Guitarthai : boss gt10 เป็นเอฟเฟคที่สมบูรณ์แบบ ครอบคุมทุกซาวจริงไหมคับ

(เพจ: โรงเรียนกีตาร์ไทย)

(เพจ: Guitarthai.com)

boss gt10 เป็นเอฟเฟคที่สมบูรณ์แบบ ครอบคุมทุกซาวจริงไหมคับ

มันมีข้อติอะไรไหมคับเมื่อเที่ยบกับboss gt100

P.RAWUT 3 ส.ค. 56 เวลา 10:04:00

พิมพ์

แจ้งลบ IP = 180.183.232.237

คำตอบที่ 1

ถามว่าสมบูรณ์แบบมั้ย?

หากการใช้งานเราสามารถใช้ได้คุ้มค่าและได้เสียงที่ดีตามต้องการก็ถือว่าสมบูรณ์ครับผมใช้มาถือว่าดีสำหรับการเล่นอาชีพทุกคืน

แต่ข้อเสียคือไฟจอที่สว่างมากเกินไปกับสีฟ้าแบบนี้...อยู่บนเวทีตาจะบอดเอาง่ายๆ

หมากกระเด็น

3 ส.ค. 56 เวลา 16:27:00 IP = 180.183.212.4
สมาชิกแบบพิเศษ

คำตอบที่ 2

มันสมบูรณ์แบบ ไม่ทุกคนหรอกครับ

ไม่งั้น gt100 คงไม่เกิด อิอิ

takzakub

3 ส.ค. 56 เวลา 21:33:00 IP = 180.183.60.144
สมาชิกแบบพิเศษ

คำตอบที่ 3

อย่าเรียกว่าเป็นข้อติเลยครับหากจะเทียบกันระหว่าง GT-100 กับ GT-10 เพราะหลักๆแล้วการทำงานใกล้เคียงกัน อยู่ที่ว่าเราชอบการใช้งานแบบไหนมากกว่า

แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบข้อแตกต่างชัดๆจะมีดังนี้ครับ ( ความเห็นส่วนตัวนะครับ เพราะผมมีทั้ง 2 รุ่น )

1. วัสดุของ GT-10 ดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าเล็กน้อย สังเกตุได้จาก Knob ที่ตัว GT-100 จะออกไปทางพวกตะกูล ME ( ส่วนปุ่มของ GT-10 ออกไปทางตระกูล Roland VG ) สำหรับผมปุ่มของ GT-100 มันดูบอบบางพิลึก แต่เอาเข้าจริงมันก็แข็งแรงทนทานตามสไตล์ Boss เขาล่ะครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆแทบไม่ต่างกัน Pedal ของ GT-100 ดูมีน้ำหนักเบาไปนิด แต่ก็เหมาะสมแล้ว เพราะไม่ต้องออกแรงมากเวลาเล่น Wah ส่วนหน้าจอก็ยังเป็นรอยง่ายเช่นเดิมควรหาฟิลม์มาแปะ

2. GT-100 มีการลดตัดทอนการใช้งานของหน้าจอเวลาจะ Edit สังเกตุได้ว่าปุ่ม หมุนๆ กลมๆ ดำๆ ใหญ่ๆที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูล GT ได้หายไปแล้ว เหตุเพราะไม่มีความจำเป็นในการเข้าเมนูวุ่นวายอีกต่อไป และปุ่มต่างๆจะมีน้อยลงมากๆ GT-100 ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายกว่าตระกูล GT ที่แล้วๆมามาก แต่ผมว่าเอาเข้าจริงถ้าเราใช้ Effect รุ่นไหนมาซักพักนึงมันก็ใช้งานได้ง่ายเหมือนๆกันหมดล่ะครับ ส่วยเรื่องความสะดวกในการปรับ Effect แบบเรียงตัว ( คือผมหมายถึงการอยากจะปรับตัวไหนก็ปรับได้เดี๋ยวนั้นเลย ) GT-10 ทำได้ดีกว่าครับ เพราะมีปุ่มไฟแดงให้เลือกปิด-เปิด ได้อิสระกว่า ส่วน GT-100 หากอยากจะปรับทีล่ะก้อนก็ทำได้ครับแต่อาจจะไม่รวดเร็วเท่า โดยการกดปุ่ม " Effect " แล้วภาพจอซ้ายจะตัดมาที่ Signal ของเราจากนั้นหากเราอยากจะ Edit Effect ตัวไหนเราก็กดไปที่แป้นที่บันทึก Effect ตัวนั้นได้เลย ภาพจอขวามันก็จะตัดมาที่ค่า Parameter เพื่อปรับแต่งได้ทันที อย่างเช่นเราบันทึกเสียงแตกไว้ที่ปุ่มหมายเลข 1 เราก็กดปุ่ม Effect แล้วตามด้วยปุ่มที่ 1 ก็จะ Edit เสียงแตกได้ทันที แต่พวกหัว Amp หรือ Effect บางชนิดอาจจะต้องหมุน Knob เบอร์ 4 เพื่อไล่หาเท่านั้นนะครับ จึงจะ Edit ได้ ซึ่งทำให้ล่าช้าพอสมควรสำหรับการแก้ปัญหาหน้างาน แต่ถ้าปรับจนชินแล้วก็คล่องตัวพอๆกันครับ แต่อาจจะไม่เท่า GT-10

