ ๆ ใน feel แบบ Hendrix เพราะ The Edge ใช้
Heavily fuzzed tone สัดส่วนสนุกครับ เพื่อน
ระวังส่วนโน้ตปลายจังหวะ(sixteen note) ดี ๆ ก็แล้วกัน
Ex.2 Shadows and tall trees : Boy (Acoustic guitar)

ที่นี้เรามาดู sound จากchord สายเปิดของเขา ดูบ้าง ในเพลง
shawdows and tall tree นี้ The Edge ใช้รูปจาก basic chord
แต่เปลี่ยน sound โดยใช้เสียงสายเปิด 1= E ,
เป็นตัวช่วยทำให้เกิด เสียง chord- Gadd 6 (G B D E) Badd 11
(ฺB F# D# E ) เสียงสายเปิดสาย 2 = B ช่วยทำให้เกิดเสียง
chord CMajor 7 ( C E G B) , Aaad9 (A C# E B) เพื่อน ๆลองสังเกตดูการเลือกใช้
ทำนองจากโน้ตในchord นั้น เขาเลือกใช้ ค่าของต้วโน้ต และการ
Tie เสียงโน้ตได้อย่างมีทิศทาง และลงตัวกับท่อนเปิดเพลงของ
Shawdows....../ U2
Ex.3 Pride (In the Name of love) : The Unforgettable
Fire

การปรับเสียง Deley ของ The Edge ก็เป็นsound
เอฟเฟตหนึ่งที่สำคัญในงานของ U2 ทุกชุด
เพราะเขาใช้มันช่วยสร้างมิติของแนวทำนอง และความหนาแน่น
ให้กับแนว rhythmic ของ line guitar
ที่สำคัญเป็นสีสันดนตรีในแบบ U2 ผมคิดว่า The Edge ต้องคิด
ทดลองทำ ซึ่งผมคิดว่ามันที่เรื่องที่หินมาก ๆครับ "เพราะเราต้องเป็นผู้เริ่มต้นนับ1
เอง โดยไม่มีใครเป็นตัวอย่างเลย
เหมือนเดินหาทางออกในที่มืดนะครับ"
เขาอาจจะประยุกต์วิธีการเล่นในแบบของเขา + กับการตั้งเสียง
Deley ให้เหมาะและลงตัวกับ sound และงานเพลง ของ U2
ร่วมทั้งคิดวิธีเล่น Line Guitar
ที่ต้องสร้างสีสันในบทเพลงอยู่ตลอดเวลา ( วง 3 ชิ้น)
เพลงนี้เขาตั้ง เสียงDeley ใว้ที่ time- 425 milliseconds
feedback -0 level- 100 tempo of crothet = 106
ซึ่งเป็นวฺธีการตั้งเสียงที่เขาใช้บ่อย ๆ ในงานของเขา
ซึ่งเป็นการตั้งเสียงตาม
ซึ่งเราต้องแม่นจังหวะและสัดส่วนของแนวทำนองที่ต้องดีดแบบ
100 % และสอดคร้องกับ ช่องว่างของเสียงโน้ต กับเสียง Deley
ลองหาเพลงนี้ฟังดู แล้วลองศึกษาดูอีกที่นะครับ (เผอิญผมไม่มีCD
เพลงนี้ฟัง)
Ex.4 Colour the arpeggio / Discotheque : Pop

ในการเล่นกีตาร์
ของThe Edge ผมสังเกตเห็นการใช้มือขวาของเขา
ทั้งการให้น้ำหนัก (หนัก เบา สั้น ยาว)
และการสปริงมือในการสับ chord กับLine Rhythmic ที่แน่นอนมาก
โดยเฉพาะการดีดโน้ตในแนวตั้งของรูป chord
ที่มีการสลับข้ามสายไปมา กับเสียงDeley
ผมเห็นเขาเล่นสดได้อย่างสบาย ๆ โดยสามารถควบคุมได้ทั้ง เสียง
และFeeling ของเพลง ซึ่งมันแสดงถึงการฝึกฝนเทคนิคมามากมาย
ผมคิดว่า " เขาไม่ได้เอาเทคนิคมาเล่นและพัฒนาในแบบ speed
นิ้ว หรือ Sweep pick ฯลฯ
เพียงแต่เขานำมาใช้กับทิศทางที่เขาคิดค้น
ในวิธีเล่นแบบตัวเขาเอง และU2 " ใน Ex.4 นี้
เป็นการเล่นในรูปchord arpeggio ที่มีท่วงทำนอง และสีสัน
ที่หลากหลายใน chord Bm(7) (ฺB D F# A) , E (E G# D) โดยใช้
clean tone sound เพื่อน ๆลองจัดมือซ้ายในรูป chord ดูนะครับ
แต่ต้องเก็บเสียง โน้ต และจัดวิธีการดีดให้ดี
เพื่อให้เสียงออกมาเป็นธรรมชาติ เพราะเป็นส่วนโน้ตเดิมตลอด(
eight note ) แต่ท่วงทำนองกลับเคลื่อนที่ตลอดเวลา
รวมทั้งการดีดข้ามสายจะทำให้เสีย ในเรื่องของจังหวะและ
น้ำหนักได้ ลองซ้อมช้าก่อนนะครับ ในความรู้สึกของผม The Edge
เป็นมากกว่านักกีตาร์ เขาเป็นนักคิด และกล้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ
ให้กับวิธีการเล่นของตัวเอง
ผมว่ามันยากมากที่เราจะทวนกระแสความนิยม อยู่
ในขณะที่คนส่วนใหญ่เขาตามกระแสความนิยม และการยอมรับ ซึ่ง U2
ก็ผ่านกระแสการเดินทาง แห่งยุคสมัยดนตรีต่างมามากมาย
ซึ่งมันบอกถึง ความสำเร็จที่แท้จริง ซึ่งผมก็เชื่อนะ
ว่าน่าจะได้มาจากจิตใจที่แข็มแข็ง ,ความจริงใจ ,ความคิด ,
ขยัน , อดทน ฯลฯ ซึ่งคุณอาจต้องทำงานให้หนัก(กว่าคนอื่น)
พยามคิดให้มาก ๆ และลงมือทำให้เต็มกำลัง เหมือนที่ The Edge
และ U2 ได้ลุยไปก่อนแล้ว ... .... .. ...แล้วเจอกันใหม่ครับ
**เออ!ลืมบอกไปเสียงกีตาร์ของThe Edge
เป็นเสียงที่ควรจะฟัง ศึกษาในบทเพลงของ U2 ไปด้วย
เพราะเป็นการทำงานแบบ Band ไม่ใช่แบบ guitar Hero
ขวานที่ใช้บ่อย ๆ : Gibson Explorer 1945 , Fender
Stratocaster 64(maple nack) ,
|
|
|
|