3.เรื่องการใช้งานของปุ่ม CTL ที่ให้มาปุ่มเดียว หลังจากเป็นที่ถกเถียงกันมานาน ก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าสามารถใช้ปุ่ม Phrase Loop ปรับแต่งให้เป็นปุ่ม CTL ได้เช่นกัน ( ตรงนี้ผมไม่ขออธิบายวิธีทำนะครับ ลองหาใน Youtube ก็มีจ๊ะ เพราะดูแล้วน่าจะเข้าใจง่ายกว่า ) ส่วนปุ่ม Accel / CTL ใน GT-100 ก็มาเพิ่มสีสันในการเล่นได้ดี เป็นทีเด็ดที่ทำให้การใช้งานของ GT-100 ต่างจาก GT-10 พอสมควรเลยทีเดียว
ส่วนปุ่ม Phrase Loop ก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ประหยัดเนื้อที่ขึ้น แต่อาจจะดูงงๆหน่อยตอนใช้แรกๆ แต่ถ้าจำได้ก็สะบายจ๊ะ

4.เรื่องเสียง ถ้าเทียบกันแล้วในเรื่องของ MOD ไม่หนีกันมาก แต่ GT-100 จะมีลูกเล่นเยอะกว่านิดหน่อย Wah มีหลายชนิดมากขึ้น ส่วนในเรื่องของเสียงแตกที่มีข้อกังขากันว่า GT-10 ดีกว่าไหม ส่วนตัวผมว่าพอๆกันๆ แต่สิ่งที่ GT-100 แตกต่างจาก GT-10 อย่างเห็นได้ชัดคือ Dynamic การเล่นที่ตอบสนองมากขึ้น ( ในกรณีที่ไม่ได้ใช้ Compressor มาควบคุม ) ใกล้เคียงการเล่นก้อน หรือ หัวแอมป์ จริงๆมากขึ้น เรียกว่าตอบสนองการเล่นหนัก-เบาได้ดีมากๆ เล่นสนุกมือขึ้นเยอะ ส่วนเรื่องการปรับแต่งส่วนตัวผมว่า GT-100 ทำได้ง่ายกว่า เพราะถ้าจะให้พูดกันแบบตรงๆเลยผมว่าในส่วนของเสียงแตก GT-100 ทำได้ดีกว่า GT-10 ประมาณนึงเลย เนื้อเสียงฟังดูอิ่มกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่จริงๆ GT-10 ก็พอจะปรับให้ใกล้เคียงและดีได้พอๆกัน แต่ใช้เวลานานกว่า GT-100 แน่นอน ซึ่งก็มีหลายๆคนท้อแท้กับการปรับ GT-10 จนต้องเลิกคบกันไป ผมขอบอกว่า GT-100 ปรับแต่งให้ได้เสียงที่ชอบได้ง่ายกว่ามากๆครับ ง่ายชนิดที่ว่าแฟนตระกูล ME ยังมีแอบชะเง้อคอมามองเลยทีเดียวอิๆ

ทั้งหมดก็เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆนะจ๊ะ ถ้ามีตรงไหนผิดพลาดหรือ วาจาใดเป็นการจาบจ้วงผมกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

ส่วนคำถามที่ว่า " มันเป็น Effect ที่สมบรูณ์แบบ คลอบคลุมทุก Sound ไหม ? " ผมขอตอบว่า " ไม่มีอะไรดีที่สุด และ เลวที่สุด " มันจะมีก็แค่ " ดีที่สุด หรือ เลวที่สุด สำหรับคุณ " ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้ให้คำตอบ เพราะแม้แต่ Effect ตัวเล็กๆอย่าง Zoom 505 หรือ Effect โบราณๆอย่าง Korg AX 30G ผมเห็นพี่ๆหลายๆคนใช้จนซื้อบ้านซื้อรถได้แล้ว แกก็ยังใช้อยู่

เพราะฉะนั้นถามตัวเองก่อนว่าชอบแบบไหน ถ้าตอบตัวเองได้ หาข้อมูลแล้วลุยเลยก๊าบบบบบบบบบบบบบบบ !! ^O^ อะไรมันก็ดีทั้งนั้นล่ะครับหากเราพึงพอใจจริงมะ ~

kuy13

4 ส.ค. 56 เวลา 6:10:00 IP = 14.207.91.65

คำตอบที่ 4

ข้อมูลแน่นมากครับ

guitarman23

4 ส.ค. 56 เวลา 6:57:00 IP = 115.67.229.142

คำตอบที่ 5

ผมก็มั่วๆล่ะครับพี่ Guitarman23 พูดไปตามประสาคนเคยใช้เท่านั้นล่ะก๊าบบบบบบบบบบแฮะๆ ^^

kuy13

4 ส.ค. 56 เวลา 11:50:00 IP = 14.207.91.65

คำตอบที่ 6

แล้วถ้าถามว่า สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นเป้นอาชีพ เน้นเรียนเป็นหลัก แต่ชอบเล่นกีตาร์ มีวง เล่นกันไปเรื่อยๆ เคยออกงานครั้งเดียว แต่ก็มีอีก2งานรออยู่(ในคณะ) จะเลือกตัวไหนดีคับ gt10 หรือ gt100 แบบคุ้มกับ ราคา ฝีมือ คุณภาพเสียง (ปัจจุบันพึ่งซื้อboos me25มาแต่ยังไม่ได้ลองเลย เพื่อนยังไม่ได้เอามาให้)

P.RAWUT 4 ส.ค. 56 เวลา 11:59:00 IP = 180.183.232.237

คำตอบที่ 7

ตัวไหนซื้อแล้วคุ้มค่ากว่ากันคับ สำหรับการเล่นประมาณนี้ หรือว่าใช้me25จนเก่งก่อน ค่อยหาใหม่

P.RAWUT 4 ส.ค. 56 เวลา 12:01:00 IP = 180.183.232.237

คำตอบที่ 8

ก็ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานล่ะครับ ถ้าไม่เน้นเปลี่ยน Sound บ่อยๆ และไม่มีการต่อเพลงขณะเล่นมากมายนัก ME-25 ก็เหลือเฟือครับ ถ้าไม่เอามาเล่นอาชีพ ก็กดได้ทันสะบายๆ แต่ถ้าจะใช้ ME-25 เล่นอาชีพ อาจจะต้องมีการวางแผนขณะเปลี่ยนเพลงนิดนึงครับ ไม่งั้นกดกันไม่ทันเท้าหงิกล่ะครับ 55+ แต่รับรองว่าแค่ ME-25 ก็เพียงพอแล้วต่อการเล่นในคณะ และด้วยขนาดตัวที่ไม่ใหญ่มากของเจ้า ME-25 ผมแนะนำให้หาเสียงแตกที่ชอบมาซักก้อนนึงมาพ่วง ก็จบแบบเหลือๆแล้วครับ ( จริงๆไม่ต้องพ่วงก็ได้เพราะเสียงแตกของ ME-25 ก็ไม่ได้ขี่เหร่อะไร )

ลองดูนะก๊าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ ^^

kuy13

4 ส.ค. 56 เวลา 12:26:00 IP = 14.207.91.65